บทที่ 739 พื้นที่มรรคาสวรรค์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 739 พื้นที่มรรคาสวรรค์

ดินแดนเวิ้งว้างจะทำให้สูญเสียสติสัมปชัญญะไป ไม่ต่างจากสิ้นชีพอย่างนั้นหรือ

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

เขาหวนนึกถึงคำพูดของฟางเหลียงในอนาคต ฟางเหลียงในอนาคตต้องการพาเขาไปที่ดินแดนเวิ้งว้าง หลบซ่อนตัวจากการไล่ล่าของจอมเทวาฟ้าบุพกาล

นี่คิดจะทำร้ายเขาอย่างนั้นหรือ

ไม่ถูกต้อง!

ฟางเหลียงผ่านการสยบของคุกสวรรค์อนธการมาแล้ว ไม่มีทางทำร้ายเขา แต่อาจจะถูกคนอื่นหลอกใช้

เช่นเดียวกับจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก่อนหน้านี้ ถูกเทพมารมหามรรคหลบเร้นหลอกใช้ ล่อให้หานเจวี๋ยลงมือ

แต่หานเจวี๋ยทราบเรื่องนี้แล้ว อนาคตต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นแน่นอน

เขาไม่อยากรู้มากเกินไป เลี่ยงไม่ให้กระบวนการของมหาเคราะห์เกิดการเปลี่ยนแปลง

เมื่อนึกถึงกระบวนการของมหาเคราะห์ หานเจวี๋ยจำเป็นต้องวิวัฒนาการดู

‘ข้าอยากรู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่ามหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่จะมาถึง’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ประมาณหนึ่งหมื่นแปดพันเก้าล้านปี]

เวรแล้ว!

เร็วขึ้นกว่าเดิม!

เป็นเพราะเขาลงมือสังหารมิ่งก่อนหน้านี้หรือ

หานเจวี๋ยถามต่อ ‘เป็นผู้ใดที่เร่งกระบวนการมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยห้าแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

ข้อความแถวหนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ย เป็นข้อมูลรายละเอียดของอีกฝ่าย

เจ้าชะตาอันธการ!

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม

นอกจากเขาแล้ว คนอื่นก็สามารถเร่งกระบวนการมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ได้เช่นกัน นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลย

ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ระยะเวลาที่ระบบคำนวณไว้ไม่แน่นอนมิใช่หรือ

หรือต้องคิดหาทางจัดการเจ้าชะตาอันธการกัน

ไม่ได้ ถ้าจัดการไปจะไม่มีใครมารับเคราะห์แทนเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

หานเจวี๋ยตกอยู่ในห้วงความคิด

ผ่านไปสักพัก

เสียงของหานเจวี๋ยดังก้องไปทั่วเขตเซียนร้อยคีรี เอ่ยว่า “ศิษย์ทั้งหลายเตรียมตัวสดับธรรม”

เนื่องจากมีศิษย์ใหม่เพิ่มเข้ามา ดังนั้นหานเจวี๋ยยังคงต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เมื่อเอ่ยประโยคนี้ ทั่วทั้งเขตเซียนร้อยคีรีต่างพากันแตกตื่นฮือฮา!

โดยเฉพาะศิษย์หนึ่งแสนคนที่เพิ่งเข้าร่วมใหม่ พวกเขาล้วนเต็มไปด้วยจินตนาการเกี่ยวกับหานเจวี๋ย

หนึ่งก้านธูปผ่านไป หานเจวี๋ยเริ่มเทศนาธรรม มหามรรคต้นกำเนิดครอบคลุมทั่วเขตเซียนร้อยคีรี

การเทศนาธรรมครั้งนี้ดำเนินอยู่สองร้อยปีเต็ม

แม้กระทั่งมหาอริยะสวีหุนก็ได้ทำความเข้าใจเช่นกัน

หลังสิ้นสุดการเทศนาธรรม หานเจวี๋ยเข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญ

ตัวเขาในตอนนี้พิชิตระดับอริยะมหามรรคได้แล้ว ทว่าเขาไม่ได้หลงระเริง ยังคงรักษาปณิธานต่อไป ถึงขั้นที่แรงกล้าขึ้นกว่าเดิม

เป้าหมายของเขาคือระดับเดียวกับจอมเทวาฟ้าบุพกาล ครอบครองฟ้าบุพกาลอย่างแท้จริง

….

ฟ้าบุพกาลกว้างไกลไร้ขอบเขต เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลทอดตัวสู่ความมืดมิด

เวลานี้ บนถนนช่วงหนึ่งของเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล หานอวี้ได้พบกับฉินหลิง

ฉินหลิงตื่นเต้นยิ่ง คุกเข่าคารวะตรงหน้าหานอวี้

หานอวี้แย้มยิ้มก่อนพยุงเขาขึ้นมา สองศิษย์อาจารย์เริ่มพูดคุยกัน

“อาจารย์ปู่ ในที่สุดท่านก็ยอมออกมา ไม่ทราบว่าท่านมาด้วยเรื่องใดหรือขอรับ ข้าอยู่ในฟ้าบุพกาลรู้จักสหายไม่น้อย ไม่แน่ว่าอาจช่วยธุระท่านใด” ฉินหลิงตบอกเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้เขาติดตามศิษย์สำนักซ่อนเร้น ปฏิบัติภารกิจเพื่อเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่

ปัจจุบันนี้เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่นับเป็นกลุ่มอิทธิพลย่อยในสังกัดของสำนักซ่อนเร้น โจวฝานต้องการสงบใจฝึกบำเพ็ญ จึงให้หลี่เสวียนเอ้าส่งผู้บำเพ็ญที่เชี่ยวชาญการบริหารจัดการจำนวนมากมารับหน้าที่ดูแล

เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ก็มิได้ต่อต้าน โดยเฉพาะหลังประสบเหตุการณ์ศึกที่วังสวรรค์ พวกเขายิ่งคาดหวังตั้งตารอคอยที่จะได้เข้าสู่สำนักซ่อนเร้น

คนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ ล้วนเป็นคนไร้สังกัด เมื่อมีที่พึ่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าให้การคุ้มครอง ไยจะไม่ยินดีเล่า

หานอวี้เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ามีเส้นสายและความสามารถ ดังนั้นถึงได้มาหาเจ้า ว่ากันตามตรง ข้าเพิ่งทราบว่าหลี่เต้าคงท่านอาจารย์ของข้าหายตัวไปนานมากแล้ว ข้าเคยไปสอบถามจากอริยะท่านอื่น ทั้งหมดล้วนแต่ไม่ทราบ ข้ารู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง ถึงแม้ท่านอาจารย์ของข้าจะเป็นอริยะ แต่เมื่ออยู่ในฟ้าบุพกาลก็ยังคงเล็กจ้อยยิ่ง ข้าห่วงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเขา”

ด้วยกระแสความนิยมของเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล ทำให้สรรพสิ่งมรรคาสวรรค์เข้าใจฟ้าบุพกาลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ฟ้าบุพกาลกว้างใหญ่เกินไปจริงๆ!

อย่าว่าแต่มรรคาสวรรค์เลย แม้กระทั่งแดนต้องห้ามอันธการ ก็ครอบครองเพียงพื้นที่ส่วนหนึ่งที่เล็กจ้อยยิ่งของฟ้าบุพกาลเท่านั้น จนถึงปัจจุบันนี้ ยังไม่มีใครรู้ว่าสรุปแล้วฟ้าบุพกาลกว้างใหญ่แค่ไหน ถึงขั้นที่มีผู้ทรงพลังสันนิษฐานว่าฟ้าบุพกาลกว้างไกลไร้ขอบเขต ยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด

อริยะในมุมเล็กๆ อย่างมรรคาสวรรค์แห่งนี้อาจสูงส่งจนไร้เทียมทาน แต่ในฟ้าบุพกาลอย่างไรก็ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดา

ฟ้าบุพกาลยังซุกซ่อนสถานที่อันตรายเอาไว้มากมาย หากอริยะพลัดหลงเข้าไป มีโอกาสตายมากกว่ารอด

สำหรับหานอวี้แล้วหลี่เต้าคงมิใช่แค่อาจารย์เท่านั้น แต่เป็นเสมือนบิดา

เมื่อฉินหลิงได้ฟังก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของหานอวี้ หากเปลี่ยนเป็นหานอวี้หายตัวไป เขาก็ต้องเสี่ยงอันตรายออกตามหาเช่นกัน

“เรื่องนี้ใหญ่โตนัก มิสู้ข้าพาท่านไปพบผู้ปกครองเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ดีกว่า เขาก็เป็นศิษย์สำนักซ่อนเร้นเช่นกัน ได้ยินว่ามีสายสัมพันธ์อันดีกับอาจารย์ทวดด้วย” ฉินหลิงใคร่ครวญแล้วเอ่ยขึ้นมา

หานอวี้พยักหน้ารับ พวกเขาออกเดินทางทันที

ระหว่างทาง ฉินหลิงสอบถามถึงเทียนยงอาจารย์ของตนว่าอยู่ที่ไหน

หานอวี้เอ่ยอย่างจนปัญญา “เขาน่ะหรือ เข้าสู่เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลตั้งนานแล้ว ข้าก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเขาไปอยู่ที่ไหน อาจจะตายไปแล้วก็ได้”

ฉินหลิงไม่ได้ถามมากอีก สำหรับเทียนยง เขาเองก็มิได้ชื่นชอบนัก บอกว่าเป็นอาจารย์ของเขาแต่ไม่เคยสอนอะไรให้แก่เขาเลย

ฉากเช่นนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ในเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล สิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์มุ่งหน้าสู่ฟ้าบุพกาลมากขึ้นเรื่อยๆ มิใช่เพื่อแสวงหาโชควาสนาเท่านั้น มีคนที่ออกตามหาญาติสนิทมิตรสหายด้วย

ตอนนี้สิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ที่มุ่งหน้าสู่เส้นทางฟ้าบุพกาลมีมากมายนับไม่ถ้วน มรรคาสวรรค์กำลังเติบโตแผ่ขยายกิ่งก้านสาขาไปอย่างรวดเร็ว ทุกที่ที่สิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ไปถึง จะก่อกำเนิดดวงชะตามรรคาสวรรค์รวดเร็วยิ่ง ขยายอาณาเขตมรรคาสวรรค์ให้กว้างขึ้น

….

หนึ่งหมื่นปีผ่านไปในชั่วพริบตา

ชีวิตของหานเจวี๋ยหวนคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ไม่มีผู้ใดมารบกวน หลี่เต้าคงที่แทรกซึมอยู่ในกลุ่มอิทธิพลมิ่งก็ไม่เคยใช้วิชาอัญเชิญเทพเลย คาดว่าขณะนี้น่าจะปลอดภัยดี

ช่วงที่ผ่านมา แดนเซียนมีอริยะมรรคาสวรรค์ถือกำเนิดขึ้นอีกคน รับมาจากนิกายเหริน นามว่าหลี่ไท่กู่

ชื่อเสียงนิกายเหรินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งยังรับศิษย์ไว้ไม่น้อยเลย

แดนเซียนในปัจจุบันนี้เรียกได้ว่าอุดมไปด้วยความหลากหลาย ไม่มีสำนักดวงชะตารวมถึงเผ่าพันธุ์ใดๆ ที่ครอบคองอำนาจไว้เพียงผู้เดียว

ส่วนเผ่ามนุษย์ถึงแม้จะเป็นเผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์ แต่เนื่องด้วยอยู่ภายใต้การดูแลของเหล่าอริยะจึงมิได้กดขี่ข่มเหงเผ่าพันธุ์อื่น เผ่าพันธุ์บรรพกาลปรากฏตัวในโลกมนุษย์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พัฒนาอิทธิพลในฟ้าบุพกาลเช่นเดียวกัน

หลังออกจากมรรคาสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด ขอเพียงเป็นสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ พวกเขาล้วนจะรู้สึกสนิทชิดเชื้อกันมากขึ้น

แน่นอน นี่เป็นเพียงภาพรวมเท่านั้น มรรคาสวรรค์ก็ยังมีวายร้ายอยู่มากมาย คอยดักสังหารคนปล้นชิงสมบัติในเส้นทางฟ้าบุพกาล ก่อกรรมทำชั่ว

ด้วยเหตุนี้ผานซินจึงก่อตั้งหน่วยลาดตระเวนเส้นทางสวรรค์ขึ้นโดยเฉพาะ ทั้งหมดล้วนคัดเลือกมาจากชนรุ่นหลังของผานกู่

ผานซินอาศัยชื่อเสียงของผานกู่รวบรวมชนรุ่นหลังของผานกู่จำนวนมากเข้ามา ก่อตั้งเผ่าผานกู่ขึ้น

หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูจดหมาย

บางคนได้รับโอกาสวาสนา บางคนยังคงถูกทุบตีอยู่ และมีสหายบางส่วนที่บุกเบิกสร้างชื่อในสถานที่ใหม่ ยังคงได้อรรถรสนัก แต่ไม่มีจดหมายที่ดึงดูดความสนใจของหานเจวี๋ยเป็นพิเศษ

หลังตรวจดูจดหมายเสร็จ หานเจวี๋ยก็ลุกขึ้นไปเยี่ยมสิงหงเสวียนที่อารามเต๋าด้านข้าง

สิงหงเสวียนยังคงฝึกบำเพ็ญอยู่ ตบะบรรลุถึงครึ่งอริยะตอนปลายแล้ว

ความเร็วระดับนี้ล้ำหน้าศิษย์สืบทอดไปแล้ว หานเจวี๋ยสงสัยว่านางกำลังฉกฉวยพรสวรรค์ของบุตรชายอยู่ใช่หรือไม่

การมาเยี่ยมของหานเจวี๋ยทำให้สิงหงเสวียนดีใจยิ่งนัก ทั้งสองนั่งอยู่บนเตียง เริ่มพูดคุยกัน

สิงหงเสวียนตื่นเต้นยิ่ง พูดถึงความเร็วในการบำเพ็ญของตนอย่างภาคภูมิใจ

นางรู้สึกว่าอีกแสนปีให้หลังก็คงสามารถพิสูจน์มรรคได้แล้ว

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “หากลูกไม่ยอมคลอดออกมาตลอดกาล จะกลายเป็นภาระของเจ้าหรือไม่”

สิงหงเสวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีทาง ยิ่งเขาอยู่ในครรภ์นานเท่าไหร่ ก็แปลว่ามีคุณสมบัติเลิศล้ำมากเท่านั้น หรือต่อให้ไม่ถือกำเนิดออกมา เขาก็สามารถช่วยข้าฝึกบำเพ็ญได้”

นางเริ่มลูบไล้ครรภ์ของตน สีหน้าหวานชื่น นางรู้สึกคล้ายว่าได้รับความกตัญญูจากบุตรชายแล้ว

หานเจวี๋ยหมดคำพูด

สตรีนางนี้หนอ ใจกว้างนัก ใช้ได้เลย

เขาไม่ได้บอกความจริงออกไป เลี่ยงไม่ให้สิงหงเสวียนเป็นกังวล

………………………………………………………………