ฉีอ๋องยังคงพักอยู่ในห้องตำรา เมื่อได้ยินว่าบ่าวรับใช้ข้างกายคุณหนูใหญ่มาขอเข้าเฝ้าก็อดสงสัยไม่ได้ จึงรีบสั่งให้คนพานางเข้ามา
“คารวะท่านอ๋อง”
เมื่อเห็นท่าทีตื่นกลัวของสาวรับใช้ ฉีอ๋องก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว “มีเรื่องเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่งั้นหรือ”
สาวรับใช้เสียงสั่นพร่า “ท่านอ๋อง คุณหนูใหญ่ไปที่เรือนของพระชายาเจ้าค่ะ…”
พระชายาถูกส่งเข้าไปพักฟื้นเนื่องจากมีอาการวิกลจริต ใครต่างก็ทราบดีว่าท่านอ๋องไม่ต้องการให้คุณหนูใหญ่เข้าไปคลุกคลีอยู่กับมารดาที่มีสติฟั่นเฟือน แต่เป็นเพราะวันนี้พวกนางบกพร่องในหน้าที่ ฉะนั้นแล้วคงถูกลงโทษเป็นแน่
สาวรับใช้ยิ่งคิดก็ยิ่งลนลาน นางไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองฉีอ๋อง
ฉีอ๋องที่ได้ยินดังนั้นกลับมีท่าทีเฉยชา
ไม่ว่ากับคนในจวนหรือคนนอกจวนต่างก็คิดว่าหลี่ซื่อเสียสติเพราะเหตุการณ์ม้าพยศ แต่ความจริงแล้ว หลี่ซื่อไม่ได้มีอาการทางจิตเลยแม้แต่น้อย
ฉะนั้นคงพิลึกไม่น้อยหากฉีอ๋องจะยินดีให้ย่วนเจี่ยเอ๋อร์เข้าใกล้พระชายาฉีอ๋อง
แต่เขาเป็นพวกแสดงเก่ง ดังนั้นยามอยู่ต่อหน้าสาวรับใช้ของธิดา เขาจึงถามอย่างใจเย็น “ดึกขนาดนี้แล้ว คุณหนูใหญ่ไปที่เรือนพระชายาโดยไม่พาพวกเจ้าไปด้วยงั้นหรือ”
สาวรับใช้หวั่นใจ นางรีบตอบ “หลังจากมื้อค่ำ คุณหนูใหญ่แจ้งว่าจะอ่านตำรา ไม่ให้พวกบ่าวเข้าไปรบกวน แต่หลังจากนั้นบ่าวนำน้ำเข้าไปถวายแต่กลับไม่พบคุณหนูใหญ่แล้วเจ้าค่ะ…พวกบ่าวจึงแยกย้ายกันหา และพบว่าคุณหนูใหญ่อยู่ที่เรือนของพระชายาเจ้าค่ะ…”
แววตาของฉีอ๋องเย็นเยียบกว่าเก่า “คุณหนูใหญ่หายตัวไปแต่พวกเจ้ากลับไม่รู้! นี่ยังดีที่นางไปที่เรือนพระชายา แต่ถ้าหากนางเป็นอะไรไปเล่า”
สาวรับใช้คุกเข่ายอมรับผิดโดยพลัน
“แล้วพวกเจ้าไม่ได้พาคุณหนูใหญ่กลับมารึ”
สาวรับใช้ลนลานการใหญ่ นางก้มศีรษะต่ำพลางกล่าวเสียงสั่น “คุณหนูใหญ่แจ้งว่าคืนนี้จะนอนที่เรือนพระชายาเจ้าค่ะ…”
ฉีอ๋องบีบที่วางแขนเก้าอี้แน่นขึ้นและแน่นขึ้น ผ่านไปเนิ่นนานกว่าจะผ่อนแรงลง “เป็นเรื่องปกติที่คุณหนูใหญ่จะคิดถึงมารดา ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเจ้าก็ไปเฝ้านางที่นั่น แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยพานางกลับมา”
สาวรับใช้ไม่คิดว่าเรื่องจะคลี่คลายง่ายดายเพียงนี้ นางรีบจรดหน้าผากลงพื้นเพื่อเป็นการขอบคุณ “ขอบพระทัยเจ้าค่ะ ขอบพระทัยเจ้าค่ะ…”
ฉีอ๋องกล่าวเตือนเสียงเรียบ “คราวหน้าคราวหลังดูแลคุณหนูใหญ่ให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก”
“เจ้าค่ะ” สาวรับใช้รีบถอยออกไปประหนึ่งว่าได้รับการอภัยโทษครั้งใหญ่
ประตูห้องตำราถูกปิดสนิทกั้นแสงจันทร์มิให้เล็ดลอดเข้ามา ในห้องนั้นว่างเปล่าและเงียบเหงา
ท่าทีของฉีอ๋องแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะลงมือคืนนี้ แต่ย่วนเจี่ยเอ๋อร์กลับไปหาหลี่ซื่อที่เรือน นี่เป็นเพียงเหตุบังเอิญ หรือว่า…
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร วันนี้ก็ยังทำอะไรไม่ได้
ฉีอ๋องอ่านตำราด้วยจิตใจว้าวุ่นเพียงไม่นานก็โยนตำรานั้นลงบนโต๊ะ เขาตัดสินใจว่าเช้าวันรุ่งขึ้นจะไปถามความจากย่วนเจี่ยเอ๋อร์
ด้านพระชายาฉีอ๋อง สองแม่ลูกเดินเข้ามาในห้องโดยไม่สนใจคำทัดทานของบรรดาบ่าวรับใช้
“ท่านแม่ หายดีหรือยัง”
ภายใต้แสงไฟ พระชายาฉีอ๋องเห็นความกังวลบนใบหน้าซีดเซียวของบุตรสาวได้อย่างชัดเจน
พระชายาฉีอ๋องรู้สึกขมขื่นจนเกือบจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ยังไม่ถึงเก้าขวบ แต่กลับรู้จักเป็นห่วงเป็นใย ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของนางและบุรุษไร้หัวใจนั่น…
พระชายาฉีอ๋องไม่อยากคิดต่อ
ในสถานการณ์เช่นนี้ นางรู้ดีว่าการบอกให้บุตรสาวรู้ว่าบิดาของนางเป็นเช่นไรเป็นเรื่องโง่เขลา เพราะสุดท้ายเรื่องนี้จะย้อนกลับมาทำร้ายอนาคตของบุตรสาวเอง
นางทำได้เพียงอดทน อดทนรอจนกว่าบุตรสาวของนางได้แต่งงานกับชายที่ดี จึงจะถือว่าความอดทนนี้เป็นอันสิ้นสุด
อย่าให้เป็นแบบนาง ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจทำทุกอย่างเพื่อสามีตลอดหลายปี แต่เมื่อเกิดข้อผิดพลาด นางกลับถูกเหวี่ยงทิ้งเฉกเช่นรองเท้าคู่เก่า หมดแล้วซึ่งความอาทรฉันสามีภรรยา
ครั้นหวนคิดถึงสิ่งเหล่านี้ พระชายาฉีอ๋องก็หัวเราะเยาะอยู่ในใจ
ไม่เพียงแต่บุรุษของนางเท่านั้นที่ปฏิบัติต่อนางเหมือนนางเป็นรองเท้าคู่เก่า แต่ยังรวมไปถึงแม่สามีใจร้าย และครอบครัวของนางด้วย
แต่จะให้กล่าวตามตรง นางคงโทษครอบครัวฝั่งมารดาไม่ได้
เพราะหากย้อนกลับไปในตอนที่นางออกเรือน ครอบครัวฝั่งมารดาก็เตรียมชุดแต่งงานและสินเดิมให้นางอย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติ
แต่เมื่อมีคนแอบนำเรื่องที่นางลอบทำร้ายพระชายาเยี่ยนอ๋องไปแจ้งแก่ครอบครัวของมารดา ก็ไม่แปลกที่ตระกูลฝั่งนั้นจะไม่กล้าออกตัวรับแทนนาง
คนอื่นๆ คิดว่านางเป็นคนวิกลจริตจนต้องเข้ารับการรักษา แต่สำหรับครอบครัวฝั่งมารดา นางคือคนที่นำความอัปยศมาสู่วงศ์ตระกูล
“ท่านแม่…” ย่วนเจี่ยเอ๋อร์พิศมองมารดาพลางขานเรียกซ้ำอีกครั้ง
พระชายาฉีอ๋องหลุดจากภวังค์ นางฝืนยิ้มพลางลูบใบหน้าธิดาตัวน้อย “แม่ไม่เป็นอะไร”
ย่วนเจี่ยเอ๋อร์เผยสีหน้ายินดีพร้อมกับแววตาเปล่งประกาย “ท่านแม่ หากท่านแม่หายแล้ว ก็จะได้กลับไปเป็นเหมือนเดิมใช่ไหม”
พระชายาฉีอ๋องกลัวว่าบุตรสาวจะหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จึงกล่าวอย่างถอนใจ “ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ ดูใบหน้าของแม่สิ ต่อให้แม่อาการดีขึ้น แต่หน้าของแม่ก็เสียโฉมไปแล้ว ไม่เหมาะจะเป็นนายหญิงที่ทำหน้าที่ดูแลจวนอีกแล้ว…เจ้าคือคุณหนูใหญ่ เจ้าต้องเข้าใจความลำบากใจของท่านพ่อ อีกหน่อยเจ้าจะได้ช่วยแบ่งเบา…”
ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ถามด้วยความสงสัย “หน้าของท่านแม่มีแผลก็เลยดูแลจวนไม่ได้แล้วหรือ”
พระชายาฉีอ๋องโอบกอดบุตรสาว น้ำหยดใสไหลรินจากตา “ใช่น่ะสิ ย่วนเจี่ยเอ๋อร์รู้จักการสอบขุนนางหรือเปล่า”
“รู้จักเจ้าค่ะ พวกบัณฑิตที่สอบผ่านจิ้นซื่อจะได้เข้าไปรับราชการ”
“ถูกต้อง แล้วย่วนเจี่ยเอ๋อร์รู้หรือไม่ว่า หากบัณฑิตมีความพิการทางร่างกาย ต่อให้เก่งกาจเพียงใดก็ไม่มีสิทธิ์สอบขุนนางและเข้ารับราชการ…” พระชายาฉีอ๋องพยายามอธิบายเหตุผลที่นางต้องเก็บตัวอยู่ในเรือนด้วยความรู้สึกเศร้าสลดเหนือคณนา
ย่วนเจี่ยเอ๋อร์คือเลือดเนื้อเพียงหนึ่งเดียวของนาง นางไม่อยากให้บุตรสาวจดจำนางในภาพของคนเสียสติ ฉะนั้นต่อให้นางต้องยกเหตุผลน่าขันมาอ้าง นางก็ยอม
ถึงอย่างไรย่วนเจี่ยเอ๋อร์ก็ยังเด็กมาก นางพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ
“ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ แล้วเหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่กลางดึกเช่นนี้”
เมื่อพระชายาฉีอ๋องถามเช่นนั้น ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ก็ตัวสั่น ความหวาดกลัวแวบผ่านเข้ามาในแววตาของเด็กน้อย
สาเหตุที่นางมาที่นี่กะทันหันเป็นเพราะนางฝันขณะเผลอหลับในตอนที่กำลังอ่านหนังสือ ในความฝันนั้นมีคนกระซิบบอกให้นางมาหามารดา เพราะถ้าหากนางไม่มา มารดาของนางจะต้องตาย
เด็กน้องตกใจสะดุ้งตื่นมาพบว่านางอยู่ในห้องนั้นเพียงลำพัง
แต่ยิ่งคิด นางก็ยิ่งกลัว จึงรีบวิ่งออกมา
นางไม่อยากเป็นลูกไม่มีแม่!
โชคดีที่นี่เป็นเพียงความฝัน
เด็กน้อยฝังตัวอยู่ในอ้อมกอดของพระชายาฉีอ๋อง ซึมซาบไออุ่นจากร่างของผู้เป็นมารดา แล้วจิตใจของนางก็ค่อยๆ สงบลง เด็กน้อยแก้ตัวไปว่า “ลูกฝันถึงท่านแม่ ก็เลยคิดถึงท่านแม่…”
จะเล่าความฝันไร้สาระเช่นนั้นให้ท่านแม่ฟังไม่ได้เป็นอันขาด
พระชายาฉีอ๋องโอบกอดบุตรสาวแน่นกว่าเก่า น้ำตาพรั่งพรูประหนึ่งสายฝน
วันนี้จู่ๆ นางก็รู้สึกไม่ดี นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างถึงได้ร้องเรียกจะพบหน้าบุตรสาว แต่ไม่คิดเลยว่าบุตรสาวจะฝันถึงนางและวิ่งมาหาเช่นนี้
นี่สินะ สายใยแม่ลูก
ในวินาทีนั้น ความคิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อของพระชายาฉีอ๋องก็ทวีหนักขึ้น ต่อให้ชีวิตภายภาคหน้าจะยากเย็นแสนเข็ญยิ่งกว่านี้ นางก็ยังตายไม่ได้ เพราะหากนางไม่อยู่แล้ว ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ที่ไร้มารดาคงจะน่าสงสารจับใจ
โอกาสที่สองแม่ลูกจะได้นอนกอดกันมีน้อยนัก เช้าวันถัดมา พระชายาฉีอ๋องเฝ้ามองบุตรสาวเดินออกไปด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
หลังจากที่ออกมาจากเรือนของมารดา สิ่งถัดมาที่ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ต้องทำคือไปสารภาพผิดกับฉีอ๋อง
นี่คือสิ่งที่ท่านแม่กำชับกับนาง
แม้พระชายาฉีอ๋องต้องเก็บตัวรักษาอาการป่วย แต่ฉีอ๋องก็ไม่อยากให้คนอื่นในจวนเห็นว่าเขาเย็นชาต่อบุตรสาว จึงตั้งใจว่าจะเรียกย่วนเจี่ยเอ๋อร์มาถามก่อนที่นางจะไปเรียน แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวจะมาอยู่ต่อหน้าเขาในตอนนี้
เมื่อถามถึงสาเหตุของเรื่องเมื่อคืนวานแล้ว ฉีอ๋องก็หมดข้อสงสัย เขากล่าวเตือนบุตรสาวอีกไม่กี่ประโยคก็ปล่อยนางไป และความคิดที่จะกำจัดพระชายาฉีอ๋องก็กลายเป็นเรื่องเร่งด่วนขึ้นมาทันที
ย่วนเจี่ยเอ๋อร์รู้จักวิ่งไปหาหลี่ซื่อเองแล้ว หากรอให้นางโตกว่านี้อีกหน่อย เรื่องจะไม่ยุ่งยากกว่านี้หรือ
ไม่ได้การล่ะ ต้องรีบกำจัดหลี่ซื่อโดยเร็วที่สุด คงต้องลงมือช่วงเวลากลางวัน ช่วงที่ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ออกไปเรียน