บทที่ 745 กลยุทธ์ของนักพรตเต๋าเสินเผา

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 745 กลยุทธ์ของนักพรตเต๋าเสินเผา

ในแดนต้องห้ามอันธการ ใบไม้สีเหลืองโรยราปลิดปลิวไปทั่ว เมื่อมองดูให้ดี บนใบไม้แต่ละใบบรรจุสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนเอาไว้ รูปลักษณ์แตกต่างกัน หลากหลายกริยาท่าทาง ขนาดก็เล็กใหญ่ไม่เท่ากัน

ใบไม้สีเหลืองนี้มีอย่างน้อยหลายหมื่นใบ

ด้านหลังกองใบไม้หลายหมื่นใบ มีเงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งกำลังก้าวเดินไปด้านหน้า เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ใบไม้เหล่านี้ดูเล็กยิ่งกว่าเม็ดทรายเสียอีก

นี่คือนักพรตเต๋าเสินเผา

นักพรตเต๋าเสินเผามองไปด้านหน้า ค่อยๆ ก้าวเดินไป

บนหว่างคิ้วของเขามีเงาร่างสองร่างยืนอยู่ หนึ่งในนั้นคือเทพมารต้องสาป

อีกรายหนึ่งเป็นสตรีนางหนึ่ง ร่างกายท่อนล่างดุจหมอกควัน ร่างกายท่อนบนหุ้มด้วยเกราะ ศีรษะเล็กยิ่งนัก แต่ใบหน้างามเฉิดฉัน แววตามืดมน รูปลักษณ์โดยรวมดูไม่สมส่วน ทว่าแฝงกลิ่นอายอันตรายอย่างยิ่งยวดไว้

เทพมารต้องสาปอดถามไม่ได้ “ดวงจิตมหามรรค เจ้ามั่นใจหรือว่าครั้งนี้ปลอดภัยยิ่งนัก ไม่อาจดูแคลนหานเจวี๋ยคนนั้นได้ เขาแทบจะไร้พ่ายในระดับเดียวกันแล้ว”

สตรีที่อยู่ด้านข้างป้องปากหัวเราะก่อนเอ่ยขึ้นว่า “โชคดีที่เจ้าเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล ด้วยนิสัยของเจ้า ไม่มีทางบรรลุเป็นดวงจิตไปได้ตลอดกาล เหตุผลที่เขาไร้พ่าย นั่นเป็นเพราะยังไม่เคยพบพวกเรา

“ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังเลินเล่อเกินไป แต่ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังก็มิใช่คู่ต่อสู้ของสหายเต๋าเสินเผาเช่นกัน”

เทพมารต้องสาปขมวดคิ้ว สัตว์พิษบนใบหน้าชะงักไป แน่นิ่งไม่ไหวติง

นักพรตเต๋าเสินเผาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ต้องสาป อย่ากังวลเลย ข้ามั่นใจในพลังของตนยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้เตรียมไม้ตายเอาไว้แล้ว ต่อให้เป็นยอดมหามรรคก็สังหารได้! หรือว่าหานเจวี๋ยคนนั้นจะกลายเป็นยอดมหามรรคไปแล้วเล่า”

“นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้…”

เทพมารต้องสาปโต้ตอบกลับไป เขาทราบถึงความสามารถอันเกินจริงของหานเจวี๋ยดี แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุถึงยอดมหามรรคในเวลานี้

ต่อให้เป็นดวงจิตมหามรรคที่มีคุณสมบัติเลิศล้ำ ก็มีคนที่บรรลุถึงยอดมหามรรคได้น้อยยิ่งกว่าน้อย

ความหวังสายน้อยปรากฏขึ้นในหัวใจของเทพมารต้องสาป

หากว่านักพรตเต๋าเสินเผาสามารถสังหารหานเจวี๋ยได้ เช่นนั้นก็ดีอย่างยิ่ง

เขาแตกต่างไปจากตอนที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา ตอนนั้นเทพมารต้องสาปฮึกเหิมนัก คิดว่าตนต้องฆ่าหานเจวี๋ยได้แน่ ซ้ำยังสามารถฉวยโอกาสตอนที่หานเจวี๋ยสาปแช่งศัตรูตามใจชอบ ชักจูงคนมาเป็นพรรคพวกตนได้

แต่จอมเทพข่งเซวี่ยกลับทุบหัวเขาเข้าเต็มแรง

หานเจวี๋ยในตอนนี้มิใช่ตัวตนที่เขาจะสามารถเปรียบเทียบด้วยได้

“เมื่อถึงเวลานั้นอาจไม่จำเป็นต้องให้สหายเต๋าเสินเผาลงมือ ข้าก็สามารถถล่มมรรคาสวรรค์ให้ราบได้เช่นกัน” สตรีนางนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ยิ้มหวานหยาดเยิ้ม เพียงแต่รูปร่างของนางอัปลักษณ์เหลือเกิน เมื่อยืนรวมกับเทพมารต้องสาป ก็ยากจะเปรียบเทียบได้ว่าใครดีใครด้อยกว่า

นักพรตเต๋าเสินเผาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากทำสำเร็จ วันหน้าประชาชนของเจ้าจะได้อาศัยที่มรรคาสวรรค์ เจ้าจะได้เข้ามาควบคุมมรรคาสวรรค์แทน แต่ต้องรักษากฎเดิมไว้”

สตรีนางนั้นเอ่ยกลั้วหัวเราะ “วางใจเถอะ หากมรรคาสวรรค์เติบโตแข็งแกร่งขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ส่งผลดีต่อข้าเช่นกัน”

เทพมารต้องสาปนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยไฟริษยา

สีหน้าวาจาของคนทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้าทำให้เขาไม่สบอารมณ์ยิ่ง จนปัญญาที่อยู่ใต้ใบบุญผู้อื่น จำเป็นต้องก้มหัว

สักวันหนึ่ง เขาก็จะเทียบเคียงกับดวงจิตมหามรรคให้ได้เช่นกัน!

ไม่!

เขาต้องการเหยียบย่ำดวงจิตมหามรรค กลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด!

….

ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม หน้าตำหนักเอกภพ

เหล่าอริยะรวมตัวกันที่นี่ ร่วมมือกันซ่อมแซมมรรคาสวรรค์

ทันใดนั้นมหาอริยะสวีหุนที่อยู่ไม่ไกลพลันลืมตาขึ้น เอ่ยว่า “มาแล้ว อริยะมหามรรคสองราย ยังมีเผ่าพันธุ์ที่มีจำนวนมหาศาลอีกหนึ่งเผ่าพันธุ์ด้วย”

วาจาของเขาทำให้เหล่าอริยะตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี

จอมอริยะเสวียนตูรีบสั่งการทันที “พวกเจ้าจงถ่ายทอดคำสั่งไปยังสำนักดวงชะตาต่างๆ ในสังกัดของพวกเจ้า จงปกป้องเมืองฟ้าบุพกาลและเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลไว้ เรื่องซ่อมแซมมรรคาสวรรค์ยกให้ข้าจัดการ พวกเจ้าจงแยกย้ายกันไปปกป้องแต่ละทิศไว้!”

“ได้!”

เหล่าอริยชนเลือนหายไปจากจุดเดิมทันที

จอมอริยะเสวียนตูหันไปมองมหาอริยะสวีหุน เอ่ยถามว่า “มีความมั่นใจพอหรือไม่”

มหาอริยะสวีหุนแค่นเสียงคราหนึ่ง จอมอริยะเสวียนตูอดโล่งใจไม่ได้

อีกฝ่ายมั่นใจเต็มที่ เช่นนั้นก็ดี

แต่มหาอริยะสวีหุนกลับเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่มี ข้าคนเดียวจะรับมืออีกฝ่ายที่มีสองคนได้อย่างไร”

ใบหน้าจอมอริยะเสวียนตูกระตุกยิกๆ ต่อให้มรรคจิตมั่นคงและควบคุมตัวเองได้ดีขนาดไหนเขาก็ยังเกือบหลุดสบถออกมาเช่นกัน

เหตุใดคนผู้นี้ถึงทำตัวแปลกประหลาดนัก

จอมอริยะเสวียนตูนึกไม่ออกเลยว่าตนไปล่วงเกินมหาอริยะสวีหุนเข้าตอนไหน

ไม่นานนัก ข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วแดนเซียน เหล่าสำนักดวงชะตาก็เริ่มกระจายตัวไปทั่วเมืองฟ้าบุพกาล เหล่าลูกศิษย์ที่ปิดด่านบำเพ็ญก็ถูกบังคับให้ออกมา สถานการณ์เช่นนี้ปกปิดความจริงไว้ไม่ได้อย่างแน่นอน

ชั่วขณะนี้ บางคนตื่นกลัว บางคนกระวนกระวาย บางคนไม่เชื่อถือ และบางคนรู้สึกตื่นเต้น

ผู้ที่ตื่นเต้นล้วนเป็นบุตรแห่งสวรรค์หรือไม่ก็ผู้ทรงพลังรุ่นอาวุโส

สถานการณ์วุ่นวายให้กำเนิดผู้กล้า หากอยากสร้างชื่อเสียงให้คงอยู่ยาวนานอย่างแท้จริงก็ต้องสร้างชื่อด้วยสงคราม!

“ในที่สุดก็มาแล้ว!”

“สู้เพื่อมรรคาสวรรค์ แม้นตายก็ไม่เสียดาย ที่แท้อริยะสวรรค์เกรียงไกรก็ทำนายไว้ล่วงหน้าแล้ว”

“ได้ยินว่าตอนที่เผ่าเพลิงกัลป์และเผ่าหายนะเข้ารุกราน การต่อสู้ดุเดือดอย่างยิ่ง ศัตรูในครานี้ต้องแข็งแกร่งกว่าเดิมแน่”

“ผู้บำเพ็ญรุ่นพวกเราฝึกบำเพ็ญมาหลายพันหลายหมื่นปีแค่เพื่อต่อสู้ แต่เพื่อพิสูจน์คุณค่าให้ปรากฏด้วยการต่อสู้ เหล่าสหายเต๋าเอ๋ย มุ่งหน้าไปยังชายขอบมรรคาสวรรค์พร้อมกันเถอะ!”

“ได้ ไปกันเลย!”

“ผู้บำเพ็ญที่ไม่บรรลุถึงแม้กระทั่งชั้นจักรพรรดิอย่างพวกเรา หากมุ่งหน้าไปมิใช่ไปตายเปล่าหรือ”

….

หานเจวี๋ยยังอยู่ในแบบจำลองการทดสอบ เขามียอดสมบัติอยู่เต็มตัว ไม่มีทางถูกเหล่าศัตรูในแบบจำลองการทดสอบสังหารในเสี้ยววินาที แต่หากต้องการสังหารเหล่าศัตรูให้ได้ในเสี้ยววินาที เช่นนั้นก็ยากแล้ว

หลังผ่านการต่อสู้มาหลายพันครั้ง หานเจวี๋ยก็ยังคงทำไม่ได้

เขาสิ้นสุดการใช้แบบจำลองการทดสอบ ขณะที่กำลังจะเริ่มอีกครั้ง จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายแกร่งกล้าสองสายกำลังมุ่งหน้าเข้ามาใกล้มรรคาสวรรค์

หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบทันที ตอนนี้ระบบยกระดับจนเหนือชั้นกว่าในอดีต สามารถตรวจจับผู้แข็งแกร่งในละแวกพื้นที่รอบนอกมรรคาสวรรค์ได้

เขาคัดกรองตัวตนที่อยู่ในระดับอริยะเสรีลงไปทิ้ง ในไม่ช้าก็พบผู้มาเยือน

[นักพรตเต๋าเสินเผา: ระดับเบิกฟ้ามหามรรคระยะสมบูรณ์ ดวงจิตมหามรรค]

[เฮิ่นจี: ระดับเบิกฟ้ามหามรรคระยะสมบูรณ์ นักพรตเต๋าผู้หลุดพ้น]

สองราย!

หานเจวี๋ยกลับไม่ได้ร้อนรนนัก ถึงอย่างไรก็มีมหาอริยะสวีหุนเฝ้าอยู่ด้านนอก

ต้องทดลองในแบบจำลองการทดสอบดูก่อน ป้องกันข้อผิดพลาด

เขาหลับตาลง

ผ่านไปสิบลมหายใจ เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง

“แม่มันเถอะ ตัวบ้าอะไรกัน!”

หานเจวี๋ยระเบิดอารมณ์อย่างที่หาได้ยากนัก เขาเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบอีกครั้ง

ผ่านไปยี่สิบลมหายใจ

เขาลืมตาขึ้น พรูลมหายใจออกมา

เวรเอ้ย!

โชคดีที่มีแบบจำลองการทดสอบ มิเช่นนั้นคงพลาดท่าแน่

การต่อสู้ครั้งแรก เขาถูกยอดสมบัติลึกลับของนักพรตเต๋าเสินเผาโจมตีตอนไม่ทันตั้งตัว ขยับเยื้อนร่างกายไม่ได้ ทำให้เขาตกใจจนรีบสิ้นสุดแบบจำลองการทดสอบทันที เนื่องจากอนาคตที่ระบบเคยทำนายไว้ก็มีโอกาสพลาดท่าเล็กน้อยอยู่เช่นกัน

การต่อสู้ครั้งที่สอง เขาใช้พลังของเทพมาร สับเปลี่ยนหลบหลีกการโจมตีจากยอดสมบัติลึกลับไป จากนั้นก็สามารถข่มนักพรตเต๋าเสินเผาไว้ได้สบายๆ

ดูเหมือนยอดสมบัติชิ้นนี้จะใช้ได้ครั้งเดียว

นักพรตเต๋าเสินเผาเตรียมการมาแล้ว!

หานเจวี๋ยตื่นตัวขึ้นมา ต่อไปก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน จะปล่อยปละละเลยไม่ได้

ถึงแม้ระดับจะเหมือนกัน แต่สมบัติวิเศษนั้นไม่สามารถประเมินกันได้

หานเจวี๋ยคาดเดาว่านักพรตเต๋าต้องเพิ่งไปขอยืมของวิเศษชิ้นนี้มาเป็นแน่ หากมิใช่เพราะหานเจวี๋ยทำนายมาล่วงหน้า บางทีเขาอาจจะไม่ถูกฆ่าตาย แต่มรรคาสวรรค์คงจะต้องล่มสลายแน่นอน ทันทีที่เขาถูกผูกมัดไว้ ศัตรูก็สามารถทำลายล้างมรรคาสวรรค์ได้

หานเจวี๋ยค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ดวงตาปรากฏเจตนาสังหาร

อีกฝ่ายเก็บท่าไม้ตายไว้ เห็นได้ชัดว่าพุ่งเป้ามาที่เขา!

ช้าก่อน!

หานเจวี๋ยนึกอะไรได้ เอ่ยถามในใจ ‘นักพรตเต๋าเสินเผามีผู้หนุนหลังหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่มี]

หานเจวี๋ยยิ้มออกมา เตรียมจะออกจากอารามเต๋า แต่เขานึกอะไรขึ้นได้อีกครั้ง เขาชะงักไปก่อนถามในใจว่า ‘ผู้ช่วยที่แข็งแกร่งที่สุดที่นักพรตเต๋าเสินเผาเชิญมาด้วยคือผู้ใด’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสามแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

สามแสนล้านปีอย่างนั้นหรือ

หานเจวี๋ยพลันรู้สึกอยากสบถด่า

ไม่น่าเชื่อเลยว่าไอ้ตัวสุนัขจะยังเหลือไพ่ตายไว้อีก!

………………………………………………………………