บทที่ 728 สองเอกลักษณ์

บทที่ 728 สองเอกลักษณ์

พวกฉู่เยว่และจ้าวหงเหมยล้วนคิดว่าซูเสี่ยวเถียนไปที่ชนบทกับผู้ใหญ่เมื่อไม่กี่ปีก่อน จากนั้นผ่านไปสองปีจึงเพิ่งกลับมา สุดท้ายด้วยนิสัยและการแต่งตัวของซูเสี่ยวเถียน ก็ทำให้ไม่มีใครเชื่อว่าเธอเกิดและโตในชนบท

ไม่ใช่ว่าพวกเธอไม่เคยเห็นคนจากชนบท ความจริงเธอมีญาติพี่น้องอาศัยอยู่ในชนบทมาหลายปี ทุกการทำล้วนเหมือนกันจึงไม่เหมือนพวกคนในเมืองหลวง

ซูเสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าเพื่อนทั้งสองคนคิดเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้อธิบายด้วยตัวเอง

เมื่อเธอได้มารู้ความคิดของพวกเธอทีหลังก็เป็นธรรมดาที่จะหัวเราะอย่างขบขัน เธอมาถึงเมืองหลวงเมื่อสองปีก่อนจริง ๆ แต่สถานการณ์ตรงข้ามกับสิ่งที่พวกเธอจินตนาการทั้งหมด

หลังจากอิ่นหรูอวิ๋นล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อย เมื่อเข้ามาในห้องพักก็เห็นฉากการพูดคุยกันอย่างมีความสุข

เห็นฉากนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกบาดตายิ่งนัก

ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าคนอย่างตนไม่จำเป็นต้องมีความคิดเช่นนี้กับคนไม่จำเป็น เธอจึงปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ เธอไม่ใช่ส่วนเกินแต่แค่คนพวกนี้ไม่ดีพอ

สายตาเสี่ยวเถียนมองไปทางฉีเสี่ยวฟางที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง

ฉีเสี่ยวฟางกำลังนั่งอยู่บนเตียงเปิดโคมไฟอ่านหนังสือมีสมาธิจริงจังเป็นอย่างมาก ราวกับไม่ว่าคนในห้องพักจะทำอะไรก็ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเธอ

อิ่นหรูอวิ๋นเจ็บใจที่เหล็กไม่กลายเป็นเหล็กกล้า*[1] ของที่ไม่มีประโยชน์แค่วันเดียวจะยอมรับได้หรือ?

อิ่นหรูอวิ๋นรู้เสียที่ไหนว่าฉีเสี่ยวฟางไม่ใช่ว่ายอมรับ เพียงแต่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หนึ่งวันทำให้เธอดึงสติกลับมาสู่ความเป็นจริง

การเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยไม่ใช่ว่าชีวิตของเธอจะต่างออกไป และด้วยความหมายอันลึกซึ้งชีวิตของเธอจึงต้องเดินต่อไปในเส้นทางใหม่

ส่วนเส้นทางชีวิตนี้ในอนาคตจะไปได้ถึงขั้นไหน นั่นก็เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากความพยายามของตัวเอง

หากบอกความคิดในตอนนี้ของอิ่นหรูอวิ๋นก็นับว่ายุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก

เธอดูแคลนฉีเสี่ยวฟางแต่ก็ยังต้องการใช้ประโยชน์จากฉีเสี่ยวฟาง

ฉีเสี่ยวฟางเป็นคนชนบทไม่เหมาะสมที่จะมายืนข้างเธอ แต่เป็นธรรมดาที่เธอก็ไม่อยากคบค้าสมาคมกับเฉียนเสี่ยวเป่ยและหลี่เจี้ยนหงมากนัก

ซูเสี่ยวเถียนรอให้พวกเธอพูดคุยกันอีกหลายประโยค ครุ่นคิดพลางพึมพำว่าเสียงอาจรบกวนคนของห้องพักข้าง ๆ กับห้องพักฝั่งตรงข้ามจึงยิ่งกดเสียงเบาลง

ซูเสี่ยวเถียนกลับไปเริ่มอ่านหนังสือบนเตียงอย่างจริงจัง

หลังจากปิดไฟซูเสี่ยวเถียนก็ยังอ่านหนังสืออย่างจริงจัง วันนี้ออกไปข้างนอกทั้งวันเวลาอ่านหนังสือจึงเลื่อนออกไปช้าลง ดังนั้นจึงต้องมาอ่านชดเชยช่วงกลางคืนสักหน่อย

เป็นค่ำคืนที่ไร้คำพูด

เช่าวันต่อมาก็เป็นวันเข้าเรียน

ในหอพักเป็นอาคารขนาดใหญ่ล้วนได้ยินเสียงของพวกหญิงสาวพูดคุยหัวเราะคิกคัก

พวกซูเสี่ยวเถียนที่อาศัยอยู่ในหอพักนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักศึกษาใหม่ของปีนี้

มีความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยเป็นอย่างมาก พวกหญิงสาวจึงรู้สึกตื่นเต้นยิ่ง

หลังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวคนจำนวนมากก็มุ่งไปทางโรงอาหาร

แม้แต่กลุ่มซูเสี่ยวเถียนก็ไม่เว้น

หลังกินอาหารเช้าง่าย ๆ พวกเธอก็พูดคุยอย่างสนุกสนานตรงไปยังตึกเรียน

พวกฉู่เยว่เคยมาดูห้องเรียนแล้วเมื่อวานครั้งหนึ่งจึงถือว่าคุ้นทางอยู่บ้าง

ซูเสี่ยวเถียนตามพวกเธอไปพลางจำทางอยู่เงียบ ๆ

มหาวิทยาลัยจิ่งเฉิงทั้งมีขนาดใหญ่ รูปแบบของสวนก็คดเคี้ยวหาเจอได้ไม่ง่าย

ส่วนซูเสี่ยวเถียนเดิมทีก็เป็นผู้ที่มีความทรงจำดีเลิศอยู่แล้ว แต่เฉียนเสี่ยวเป่ยและหลี่เจี้ยนหงทั้งสองคนต่างบอกว่ารู้สึกลำบากพอสมควร ดีที่ยังเช้าอยู่จึงมีไม่กี่คนที่เดินอย่างไม่รีบร้อน

“มหาวิทยาลัยใหญ่ขนาดนี้ก็ควรมีแผนที่จริง ๆ”

หลี่เจี้ยนหงเดินไปด้วยความมึนงงเมื่อก้าวไปจนทิวทัศน์เปลี่ยนไปก็เริ่มเวียนหัว

ทันใดนั้นซูเสี่ยวเถียนก็รู้สึกว่าความคิดนี้ไม่ผิด แต่ดูเหมือนแต่ไหนแต่ไรจะไม่มีใครเคยพิจารณาเรื่องที่จะทำแผนที่ของมหาวิทยาลัย หรือทำเครื่องหมายเป็นพิเศษเพื่อเป็นจุดสังเกตอย่างชัดเจน

“เจี้ยนหงความคิดของเธอถูกต้องตั้งแต่พรุ่งนี้เธอมาเริ่มกันเถอะ มาเดินสำรวจมหาวิทยาลัยอย่างจริงจังจะได้วาดแผนที่สถานที่ในมหาวิทยาลัย รอจนถึงปีหน้าพวกรุ่นน้องจะได้มีแผนที่ใช้”

แม้ซูเสี่ยวเถียนจะพูดไปยิ้มไปแต่ก็รู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว

เดิมทีหลี่เจี้ยนหงเป็นคนที่ไม่รู้เส้นทางมากนักก็ยังเริ่มคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้

หลังจากทั้งกลุ่มใช้เวลากว่ายี่สิบนาทีก็มาถึงตึกเรียนแล้ว

ห้องเรียนภาษาจีนปีหนึ่งอยู่ชั้นสองตึกฝั่งตะวันตก หลังจากมาถึงพวกซูเสี่ยวเถียนก็เข้าไปในห้องเรียน

วิชาภาษาจีนศาสตร์เป็นวิชาเอกที่มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในห้องเรียนจึงครึกครื้นไปด้วยเหล่าเด็กสาวราวกับดอกไม้งาม

อิ่นหรูอวิ๋นและฉีเสี่ยวฟางที่ไม่เคยอยู่กับพวกเธอล้วนเข้าไปนั่งในห้องเรียนแล้ว

ต่างกันตรงที่ฉีเสี่ยวฟางนั่งในมุมแถวที่สอง แต่อิ่นหรูอวิ๋นนั่งตัวตรงอยู่ที่นั่งแถวแรกตรงกลาง

เมื่อเห็นพวกซูเสี่ยวเถียนเดินเข้ามาอิ่นหรูอวิ๋นก็ยังโบกมือให้พวกซูเสี่ยวเถียนเป็นพิเศษ รอยยิ้มนั้นก็อ่อนหวานยิ่งนัก

ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกกระอักกระอ่วนจนเข็ดฟัน

ตอนอยู่ในหอพักเห็นได้ชัดว่าไม่ได้พูดคุยกันเลย แต่อิ่นหรูอวิ๋นกลับทำท่าทีแบบนี้ในห้องเรียนหรือ?แต่ภายใต้สายตาทุกคู่ซูเสี่ยวเถียนก็ไม่คิดจะทำให้อิ่นหรูอวิ๋นเสียหน้าเกินไป แต่ก็ไม่คิดให้คนอื่นเสียหน้าเกินไปก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่คิดทำให้เธอเสียหน้าเกินไป

“เสี่ยวเถียนทำไมจู่ ๆ พวกเธอก็หายไปล่ะ ฉันคิดว่าพวกเธอมาที่ห้องเรียนแล้วเลยรีบมาแต่กลับกลายเป็นว่าพวกเธอยังไม่มาเลย”

คำพูดที่น้อยใจนี้มีความอ่อนหวานขลาดกลัวอยู่สามส่วนและความอ่อนแออยู่สองส่วน ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากปกป้อง

ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกรังเกียจในใจ แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม

“ตอนที่เธอออกไปพวกเราก็ล้วนยังอยู่ในห้องพักยังไม่ทันได้จัดของ หรูอวิ๋นหรือว่าตาของเธอไม่ดี?” ซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างสุภาพเรียบร้อย “ฉันได้ยินคนบอกว่าคนที่อ่านหนังสือมากจะทำให้สายตาไม่ดี เธอเรียนได้ผลการเรียนดีก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อการปกป้องดวงตาได้นะ”

แม้ซูเสี่ยวเถียนจะไม่ได้มีรูปลักษณ์น่าสงสารแบบอิ่นหรูอวิ๋น แต่ด้วยอายุที่น้อยกว่าทำให้ดูมีภาพลักษณ์เป็นเด็กที่ยังไม่รู้จักโลกภายนอกนัก

อิ่นหรูอวิ๋นกัดฟันอย่างเกลียดชัง

ลอบด่าอยู่ในใจว่า ‘เธอสิสายตาไม่ดี ทั้งครอบครัวเธอสิที่สายตาไม่ดี!’

แต่ใบหน้าก็ยังมีรอยยิ้มอบอุ่นเหมือนเดิม

“พวกเธออาจจะเข้าใจผิดฉันแค่ไปเข้าห้องน้ำ แต่พอกลับมาที่ห้องพักก็ไม่เห็นพวกเธอแล้ว”

ซูเสี่ยวเถียนแสร้งทำท่าทีไม่เข้าใจพลางพูด “เธอไปเข้าห้องน้ำต้องเอากระเป๋าไปด้วยหรือ?”

ถูกต้อง บนโต๊ะเรียนของอิ่นหรูอวิ๋นยังมีกระเป๋าเรียนวางไว้อยู่

เมื่อพูดประโยคนี้ออกมาแม้แต่ใบหน้าของอิ่นหรูอวิ๋นที่หนากว่ากำแพง ก็รู้ว่าไม่อาจพูดต่อไปได้

ซูเสี่ยวเถียนพูดปิดท้ายเรียบร้อยแล้ว

อิ่นหรูอวิ๋นไม่เพียงแต่อยากให้ทุกคนรู้ว่ากลุ่มของซูเสี่ยวเถียนเป็นกลุ่มเล็กที่ไม่รวมกลุ่มกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน แต่ยังทำให้ดูเป็นคนที่กีดกันเพื่อร่วมห้องพักด้วยหรือ?

ซูเสี่ยวเถียนไม่ปล่อยให้อิ่นหรูอวิ๋นทำตามที่ต้องการ

เธอบอกคนอื่นอย่างชัดเจนว่าเพราะเห็นอิ่นหรูอวิ๋นสะพายกระเป๋าออกไปจากห้องก่อนแล้ว

หากเป็นสถานการณ์ปกติการสะพายกระเป๋าออกจากห้องแน่นอนว่าคงไม่คิดว่าจะกลับมาที่หอพักแล้ว

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด

ในห้องนี้มีห้าสิบคน และสามสิบห้าคนเป็นผู้หญิงห้องเรียนจึงมีชีวิตชีวามาก

เพียงเข้าเรียนวันแรกเพื่อนนักเรียนทุกคนก็ล้วนรีบทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ตอนที่พาดพิงถึงความเกี่ยวข้องกันหอพักห้องสามหนึ่งสี่ก็ล้วนสนุกสนานยิ่งนัก

เพื่อนร่วมชั้นต่างมองดูอย่างเพลิดเพลิน

ในเมื่อพวกเธออยู่ห้องนี้เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่าห้องนี้เป็นอันดับหนึ่งของเมืองหลวงปีนี้

และยังรู้อีกว่าอันดับหนึ่งมีเอกลักษณ์อยู่สองอย่างนั่นคือ หนึ่ง เรียนได้ผลการเรียนดีมาก อีกอย่างคืออายุยังน้อยมาก

[1] เหล็กไม่กลายเป็นเหล็กกล้า หมายถึง คนที่ตั้งความหวังไว้ไม่เป็นไปอย่างที่หวัง