ตอนที่ 187-2 ความวุ่นวายในเทศกาลโคมไฟ
เฉียวเวยพลันกระจ่างแจ้งแก่ใจ ช่วงฤดูใบไม้ร่วง กลางคืนจะยาวนานขึ้น หวงเหลียงหมายถึงฝันเห็นหวงเหลียง ก็ไม่เท่ากับมากฝันยามราตรีหรือ
เฉียวเวยเลือกโคมเรือมาอีกอันหนึ่ง “ปากพูดเจ็ดเก้า เป็นสำนวน”
นี่ไม่ใช่แค่ปิดเครื่อง นี่ต้องส่งซ่อมแล้ว
จีหมิงซิวเอ่ยสบายๆ ว่า “พูดจาเรื่อยเปื่อย”
เฉียวเวย: นี่ก็คิดได้อย่างไรอีก!
จีหมิงซิวจึงใบ้ให้ว่า “เพลงซู่จิ่ว”
เพลงซู่จิ่วเฉียวเวยเคยได้ยินจิ่งอวิ๋นท่องอยู่ หนึ่งเก้าสองเก้าซุกมืออุ่น สามเก้าสี่เก้าเดินบนน้ำแข็ง ห้าก้าวหกก้าวชมหลิ่วริมน้ำ เจ็ดเก้าแม่น้ำละลาย แปดเก้าห่านว่ายวน เก้าเก้าแปดสิบเอ็ด บ้านทำข้าวให้ไปกินในที่นา
เจ็ดเก้าแม่น้ำละลาย ปากพูดเจ็ดเก้า ปากพูดแม่น้ำละลาย ก็ไม่เท่ากับพูดจาเรื่อยเปื่อยหรอกหรือ
ดังนั้นเรื่องวิชาความรู้นี่น่ะนะ ไม่ใช่ว่าในท้องมีหมึกก็สามารถเอาออกมาใช้ได้ทุกคน ต้องมีความคิดอ่านที่ว่องไว ถ่องแท้ในวิชาความรู้
เฉียวเวยมองจีหมิงซิวโดยไม่ได้คิดอะไรมาก จีหมิงซิวถามว่า “ทำไมหรือ”
เฉียวเวยบอกว่า “อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าท่านเก่งมาก”
จีหมิงซิวลูบศีรษะนาง “ก็แค่ปริศนาโคมไม่กี่อันเท่านั้น” อัครเสนาบดีแห่งแคว้น หากแม้แต่ปริศนาโคมตามท้องถนนยังเดาไม่ออก คงต้องเก็บสัมภาระกลับบ้านแล้ว
เพียงแต่นานๆ ทีจะได้ยินนางเอ่ยชมสักครั้ง ก็นับว่าน่ารื่นรมย์อยู่ไม่น้อย ใต้เท้าอัครเสนาบดีเอ่ยอย่างอารมณ์ดียิ่ง “ยังอยากได้โคมไฟอะไรอีก สามีจะทายเอามาให้เจ้าเอง”
เฉียวเวยดูปริศนาโคมทั้งร้อยกว่าอันบนเวที จีหมิงซิวก็เดาได้ถูกทั้งหมดไม่มีพลาดสักนิด เจ้าของร้านเริ่มหน้าดำคร่ำเครียด เขาเปิดร้านทำการค้า หากเจ้าคนประหลาดนี้เดาถูกหมด เขายังจะหาเงินไม่ไหมนี่ ได้ไม่ได้!
ยังดีที่เฉียวเวยเดาเอาสนุกเท่านั้น ไม่ได้คิดจะยกเค้ากิจการเขาจริงๆ จึงเอาแค่โคมเซียนเด็กน้อยคู่หนึ่งกลับไป
เซียนเด็กน้อย ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง อันหนึ่งให้วั่งซู อันหนึ่งให้จิ่งอวิ๋น
สามีภรรยาถือโคมกันคนละอันแล้วเดินเล่นดูโคมกันต่อไป
เฉียวเวยหาวขึ้นมาทีหนึ่ง
จีหมิงซิวถามด้วยความเป็นห่วง “เมื่อกลางวันไม่ได้นอนหรือ”
เฉียวเวยหาวอีกรอบหนึ่ง “นอนสิ แค่ไม่รู้ทำไมถึงขี้เซากว่าปกติ”
จีหมิงซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ใช่ว่าช่วงนี้เหน็ดเหนื่อยเกินไปหรือไม่”
ช่วงนี้นางเหน็ดเหนื่อยที่สุดก็คือตรวจอาการให้คนนี่แหละ แต่แค่เปิดประตูให้คนมาตรวจสบายแค่ไหนแล้ว ตอนนางอยู่ชนบททั้งทำไร่ทำนาทั้งทำการค้า นั่นต่างหากถึงเหน็ดเหนื่อยของจริง แต่ก็ยังไม่เคยอ่อนเพลียเพียงนี้
หรือว่าพอเข้ามาอยู่บ้านตระกูลจี นางเลยเป็นโรคที่มีต้องเป็นคนรวยเท่านั้นถึงจะเป็นกับเขาไปอีกคน
“ไม่เดินแล้ว กลับเถอะ” จีหมิงซิวจูงมือนางแล้วจะเดินกลับไปหารถม้า
เฉียวเวยไม่ยอมเดินตาม “ข้ายังเดินเที่ยวไม่พอเลย! ข้าอุตส่าห์ได้ออกมาทั้งที ครั้งหน้ายังไม่รู้เลยว่าจะได้ออกมาเมื่อไร ท่านให้ข้าเดินอีกหน่อยสิ!”
จีหมิงซิวบอกว่า “เดี๋ยวพอขุนนางทูตจากหนานฉู่มาก็จะมีเทศกาลโคมไฟอีก สวยกว่าครั้งนี้ด้วย”
เฉียวเวยไม่ยอม “ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังอยากเดินให้สุดถนนเส้นนี้ก่อน!”
ระหว่างที่ทั้งสองดึงกันไปดึงกันมาอยู่นั้น อยู่ๆ ทางด้านหน้าก็มีเสียงวุ่นวายดังขึ้น ดูเหมือนนักแสดงในยุทธภพที่แสดงการพ่นไฟจะทำไฟลามไปถูกคนที่เดินผ่านไปมา คนผู้นั้นพอตัวติดไฟก็วิ่งเข้าใส่ฝูงชนอย่างบ้าคลั่ง ฝูงชนพลันแตกตื่น คนกลุ่มใหญ่พากันวิ่งกรูมาทางที่ทั้งสองอยู่ นั่นไม่ใช่แค่สองสามคน หรือหลายสิบคน แต่เป็นร้อยคน แทบจะซัดสาดเข้ามาราวกับลูกคลื่นโตๆ จนทำให้ทั้งสองพลัดหลงกันไปในทันที
ร้านขายโคมจำนวนไม่น้อยก็พลอยโดนลูกหลงไปด้วย สถานการณ์ยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่
เฉียวเวยถูกเบียดเข้าไปอยู่ในมุมหนึ่งของห้องในภัตตาคาร นางก้าวขึ้นบนเวที หลีกหนีจากฝูงชนที่เป็นราวกับระลอกคลื่นออกมาได้
เฉียวเวยหอบหายใจอย่างหนัก มองโคมไฟที่ถูกคนเบียดเสียดจนเหลือเพียงก้านแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความจนใจ
ฝูงชนยังคงทั้งผลักทั้งเบียด แล้วจู่ๆ ก็มีเด็กสามสี่ขวบคนหนึ่งล้มลงกับพื้น เขาใกล้จะถูกฝูงชนเหยียบแบนเป็นเนื้อบดเต็มที เฉียวเวยรีบกระโดดเข้าไปจับตัวเขาขึ้นมา!
ตุ๊กตาไม้ในมือของเขาตกอยู่ตรงพื้นที่เดิม ในพริบตานั้นมันก็ถูกฝูงชนเหยียบจนแหลกไม่เหลือชิ้นดี
เฉียวเวยทำเสียงจึ๊ๆ แล้วส่ายหน้า เด็กน้อย โชคดีที่พี่สาวคนนี้ช่วยเจ้าแล้ว ไม่อย่างนั้นที่โดนเหยียบจนเละคงเป็นเจ้าแล้ว!
เด็กน้อยร้องไห้จ้าเสียงดังลั่น
เฉียวเวยหยิบลูกกวาดออกจากอกเสื้อมาส่งให้เขา เขาเอาเข้าปากแล้วหยุดร้องทันที
“พ่อกับแม่เจ้าเล่า” เฉียวเวยถาม
เด็กน้อยชี้ไปยังซอยเล็กๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“พ่อแม่เจ้าอยู่ในซอยนี้?”
เด็กน้อยพยักหน้า
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
เด็กน้อยดูงุนงงไปทันที
“เอาเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้ากลับ” เฉียวเวยอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา รอจนฝูงชนไม่แตกตื่นกันเพียงนั้นแล้วจึงค่อยเดินข้ามไปด้วยความระมัดระวัง
ในซอยอากาศเย็นเล็กน้อย ทั้งยังมืดสนิท ไม่เหมือนว่ามีคนอยู่สักเท่าไร
เฉียวเวยหยิกแก้มเด็กน้อยเบาๆ “ซอยนี้หรือ เจ้าแน่ใจ?”
เด็กน้อยทำเสียงจ๊อบแจ๊บพลางพยักหน้า
“บ้านเจ้าอยู่ข้างใน?”
เด็กน้อยยังคงพยักหน้า
เฉียวเวยอุ้มเขาเดินเข้าไปในซอย
ในซอยมืดสนิท ไม่เห็นแสงไฟสักนิด
เฉียวเวยยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งขนลุก “เจ้าจำทางผิดหรือไม่ ไม่ใช่ซอยนี้กระมัง ในนี้มีบ้านคนเสียเมื่อไร มีแต่บ้านร้างทั้งนั้น”
เด็กน้อยไม่ได้พูดอะไร
ปุกปัก มีเสียงประหลาดดังมาจากข้างหน้า คิ้วเรียวของเฉียวเวยขมวดมุ่น นางวางเด็กลงกับพื้น พอแขนขยับ กริชเล่มหนึ่งก็ไหลมาอยู่ในมือ
“อย่าวิ่งไปไหนนะ รู้…”
ยังไม่ทันพูดจบ เฉียวเวยก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล พอหันไปอีกทีเด็กคนนั้นก็ไม่อยู่แล้ว!
คนร้าย!
สายตาเฉียวเวยพลันดุดัน หมุนตัวจะพุ่งออกจากซอยนั้นทันที แต่กลับเห็นเงาคนกลุ่มหนึ่งกระโจนฟึ่บฟั่บกันลงมา ขวางทางนางเอาไว้
พวกมันมากันหกคน แต่ละคนอยู่ในชุดพรางตัว ปิดหน้าปิดตา กระโดดลงมาอย่างไร้สุ้มเสียง วิชาตัวเบาน่าตกใจ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือในยุทธภพ
เฉียวเวยจำไม่ได้ว่าตนเคยไปทำให้คนประเภทนี้โกรธไว้ตั้งแต่เมื่อไร คนเก่งที่สุดที่นางมีเรื่องด้วยก็คือซู่ซินจง แต่คนของซู่ซินจงกลับสำนักกันไปหมดแล้ว ไม่มีทางเป็นพวกเขา หากจะบอกว่าเป็นนักฆ่าจากพรรคโลหิตพิฆาตก็เป็นไปไม่ได้ ชีวิตของจีอู๋ซวงยังอยู่ในกำมือนางอยู่เลย ไม่มีทางโง่เขลาถึงขั้นส่งคนมาลอบฆ่านางแน่
เฉียวเวยพยายามตั้งสติ เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดถึงต้องหลอกข้ามาที่นี่ ข้าเคยไปทำอะไรให้ไม่พอใจหรือไม่”
บุรุษที่เป็นหัวหน้าเอ่ยว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่เห็นแม่นางรูปโฉมงดงาม เลยอยากเชิญแม่นางไปปรนนิบัตินายท่านของเราสักหน่อย หากแม่นางปรนนิบัติจนนายท่านสบายตัวแล้ว พวกเราจะปล่อยแม่นางไปเอง เชื่อว่าแม่นางคงรู้ว่าอะไรควรไม่ควร คงไม่ทำให้พวกเราต้องลำบาก”
นายท่าน? ในหัวเฉียวเวยค้นหาผู้ชายที่ตนเคยมีปากเสียงด้วยและสามารถเรียกคนผู้นั้นว่านายท่านได้ ก็มีแค่นายท่านหก แต่นายท่านหกไม่มีทางส่งคนมาจับตัวนาง
หรือว่าจะเป็นอู๋ต้าจินที่หายสาบสูญไปแปดร้อยปีแล้วผู้นั้น
หากเขามีความสามารถเพียงนี้ ตอนนั้นคงไม่ถึงกับแพ้เดิมพันจนเสียพรรคชิงหลงให้กับนาง
ศิษย์พี่ห้าของซู่ซินจง?
ยิ่นอ๋อง?
น่าสงสัยทั้งนั้น แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่
เฉียวเวยถามว่า “เช่นนั้นข้าขอถือวิสาสะถามสักนิด นายท่านของพวกเจ้าเป็นใคร”
ชายคนนั้นตอบอย่างดูแคลนว่า “เรื่องนี้ข้าน้อยไม่อาจบอกได้”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “เช่นนั้นคงต้องขอโทษด้วย ข้าคนนี้เลือกมากยิ่งนัก คนที่อยากให้ข้าไปปรนนิบัติเป็นใคร ต้องให้ข้าได้เห็นก่อน หากข้าไม่ถูกชะตาต่อให้ส่งทหารจากชั้นฟ้าลงมาข้าก็ไม่ยอมทำตามแน่!”
คนผู้นั้นเอ่ยเสียงเข้มว่า “ดูท่าแม่นางจะไม่ยอมดื่มสุรามลคลแต่อยากดื่มสุราลงทัณฑ์สินะ!”
สายตาเฉียวเวยพลันเปลี่ยนเป็นดุดัน “เช่นนั้นก็ต้องดูแล้วว่าเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่!”
ชายคนนั้นส่งสัญญาณมือ คนที่เหลือควักกระบี่ออกจากฝักแล้วกรูเข้ามาพร้อมกัน
เฉียวเวยลอบสบถในใจว่าหน้าตัวเมีย ผู้ชายกลุ่มใหญ่มารังแกผู้หญิงคนหนึ่ง ถึงขั้นพกดาบพกกระบี่กันมาด้วยอีก!
ชายชุดดำคนหนึ่งสะบัดกระบี่เป็นกลีบดอกไม้พลางพุ่งเข้ามาทักทายนาง เฉียวเวยใช้กริชขวางกระบี่อีกฝ่ายเอาไว้ จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างจับแขนเขาแล้วออกแรงดึงลงขนกระดูกเขาหัก แล้วแย่งกระบี่เขามาไว้ในมือ
เฉียวเวยไม่รู้วิชาในยุทธภพใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งหมดอาศัยเพียงปฏิกิริยาตอบสนองยามตกใจกับพละกำลังมหาศาลที่สามารถยกภูเขาดึงแม่น้ำของตนในการป้องกันการโจมตีของทุกคนเอาไว้
แต่วันนี้สภาพร่างกายของนางไม่สู้ดี พละกำลังก็ลดน้อยลงไปกว่าครึ่ง
หลายครั้งที่อยากเตะให้กระเด็น ก็แต่ทำได้เพียงล้มลงกับพื้นเท่านั้น
เฉียวเวยลอบกัดฟัน นี่จะบังคับให้ข้าต้องฆ่าต้องแกงกันหรือ!
ชายอีกคนหนึ่งเงื้อดาบพุ่งเข้ามา เฉียวเวยใช้กระบี่เสียบแทงทะลุอกจนเลือดสดๆ กระเด็นโดนหน้านาง
ยังเหลืออีกสองคน
เฉียวเวยเงื้อดาบ แลกถีบกันกับชายในชุดดำคนที่เป็นหัวหน้าจนต่างฝ่ายต่างล้มลงกับพื้น
ชายคนหนึ่งกลิ้งตัวไปแล้วลุกขึ้นมา เงื้อดาบจะฟันใส่เฉียวเวยพร้อมกับสหายของเขาอีกคนหนึ่ง!
ในทันใดนั้นเอง เข็มเงินสองเล่มก็พุ่งมาทางพวกเขาทางด้านหลัง ทะลุหัวใจพวกเขาทั้งสองรวดเร็วราวกับสายฟ้า!
เฉียวเวยหันไปมอง “ลุงเยี่ยน!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยวิ่งเข้ามาประคองเฉียวเวยให้ลุกขึ้น “เจ้าไม่เป็นไรกระมัง”
“ข้าไม่เป็นไร” เฉียวเวยปัดเศษดินที่อยู่บนกระโปรง สองมือเต็มไปด้วยเลือดสดๆ กระโปรงที่ปัดจึงเปื้อนเลือดไปเป็นแถบ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยบอกว่า “ไม่ต้องสนใจจะปัดแล้ว นายน้อยเล่า เหตุใดถึงไม่อยู่กับเจ้า”
เฉียวเวยยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเลือดบนมือ “พวกเราถูกกระแทกจนพลัดหลงกัน!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจ “ข้ากับไก่เฒ่าก็เหมือนกัน ตอนแรกพวกเราก็ตามพวกเจ้าอยู่ แล้วอยู่ๆ ก็ไม่รู้อะไร คนข้างหน้าวิ่งมาราวกับคนบ้า ชนจนพวกเราออกจากถนนฉางหลิวไป ตอนนี้ถึงเพิ่งหาเจ้าเจอ”
เฉียวเวยมองตามเขาไป ก็เห็นจีอู๋ซวงที่อยู่ตรงปากทาง
จีอู๋ซวงหน้าตาบูดบึ้งยิ่งนัก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเลยบอกว่า “ไม่ต้องสนใจเขา เขาไม่ได้โกรธเจ้า” พูดพลางกระเถิบเข้ามาเฉียวเวยแล้วกระซิบเบาๆ ว่า “ภรรยาที่หลอกเขาคนนั้นตั้งท้องเสียแล้ว เขาโกรธแทบแย่”
อา แม่นางเซียงเอ๋อร์ที่แต่งกลับมาจากหุบเขาผู้นั้นเอง
เฉียวเวยยิ้ม “ไว้กลับไปแสดงความยินดีกับเขาแทนข้าด้วยนะ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยส่งสายตาข้าเข้าใจให้กับนางแล้วพาเฉียวเวยออกจากซอยนั้นไป เขาพูดกับจีอู๋ซวงว่า “เจ้าดูให้หน่อยก็แล้วกัน ดูสิว่าฮูหยินของนายน้อยเป็นอะไรมากหรือไม่”
“หึ!” จีอู๋ซวงเบือนหน้าหนีไปอย่างเฉยชา
เฉียวเวยบอกว่า “ข้าไม่ได้บาดเจ็บอะไร”
จีอู๋ซวงกลับจับข้อมมือนางเอาไว้ ไม่นานก็ขมวดคิ้วมุ่น เขยิบเข้าไปใกล้เฉียวเวยแล้วพยายามดมกลิ่นตามตัวนาง
เฉียวเวยเลิกคิ้วมองด้วยความงุนงง “นี่เจ้า…ทำอะไรน่ะ”
จีอู๋ซวง “เจ้าโดนวางยาเสียแล้ว”
เฉียวเวย “หา?”
จีอู๋ซวง “ห้าทิวาสราญ”
เฉียวเวย “?!”
“ยาตัวนี้ข้ารู้จัก” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอธิบายให้เฉียวเวยฟัง “ห้าทิวาสราญเป็นพิษสลายวรยุทธ์ที่พบเห็นได้บ่อยๆ ภายในห้าวันสามารถแก้พิษได้ แต่หลังจากห้าวัน ต่อให้เป็นเทพยดาก็หมดสิ้นหนทาง แต่มันไม่ถือว่าเป็นยาพิษกระมัง มันไม่มีอันตรายถึงชีวิต แค่เพียงวรยุทธ์ที่ร่ำเรียนมาทั้งหมดอาจจะหมดสิ้นไป”
เฉียวเวยงงหนัก “ข้าไม่เป็นวรยุทธ์นี่!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหันไปมองจีอู๋ซวง “จริงด้วย นางไม่เป็นวรยุทธ์ เจ้าเข้าใจผิดแล้วหรือไม่ ใครจะใช้ห้าทิวาสราญกับคนไม่มีวรยุทธ์กัน ไม่เท่ากับถอดกางเกงผายลมหรือ”
จีอู๋ซวงกวาดตามองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยด้วยสายตาดุดัน “ข้าไม่ใช่คนวางยาเสียหน่อย จะไปรู้ได้อย่างไร”
“เช่นนั้นก็นอกเสียจากว่ามีคนเข้าใจว่านางมีวรยุทธ์” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคิดว่าตนรู้ความจริงแล้ว!
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “ข้ามักจะง่วงเหงาหาวนอน แรงก็ออกไม่ค่อยไหว”
จีอู๋ซวงมองยอดฝีมือแห่งยุทธภพที่ถูกเล่นงานจนล้มระเนระนาดอยู่กับพื้น “…”
จีอู๋ซวงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “คนทั่วไปหากถูกพิษห้าทิวาสราญก็ไม่ต่างอะไรกับกินยาเหมิงฮั่น[1]ในปริมาณที่พอจะล้มช้างทั้งตัวได้”
ดังนั้นสตรีที่ยังเล่นงานยอดฝีมือแห่งยุทธภพไปได้ตั้งหลายคนผู้นี้ เกิดมาจากไหนกันแน่!
ฝ่าเท้าจีอู๋ซวงยังหนาวสะท้าน เขาเขยิบเข้าไปหาเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอีกก้าวหนึ่ง ตัดสินใจว่าต่อไปนี้จะอยู่ให้ห่างจากสตรีนางนี้ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้!
“อ้อ” เฉียวเวยยักไหล่
“อ้อ?” จีอู๋ซวงตาโต
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ตาไก่เฒ่าเอ่ย ยาห้าทิวาสราญพวกนี้พบเห็นได้บ่อยหรือไม่”
จีอู๋ซวงตอบว่า “ตามร้านยาไม่มีขาย แต่มันก็ไม่นับเป็นยาวิเศษวิโสอะไรนัก หมอบางคนสามารถปรุงเองได้”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำเสียงจึ๊ทีหนึ่ง “นังหนู เหตุใดเจ้าจึงสะเพร่าเช่นนี้ ถูกคนวางยาก็ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ”
เฉียวเวยไม่รู้จะตอบอย่างไร นอกจากขี้เซาขึ้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรต่างไป นางจะรู้ได้อย่างไรว่าตนถูกคนวางยา
จีอู๋ซวงหันไปมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ย “หึ เจ้าเป็นห่วงคนที่วางยานางเถอะ”
เดิมทียานี้พอจะล้มช้างทั้งตัวได้ แต่กลายเป็นว่านังหนูนี่ยังกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก หากเขาเป็นคนวางยาพิษนี้ คงได้โกรธตายไปแล้ว!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตบหน้าผากเฉียวเวยเบาๆ “เจ้าระวังตัวหน่อยเถอะ!”
แม่เจ้า มือข้าเหมือนจะตีจนบวมเสียเอง…
เฉียวเวยถามด้วยความสงสัย ยาประเภทนี้มาอยู่ในตัวข้าได้อย่างไร ข้ากินลงไปหรือดื่มลงไป หรืออย่างไรกันแน่”
จีอู๋ซวงอธิบายว่า “ห้าทิวาสราญเป็นกำยานประเภทหนึ่ง ไม่มีสีไม่มีกลิ่น”
“นานเท่าไรถึงจะออกฤทธิ์” เฉียวเวยถามต่อ
“คนทั่วไปจะออกฤทธิ์ในทันที” ตอนเอ่ยประโยคนี้จีอู๋ซวงมองประเมินหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง “เจ้าน่าจะได้มาหลายชั่วยามอยู่”
[1] ยาเหมิงฮั่น คือยาที่มีฤทธิ์เหมือนยาชา หรือทำให้ไม่มีแรง