บทที่ 747 เช่นนั้นก็ต้องสู้!

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 747 เช่นนั้นก็ต้องสู้!

เมื่อเห็นเฮิ่นจีที่อยู่เบื้องหน้าสลายหายไปดั่งหมอกควัน หานเจวี๋ยมองไปทางนักพรตเต๋าเสินเผาอย่างเย็นชา เอ่ยว่า “นี่น่ะหรือที่พึ่งของเจ้า”

มหาอริยะสวีหุนที่อยู่ด้านหลังตื่นเต้นสุดขีด แทบจะปรบมือร้องชื่นชมแล้ว

เขาจดจำพลังวิเศษนี้ได้!

ในครานั้นมิ่งทั้งสิบสามก็สิ้นชีพด้วยกระบวนท่านี้เช่นกัน!

ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังเองก็เป็นเช่นนี้!

อีกทั้งเฮิ่นจีก็มิใช่ดวงจิตมหามรรค จะอาศัยอันใดมาต้านรับไหวเล่า

นักพรตเต๋าเสินเผาก็ตกตะลึงเช่นกัน กระบวนท่านี้ของหานเจวี๋ยดุร้ายเกินไปแล้ว มาถึงก็จู่โจมสังหารทันที อีกทั้งพลังอำนาจเมื่อครู่ก็น่าหวาดผวาจริงๆ หากให้เขาเป็นคนต้านรับ ก็คงยากจะต้านรับไหวเช่นกัน

“เจ้าแข็งแกร่งมากจริงๆ มิน่าเล่าถึงสังหารดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังได้ แต่หากเจ้าคิดจะสังหารเฮิ่นจีด้วยกระบวนท่าเดียว กลับเป็นเรื่องน่าขันโดยแท้!”

นักพรตเต๋าเสินเผาทอดสายตามองหานเจวี๋ย หัวเราะเยาะเย้ย

อีกด้านภายในมิติลับ เมื่อเทพมารต้องสาปเห็นหานเจวี๋ยออกโรง ก็เอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “เป็นเขา! เขาก็คือหานเจวี๋ย”

ม่านตาอริยะเทพอวี๋เจี้ยนหดตัววูบ พึมพำว่า “การโจมตีเมื่อครู่นั้นมีพลังมหามรรคมากกว่าหนึ่งชนิด…เป็นไปได้อย่างไร มหามรรคขัดแย้งต่อต้านกันเองมิใช่หรือ”

เทพมารต้องสาปก็ไม่เข้าใจหานเจวี๋ยเช่นกัน เขาทราบเพียงว่าตนถือกำเนิดขึ้นเพราะหานเจวี๋ย ทราบว่าหานเจวี๋ยถือกำเนิดมานานแค่ไหนแล้ว

เขาก็รู้สึกตกตะลึงกับความเร็วในการเติบโตของหานเจวี๋ยเช่นกัน แต่เขาไม่มีวิถีทางได้ทราบความจริง

“ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าจะสังหารเขาได้” เทพมารต้องสาปถามอย่างระมัดระวัง

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนไม่ได้เอ่ยตอบ สายตาจับจ้องภาพสะท้อนในโพรงแสงเขม็ง

ณ มรรคาสวรรค์

เหล่าอริยะทั้งหมด ครึ่งอริยะรวมถึงเซียนทองต้าหลัวล้วนชมการต่อสู่ด้วยความประหม่ากังวล ส่วนคนที่มีระดับต่ำกว่านั้น เว้นแต่จะอยู่ในเมืองฟ้าบุพกาล มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถสอดส่องศึกครานี้ได้

พลังอันแข็งแกร่งของหานเจวี๋ยทำให้พวกเขาตื่นเต้นยินดียิ่ง แต่ความมั่นใจของนักพรตเต๋าเสินเผาก็ทำให้พวกเขากระวนกระวายอีกครั้ง

หลี่ไท่กู่ยืนอยู่เหนือเมืองฟ้าบุพกาลแห่งหนึ่ง กุมกระบี่ของตนไว้

แข็งแกร่งนัก!

เพียงฝ่ามือเดียวก็ทรงฤทธิ์เช่นนี้แล้ว มรรคกระบี่ของเขาจะสามารถบรรลุถึงขั้นนั้นได้จริงๆ น่ะหรือ

ต่อให้อยู่ห่างกันไกลยิ่ง แต่วินาทีที่หานเจวี๋ยซัดฝ่ามือออกไป เขาก็สัมผัสถึงกลิ่นอายแห่งความตายได้เช่นกัน

หลังพิสูจน์มรรคสำเร็จ ไม่สิ หลังจากสำเร็จเป็นเซียนทองต้าหลัว เขาไม่ได้สัมผัสความรู้สึกนี้มานานยิ่งนักแล้ว

พลังของหานเจวี๋ยพลันสั่นคลอนจิตใจตั้งมั่นในมรรคกระบี่ของหลี่ไท่กู่ขึ้นมา

ในเวลานี้

เฮิ่นจีปรากฏตัวขึ้นข้างกายนักพรตเต๋าเสินเผา ควบรวมก่อร่าง แต่ก็สหายไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง นางกัดฟันจ้องมองหานเจวี๋ยด้วยความโกรธแค้น แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “พอมีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ ถึงรอดชีวิตมาได้ แต่นางก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน”

หานเจวี๋ยสืบเท้าเดินเข้าไปคนทั้งสอง

ก่อนหน้านี้ เขาได้ปลุกเร้าเตรียมจิตใจให้พร้อมสำหรับเผชิญศึกแล้ว

เขาเคยคิดจะหนี แต่หากออกจากมรรคาสวรรค์ เขาจะไปที่ใดได้อีกเล่า ยามนี้ศัตรูที่เขาเข้าไปพัวพันด้วยมิใช่ตัวตนที่จะอาศัยการหลบหนีหรือหลบเลี่ยงได้อีกแล้ว

อีกอย่างตอนนี้ก็ยังไม่ถึงจุดที่จำเป็นต้องหนีเท่านั้น!

ขอเพียงฝ่าด่านครั้งนี้ไปได้ พัฒนามรรคาสวรรค์ให้แข็งแกร่งต่อไป ไม่ช้าก็เร็วพลังของมรรคาสวรรค์ต้องไปถึงจุดที่แม้แต่เทวีตราวินัยก็ไม่สามารถทำลายได้!

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ต้องสู้!

ถึงอย่างไรหานเจวี๋ยก็ทิ้งเสี้ยววิญญาณไว้ในอารามเต๋าแล้ว หากสิ้นชีพในการต่อสู้ก็สามารถเกิดใหม่ได้

อย่างมากก็แค่หดหัวอยู่ในอาณาเขตเต๋า!

เสื้อคลุมห้วงกาลวิถีของหานเจวี๋ยปลิวสะบัดอย่างรุนแรงด้วยกระแสลมที่เหลือจากพลังเวท หยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราที่อยู่ด้านหลังหมุนวนด้วยความเร็วสูง ระเบิดแสงเทพออกมา ดูราวกับมีตะวันจันทราโคจรอยู่ด้านหลัง

ร่างจำลองเทพมารปรากฏขึ้นมาทีละร่าง ยืนอยู่เหนือศีรษะหานเจวี๋ย แต่ละร่างแผ่อำนาจเผด็จการ

แม้กระทั่งสรรพสิ่งที่อยู่ในแดนเซียนหากเงยหน้าขึ้นก็สามารถมองเห็นเงาร่างใหญ่มโหฬารมากมายได้เช่นกัน ดูราวกับเทพยักษาผานกู่เบิกฟ้าดิน ล่องลอยเลือนรางอยู่เหนือนภา

นักพรตเต๋าเสินเผาหัวเราะอย่างจองหองพลางกล่าวว่า “พลังวิเศษนี้อีกแล้ว! เจ้าใช้พลังวิเศษนี้สังหารดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังกระมัง ดียิ่ง วันนี้ข้าจะทำลายพลังวิเศษนี้ของเจ้า ล้างแค้นให้ดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวัง!”

เขาก็เดินเข้าไปหาหานเจวี๋ยเช่นกัน

เขาทราบดีว่าเฮิ่นจีสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแล้ว ไม่ทราบเช่นกันว่าการโจมตีก่อนหน้านี้ผสานพลังอันใดไว้ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เฮิ่นจีไม่อาจก่อร่างขึ้นมาได้อีก

เงาร่างของทั้งสองเปล่งแสงวูบไหว ทุกย่างก้าวเป็นระยะทางที่ผู้บำเพ็ญในแดนเซียนต้องใช้เวลาเดินทางหลายสิบปี

พวกเขากลับกำลังเข้าใกล้กันอย่างรวดเร็ว!

เหล่าอริยะมรรคาสวรรค์เฝ้ามองการต่อสู้ด้วยความประหม่า

เฮิ่นจีออกคำสั่งทันที “เหล่าผู้กล้าเอ๋ย! โจมตีมรรคาสวรรค์เสีย!”

เมื่อสิ้นเสียง พลันมีเงาร่างสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาจากใบไม้สีเหลืองหลายหมื่นใบ แม่ทัพที่พุ่งนำออกมาก่อนกลิ่นอายกล้าแกร่งยิ่ง ถึงขั้นที่มีกลิ่นอายเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าปนอยู่ด้วย

สงครามมรรคาสวรรค์พลันปะทุขึ้น!

ผู้บำเพ็ญมรรคาสวรรค์ในเมืองฟ้าบุพกาลเปล่งเสียงตะโกนก่อนเริ่มร่ายเวท บุตรแห่งสวรรค์หลายต่อหลายคนพุ่งออกไปตรงๆ ไม่หวาดหวั่นต่อความตาย

ยุคสมัยของบุตรแห่งสวรรค์ หากต้องการกลายเป็นบุตรแห่งสวรรค์ นอกจากคุณสมบัติความสามารถแล้ว ยังต้องมีความกล้าหาญไร้ความกริ่งเกรงด้วย!

ในเวลาเดียวกันนี้!

นักพรตเต๋าเสินเผาและหานเจวี๋ยเข้าประชิดตัวกันแล้ว ร่างจำลองเทพมารนับร้อยร่างปรากฏขึ้นเหนือศีรษะหานเจวี๋ย แทรกซึมเข้าสู่ร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง

เขารู้ดีว่าเพราะเหตุใดนักพรตเต๋าเสินเผาถึงให้เวลาเขา เนื่องจากนักพรตเต๋าเสินเผาก็กำลังรอโอกาสอยู่เช่นกัน

รอเวลาเพื่อใช้ยอดสมบัติชิ้นนั้น!

ก่อนหน้านี้หานเจวี๋ยเคยคำนวณระยะห่างในแบบจำลองการทดสอบแล้ว เมื่ออยู่ในระยะห่างเท่านั้น นักพรตเต๋าเสินเผาจะเผยยอดสมบัติออกมาทันที สมบัติชิ้นนี้มีความเร็วสูงยิ่ง แต่ต้องรอให้ถึงช่วงที่เขาลงมือก่อน ถึงจะลงมือตามได้

ทันใดนั้น!

นักพรตเต๋าเสินเผาชูมือขวาขึ้นมา แสงเจิดจ้าส่องออกมาจากในแขนเสื้อ

ม่านตาหานเจวี๋ยหดตัววูบ ร่างจำลองเทพมารร่างหนึ่งที่อยู่เหนือศีรษะเขายกแขนขึ้นในทันใด จากนั้นก็พาหานเจวี๋ยหายตัวไปพร้อมกันในชั่วพริบตาเดียว

เทพมารสับเปลี่ยน!

จากนั้นเฮิ่นจีปรากฏตัวขึ้นแทนที่ตำแหน่งของหานเจวี๋ย!

นี่คือพลังของเทพมารสับเปลี่ยน สามารถสับเปลี่ยนตนกับตัวตนใดๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะห่างไกลแค่ไหน ก็บังคับสับเปลี่ยนตัวได้

พลังนี้ไม่สามารถนำมาใช้อย่างต่อเนื่องได้ แต่เพียงพอจะใช้รับมือกับยอดสมบัติของนักพรตเต๋าเสินเผา!

เฮิ่นจีถูกแสงเจิดจ้าเข้าครอบงำ เคลื่อนไหวไม่ได้ในทันใด

นักพรตเต๋าเสินเผาเบิกต้ากว้าง ตื่นตระหนกอยู่ในใจ

เป็นไปได้อย่างไร!

นั่นไม่เกี่ยวกับความรวดเร็ว!

แม้แต่ระดับเบิกฟ้ามหามรรคระยะสมบูรณ์อย่างเขาก็ตอบสนองไม่ทัน!

เขานึกถึงบางอย่างขึ้นมา ก่อนหันกลับไปตามสัญชาตญาณ

หานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเขาแล้ว ฝ่ามือหนึ่งพุ่งเข้าใส่เขาอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้

“ฝ่ามือนี้ แฝงพลังมรรคสี่แสนแปดหมื่นปีไว้ ดูสิว่าเจ้าจะต้านรับได้สักกี่ฝ่ามือ”

เสียงของหานเจวี๋ยแว่วขึ้นในหูของนักพรตเต๋าเสินเผา

นักพรตเต๋าเสินเผาถูกโทสะเทพอนธการโจมตีใส่ตรงๆ สังขารระเบิดแหลกลาญในชั่วลมหายใจ

แต่วิญญาณของเขาถูกแสงประหลาดชั้นหนึ่งปกป้องไว้

วิญญาณของเขาเป็นสีทอง!

อย่างไรก็ตามหานเจวี๋ยเคยประสบในแบบจำลองการทดสอบมาแล้ว

เขาโบกมืออีกครั้ง โทสะเทพมารอนธการจำเป็นต้องใช้เวลาสะสมพลัง ดังนั้นเขาจำเป็นต้องเรียกร่างจำลองเทพมารจำนวนมากออกมา เข้าปิดล้อมโจมตี

นักพรตเต๋าเสินเผากระโดดหนีเข้าสู่ชั้นมิติที่ลึกกว่าเดิม ไม้เท้ายาวอันหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ กวัดแกว่งไปรอบตัว ดวงตะวันขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากไม้เท้าดวงแล้วดวงเล่ามากมายนับไม่ถ้วนก่อตัวเป็นทะเลเพลิงไร้ขอบเขต คิดจะขวางหานเจวี๋ยที่ไล่ตามมา

หานเจวี๋ยสำแดงพลังของเทพมารห้วงมิติและเทพมารข้ามภพ มาโผล่ด้านหลังนักพรตเต๋าเสินเผา

“มหามรรคห้วงมิติ! เป็นไปไม่ได้!”

นักพรตเต๋าเสินเผารับรู้ได้ถึงกระแสความเคลื่อนไหวด้านหลัง ตื่นตระหนกอยู่ในใจ

เทพมารนับร้อยร่างปรากฏขึ้นด้านหลังก้มมองเขาจากที่สูง ต่างทุ่มหมัดลงมา ห้วงมิตินี้พังถล่มในทันใด แม้แต่ชั้นมิติที่อยู่ลึกกว่าก็พังทลายตามไปด้วย ห้วงมิติพังถล่มไปทีละชั้นๆ เมื่อถึงช่วงที่ห้วงอวกาศดั้งเดิมเผยออกมา พลังของเทพมารทั้งหมดก็โถมลงบนร่างวิญญาณของนักพรตเต๋าเสินเผาแล้ว

ตูม!

ฉากนี้ดูเหมือนจะซับซ้อน แค่ความจริงกลับไม่สามารถระบุชัดเจนได้เลย นักพรตเต๋าเสินเผาหลบหลีกไม่ทัน วิญญาณสีทองระเบิดทันที

หานเจวี๋ยเรียกเทพมารกลืนกินออกมาอีกครั้ง เทพมารกลืนกินอ้าปากกว้างแดงฉาน กลืนกินห้วงมิติรอบข้างที่พังทลายทั้งหมดเข้าไป

นักพรตเต๋าเสินเผาที่เพิ่งก่อร่างวิญญาณขึ้นมาได้ยังฟื้นตัวได้ไม่สมบูรณ์ ก็ถูกดูดเข้าสู่ปากของเทพมารกลืนกิน วินาทีที่กำลังจะหายไป เขาเปล่งเสียงออกมา “อริยะเทพอวี๋เจี้ยน!”

………………………………………………………………