ตอนที่ 1489 อย่างนี้นี่เอง (2) ตอนที่ 1490 อย่างนี้นี่เอง (3)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 1489 อย่างนี้นี่เอง (2) / ตอนที่ 1490 อย่างนี้นี่เอง (3)
ตอนที่ 1489 อย่างนี้นี่เอง (2)

“แต่ในช่วงเวลาหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ตำหนักหยกวิญญาณเกิดความขัดแย้งภายในขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้พวกเขาตกจากตำแหน่งหนึ่งในตำหนักที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสิบสามตำหนัก แม้ว่าจะยังมีข่าวลือเกี่ยวกับตำหนักหยกวิญญาณให้ได้ยินอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาถูกศิษย์ของสิบสองตำหนักข่มเหง ไม่เคยได้ยินว่าพวกเขากลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง”

“เหตุการณ์ของตำหนักหยกวิญญาณเกิดขึ้นเร็วเกินไป ตอนนั้นข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นข้าเลยไม่รู้เหตุผลเบื้องหลังจริงๆ ของมันขอรับ” เยี่ยซาพูด

เยี่ยกูก็พยักหน้าอยู่ข้างๆ

“นึกออกแล้ว!” จู่ๆ เฉียวฉู่ก็ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น “ข้านึกออกแล้วว่าเคยได้ยินเรื่องของตำหนักหยกวิญญาณจากที่ไหน! ตอนยังเด็ก มารดาของข้าบอกข้าว่าสตรีที่สวยที่สุดในสามโลกชั้นกลางของเราก็คือจ้าวตำหนักหยกวิญญาณ ท่านแม่เล่าว่าตำหนักหยกวิญญาณมีสาวงามมากมายเหมือนเมฆบนท้องฟ้า…” ความทรงจำจากเมื่อนานมาแล้วทำให้เฉียวฉู่อดยิ้มออกมาไม่ได้ ตอนนั้นเขายังเด็กมากและไม่รู้อะไรเลย เขาจับแขนเสื้อเด็กหญิงคนหนึ่งไว้ไม่ยอมปล่อย มารดาเขาเลยมาเกลี้ยกล่อมเขาโดยบอกให้เขาไปหาจ้าวตำหนักหยกวิญญาณในอนาคต เพื่อขออนุญาตให้เขารับสาวงามจากที่นั่นมาเป็นฮูหยินของเขา

สตรี…ที่สวยที่สุดในสามโลกชั้นกลาง…

จวินอู๋เสียเหม่อมองออกไปไกล นางแน่ใจหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มว่าคนที่ตำหนักหยกวิญญาณคนนั้นเป็นบุรุษ! บุรุษแท้ๆ ทั้งแท่ง!

“ทำไมถึงบอกว่าจ้าวตำหนักเป็นสตรีที่สวยที่สุดในสามโลกชั้นกลางเล่า” จวินอู๋เสียแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง

เฉียวฉู่ตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้ แต่ตำหนักหยกวิญญาณรับแต่ศิษย์สตรีนี่ ศิษย์ของพวกเขาก็รูปร่างหน้าตาโดดเด่นทั้งนั้น สาวงามทั้งตำหนักแบบนี้ จ้าวตำหนักของพวกนางก็ต้องงดงามมากๆ ถึงจะอยู่เหนือพวกนางได้ไม่ใช่หรือ”

จวินอู๋เสียต้องก้มหัวให้กับสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวอย่างเฉียวฉู่จริงๆ ยอมกับคำตอบของเขาเลย ช่างเรียบง่ายและเถรตรงมาก

“จริงๆ แล้ว จ้าวตำหนักหยกวิญญาณหน้าตาหรือบุคลิกลักษณะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้เลย นอกจากคนของตำหนักหยกวิญญาณแล้ว ไม่มีใครเคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของจ้าวตำหนักหยกวิญญาณ เพราะเขาไม่เคยก้าวออกจากตำหนักหยกวิญญาณเลย” เยี่ยกูนึกถึงสิ่งที่เขารู้และพูดออกมา

ปล่อยไว้แบบนั้นก็อาจจะสมเหตุสมผลแล้ว จวินอู๋เสียจึงพยักหน้าอย่างครุ่นคิด

“เยี่ยกู จวินอู๋เย่าบอกข้าก่อนหน้านี้ว่า พลังวิญญาณขั้นสีม่วงเป็นเพียงขั้นพื้นฐานของสามโลกชั้นกลาง อย่างนั้นเหนือขั้นนี้มีอะไรบ้าง” จวินอู๋เสียเอียงคอมองใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเยี่ยกู

เยี่ยกูพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมากว่า “พลังวิญญาณขั้นสีม่วงแบ่งออกเป็นห้าขั้น เหนือห้าขั้นนั้นจะเป็นพลังวิญญาณขั้นสีเงิน ต่อจากสีเงินก็เป็นสีทอง ทั้งสีเงินและสีทองก็แบ่งเป็นสีละห้าขั้นเช่นกัน ผู้อาวุโสจากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจที่ต่อสู้กับคุณหนูใหญ่ที่เมืองชิงเฟิงคือพลังวิญญาณขั้นสีม่วงขั้นสามจ้าวตำหนักของสิบสองตำหนักน่าจะบรรลุขั้นสีเงินหมดแล้ว เหนือพลังวิญญาณขั้นสีม่วงขึ้นไป ความแตกต่างของแต่ละขั้นจะเหมือนเมฆบนท้องฟ้ากับโคลนบนพื้นดิน”

“ตอนนี้ข้าอยู่ที่ขั้นไหน” จวินอู๋เสียถาม

“ตอนนี้คุณหนูใหญ่อยู่ที่พลังวิญญาณขั้นสีม่วงขั้นสี่ขอรับ” เยี่ยกูตอบ

“แล้วข้าเล่า ข้าเล่า” เฉียวฉู่อดใจไม่ไหว ถามขึ้นมาบ้าง

เยี่ยกูเหลือบมองเขาแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “พลังของคุณชายเฉียวกับคุณชายคนอื่นๆ น่าจะอยู่ที่ขั้นสาม”

“หา” เฉียวฉู่ตะลึง

“นี่…นี่ผิดหรือเปล่า พวกเรา…พวกเราทุกคนต่ำกว่าน้องเสียขั้นหนึ่งหรือ” เฉียวฉู่รู้สึกว่าสมองเขาถูกใช้เกินกำลัง ตอนที่พวกเขาเข้าไปในสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ พลังวิญญาณของจวินอู๋เสียอ่อนแอกว่าพวกเขาทุกคน ผ่านไปพักเดียว พวกเขาออกจากที่นั่น นางก็แซงหน้าพวกเขาทุกคนไปแล้ว…

จู่ๆ เฉียวฉู่ก็รู้สึกว่าเขาไม่รู้จะอยู่เพื่ออะไรแล้ว เขายังจำครั้งแรกที่พบกับจวินอู๋เสียในเมืองผีได้ นางตัวเล็กมาก อ่อนแอมาก!

และตอนนี้ความจริงที่โหดร้ายก็พุ่งเข้าใส่หน้าเขาเต็มๆ!

ตอนที่ 1490 อย่างนี้นี่เอง (3)

เฉียวฉู่กลายเป็นมะเขือเทศที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เปราะและแตกหักได้ง่าย

“ภูเขาฝูเหยาเป็นสถานที่ที่มีความเข้มข้นของพลังวิญญาณหนาแน่นที่สุดในสามโลกชั้นกลาง คุณหนูใหญ่อาจใช้เวลาที่นี่ในระหว่างงานชุมนุมเทพยุทธ์เพื่อฝึกฝนต่อก็ได้นะขอรับ” เยี่ยกูพูดต่อ

ขณะที่เขาพูด ก็มีหัวเล็กๆ โผล่ออกมาจากในเสื้อคลุมตรงหน้าอกของเขา และร้อง “แบ๊ะ แบ๊ะ” ใส่จวินอู๋เสีย

เมื่อได้ยินเสียงของใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะ กระต่ายโลหิตที่ถูกยัดไว้ในเสื้อคลุมของเยี่ยซาก็อดโผล่หัวออกมาด้วยไม่ได้ เจ้าสัตว์โง่ทั้งสองพากันส่งเสียงเรียกร้องความสนใจจากจวินอู๋เสีย พวกมันเสียงดังมากจนเยี่ยซาและเยี่ยกูไม่มีทางเลือกนอกจากวางพวกมันลง ปล่อยพวกมันไว้ในมือของจวินอู๋เสียให้นางโอ๋เอาใจพวกมัน

จวินอู๋เสียไม่ได้ตั้งใจที่จะนำสัตว์วิญญาณทั้งสองตัวนี้มาที่สามโลกชั้นกลางด้วย แต่นางทนความน่ารักจากเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่โจมตีหัวใจนางไม่หยุดไม่ได้ นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากผลักพวกมันไปอยู่ในความดูแลของเยี่ยซาและเยี่ยกูชั่วคราว

สำหรับเยี่ยกูมันก็ไม่ได้แย่อะไรนัก แม้ว่าเขาจะมีอารมณ์รุนแรง แต่รูปลักษณ์ของเขาก็ยังเป็นเด็กชายอยู่ ดังนั้นถึงเขาจะอุ้มสัตว์วิญญาณตัวเล็กน่ารักไว้ในอ้อมแขน มันก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากคนอื่นมากนัก

แต่สำหรับเยี่ยซาที่นอกจากจะรูปร่างสูงใหญ่แล้ว เขายังมีใบหน้าที่เย็นชาเคร่งขรึมมาก การได้เห็นเขาอุ้มกระต่ายโลหิตตัวขนาดเท่าฝ่ามือไปรอบๆ ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอ็นดูเขาขึ้นมา

จวินอู๋เสียกับเจ้าสัตว์วิญญาณจอมโง่สองตัวโอ๋กันอยู่พักหนึ่ง ขณะที่ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น ผู้คนที่ออกมาบนยอดเขาก็เริ่มมากขึ้น เฉียวฉู่และจวินอู๋เสียก็ยืนขึ้นเพื่อเตรียมตัวกลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

จากการคำนวณเวลาพบว่าอีกเพียงไม่กี่วันก็จะถึงงานชุมนุมเทพยุทธ์แล้ว แต่เมื่อจวินอู๋เสียและเฉียวฉู่กลับมา พวกเขาก็ได้ข่าวอย่างหนึ่ง

ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่ทราบสาเหตุ งานชุมนุมเทพยุทธ์ถูกเลื่อนออกไปอีกครึ่งเดือน ข่าวนี้ทำให้เกิดความดีใจและความเสียใจจากผู้เยาว์ทุกคนที่มาจากทั่วทุกสารทิศ คนที่ดีใจเพราะรู้สึกว่าพวกเขาจะได้มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น คนที่เสียใจก็คือคนที่กังวลมากเกี่ยวกับงานชุมนุมและพวกเขาจะต้องทนทรมานไปอีกสองสัปดาห์

นอกจากนั้น…

ค่าใช้จ่ายของสิ่งต่างๆ บนยอดเขาฝูเหยาก็ค่อนข้างโหดด้วย!

พอจวินอู๋เสียได้ข่าว นางโบกมือลาเฉียวฉู่แล้วทิ้งเขาไปทันที ปล่อยให้เขาตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะตายเอาเอง ส่วนนางก็ไปตามทางของตัวเองยังเส้นทางลงภูเขาฝูเหยา

เยี่ยซาและเยี่ยกูตามนางไปตลอดทางจนกระทั่งเห็นจวินอู๋เสียเข้าไปในถ้ำที่เป็นทางเข้าตำหนักหยกวิญญาณ

“คุณหนูใหญ่คิดจะ…” เยี่ยซารู้สึกกังวลขึ้นมาทันที

“ช่วงนี้ข้าจะฝึกอยู่ที่ตำหนักหยกวิญญาณชั่วคราว อีกสองอาทิตย์ก่อนวันงานชุมนุมเทพยุทธ์ ข้าจะมาที่นี่ ช่วงนี้พวกเจ้าสองคน…จะไปทำอะไรก็ทำ” จวินอู๋เสียมองเยี่ยซาและเยี่ยกูด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

บุรุษทั้งสองคนอ้าปากค้างทันที!

“คุณ…คุณหนูใหญ่…นี่…นี่มัน…” เยี่ยกูได้แต่พูดตะกุกตะกัก ใบหน้าครึ่งหนึ่งที่เผยให้เห็นนอกหน้ากากกลายเป็นสีแดงจากการอดกลั้น เขาไม่ได้รับใช้จวินอู๋เสียนานมากนัก แต่นายท่านได้สั่งเขาและเยี่ยซาไว้อย่างเข้มงวดให้ดูแลจวินอู๋เสียให้ดีและให้เชื่อฟังคำสั่งของจวินอู๋เสียด้วย แต่สถานการณ์ตอนนี้ทำให้เยี่ยกูถึงกับทำอะไรไม่ถูกด้วยความตกใจ

“คุณหนูใหญ่ ถ้าไม่มีกุญแจที่นี่ ท่านจะเคลื่อนหินที่ทางเข้าไม่ได้นะขอรับ” เยี่ยซาเตือนจวินอู๋เสียอย่างใจเย็น

จวินอู๋เสียกวาดสายตามองทั้งสองคน จากนั้นก็เดินไปที่ก้อนหิน นางล้วงเข้าไปในแขนเสื้อแล้วดึงเอากุญแจหยกขาวที่ทำอย่างประณีตออกมา มันดูคล้ายกับอันที่พวกเขาเห็นห้อยคอของจื่อจินเมื่อครั้งที่แล้ว แม้กระทั่งเชือกที่ผูกไว้กับกุญแจก็ดูเหมือนกันทุกประการ!

“คุณหนูใหญ่ ตั้งแต่เมื่อไร…” เยี่ยซาก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน

แต่จวินอู๋เสียไม่คิดจะให้พวกเขามีเวลาย่อยข้อมูลมากนัก นางลอดผ่านช่องที่เปิดออกด้านหลังก้อนหินอย่างรวดเร็ว

เยี่ยซาและเยี่ยกูทำอะไรไม่ได้นอกจากมองก้อนหินเคลื่อนกลับเข้าที่ ปิดผนึกทางเข้าเอาไว้ ในหัวของพวกเขาว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง