บทที่ 750 มรรคาสวรรค์ผดุงธรรม

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 750 มรรคาสวรรค์ผดุงธรรม

หลังจากเมินอริยะเทพอวี๋เจี้ยนแล้ว หานเจวี๋ยพลันนึกถึงปัญหาข้อหนึ่งขึ้นมา

‘ดวงจิตมหามรรคไร้ข้อผูกมัด แล้วคุกสวรรค์อนธการจะสามารถสยบเขาเป็นทาสได้หรือ’

[ได้ เนื่องจากตัวท่าน ระบบจึงอยู่เหนือกว่าเขา]

หานเจวี๋ยโล่งใจ

ดูเหมือนยังคงเป็นระบบที่ยอดเยี่ยม ร้ายกาจกว่ามหามรรคเสียอีก

เขาอดไม่ได้ที่จะนึกสงสัยในประวัติความเป็นมาของระบบอีกครั้ง น่าเสียดายที่ระบบก็ไม่สามารถอธิบายได้เช่นกัน

หานเจวี๋ยนึกถึงเรื่องอีกอย่างขึ้นมา

‘การต่อสู้ในวันนี้วุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้ มีอันตรายต่อมรรคาสวรรค์ เกี่ยวข้องไปถึงดวงวิญญาณมหามรรค ไม่กระตุ้นให้เกิดตัวเลือกจากระบบหรือ’

หานเจวี๋ยถามในใจ อยากได้รางวัลเพิ่มสักชิ้น

[ระบบตรวจพบว่าอันตรายครั้งนี้ไม่เพียงพอจะเป็นภัยคุกคามต่อตัวท่าน และไม่ส่งผลกระทบต่อมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงไม่กระตุ้นให้เกิดตัวเลือกจากระบบ]

หานเจวี๋ยจนปัญญาแล้ว

ต้องโทษที่เขาเก่งเกินไปอย่างนั้นหรือ

ในเวลานี้เอง

[อริยะเทพอวี๋เจี้ยนต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]

มาอีกแล้ว!

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว คิดไปคิดมา ยังคงเลือกยอมรับ เพื่อป้องกันให้ไม่พลาดข่าวสารสำคัญ แต่ก่อนหน้านั้นเขาสร้างร่างแยกออกมาร่างหนึ่ง ให้คอยจับตามองนักพรตเต๋าเสินเผาในคุกสวรรค์อนธการอย่างเข้มงวด

‘ข้าอยากรู้ว่าหากยอมรับการเข้าฝันครั้งนี้ จะมีอันตรายหรือไม่’

หานเจวี๋ยถามในใจ อีกฝ่ายไม่ใช่พวกไร้ฝีมือ นับว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเท่าที่เข้าเคยพบพานมา ส่วนบรรพชนเต๋า ผานกู่ จอมเทวาฟ้าบุพกาล เทวีตราวินัย เขาเพียงเคยได้ยินชื่อเสียงเท่านั้น

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสามแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่มี]

หานเจวี๋ยเลือกยอมรับการเข้าฝัน

เมื่อเข้าสู่แดนความฝัน เขาปรากฏตัวขึ้นในห้วงมิติเวิ้งว้างดั้งเดิม มีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า เป็นอริยะเทพอวี๋เจี้ยน

ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในความเงียบ

หานเจวี๋ยไม่ทราบว่าควรจะพูดอะไรกับผู้แพ้อย่างอีกฝ่าย

ข่มขู่อย่างนั้นหรือ

หรือเย้ยหยัน

น่าเบื่อ

หรือจะอ้อนวอนขอร้องดี

เพ่ย ความคิดนั่นมันอะไรกัน

ส่วนการปลอบใจ แบบนั้นยิ่งไม่จำเป็น เพราะถึงอย่างไรหากหานเจวี๋ยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แล้วได้รับคำปลอบใจจากอีกฝ่ายนั่นมีแต่จะยิ่งอึดอัดใจกว่าเดิม

จะว่าไป ตั้งเเต่มาอยู่ที่โลกบำเพ็ญเพียรแห่งนี้ หานเจวี๋ยยังไม่เคยแพ้เลย

เพียงเพราะเขาระแวดระวังตัวอย่างยิ่ง หากไม่มีความมั่นใจก็จะไม่สู้

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนสูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยว่า “เจ้าแข็งแกร่งมาก ข้ายังไม่เคยเจอตัวตนเช่นเจ้ามาก่อน ตัวตนที่ไร้เทียมทานในระดับเดียวกัน”

หานเจวี๋ยตอบว่า “เจ้าก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน ในระดับเดียวกัน ยังไม่เคยมีผู้ใดสร้างแรงกดดันให้ข้าได้เช่นนี้ ข้าทุ่มเทพลังทั้งหมดถึงเอาชนะเจ้าได้”

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนแค่นเสียง “แพ้ก็คือแพ้ ข้าแพ้แล้ว ที่มาเข้าฝันเจ้าครั้งนี้ มิได้ต้องการมาพูดจาร้ายกาจ ในเมื่อนักพรตเต๋าเสินเผาถูกเจ้าสังหาร เช่นนั้นระหว่างเจ้าและข้าก็ไร้ซึ่งบุญคุณความแค้น วันหน้าข้ายังอยากมาท้าเจ้าสู้อีก บางทีหลังจากเอาชนะเจ้าได้ ข้าอาจจะมีโอกาสกอบกู้ศักดิ์ศรีคืน”

หานเจวี๋ยอดถามไม่ได้ “ทั้งตัวเจ้า นักพรตเต๋าเสินเผาและเฮิ่นจี ล้วนเป็นผู้ทรงพลังที่ฝึกบำเพ็ญมาหลายยุคหลายสมัย เหตุใดต้องมาโจมตีรุกรานมาตุภูมิของผู้อื่นเช่นนี้ด้วยเล่า พวกเจ้ามีแผนอะไร ขาดแคลนโชควาสนาอย่างนั้นหรือ ถ้าได้มรรคาสวรรค์ไป พวกเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นหรือไร หรือวางแผนสร้างชื่อเสียงอยู่ ในฟ้าบุพกาลยังมีผู้ใดกล้าต่อต้านดวงจิตมหามรรคอีกหรือ”

“เจ้าอย่างไรเล่า เจ้าสังหารดวงจิตมหามรรคไปสองรายแล้ว” อริยะเทพอวี๋เจี้ยนเอ่ยด้วยความหงุดหงิด

หานเจวี๋ยเถียงกลับ “ข้าทำไปเพราะความจำเป็น ใครบอกให้พวกเขามาข่มเหงข้ากันเล่า ข่มเหงรังแกผู้อื่น ย่อมไม่มีจุดจบที่ดี”

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนเอ่ยว่า “ขอยืมคำพูดเผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเจ้าหน่อยเถิด ใจคนยากแท้หยั่งถึง ดวงจิตเองก็เช่นกัน หากต้องการควบคุมฟ้าบุพกาล ก็ต้องมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ ในอดีตดวงจิตมหามรรคเองก็พูดแบบเดียวกับเจ้า อยากฝึกบำเพ็ญอย่างสงบ ไม่ข้องแวะกับข้อพิพาทหรือความบาดหมาง จนกระทั่งพวกเขาได้พบกับเทพมารฟ้าบุพกาลตนหนึ่ง”

“ผู้ใด”

“ผานกู่”

หานเจวี๋ยเงียบไป

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าเล่าดวงจิตมหามรรคถึงได้หวั่นเกรงมรรคาสวรรค์

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนเอ่ยต่อไปว่า “เพื่อขัดขวางไม่ให้ผานกู่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ดวงจิตมหามรรคจึงร่วมมือกันจัดการมรรคาสวรรค์ แต่ถูกบรรพชนเต๋าขัดขวาง บรรพชนเต๋ารับปากว่าจะไม่ปล่อยให้มรรคาสวรรค์แข็งแกร่งจนเกินไป ขอร้องให้ดวงจิตมหามรรคช่วยละเว้นมรรคาสวรรค์สักครั้ง คำปฏิญาณนี้ดำรงอยู่มาหลายยุคหลายสมัยนับไม่ถ้วน เมื่อเวลาผ่านเนิ่นนานไปมีผู้ทรงพลังมากมายถือกำเนิดขึ้น จนกระทั่งบรรพชนเต๋าหายตัวไป เจ้าถึงได้ปรากฏตัวขึ้นมา”

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

กล่าวเช่นนี้คือ จะโทษว่าที่ปัจจุบันนี้มรรคาสวรรค์เผชิญอันตรายเป็นเพราะเขาเช่นนั้นหรือ

ปรักปรำกันข้างๆ คูๆ!

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนเบี่ยงหัวข้อสนทนาไป “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ข้าอยากรู้ว่าพลังวิเศษที่เจ้าสำแดงออกมาก่อนหน้านี้คือพลังวิเศษใดกันแน่”

หานเจวี๋ยตอบว่า “มรรคาสวรรค์ผดุงธรรม”

“มรรคาสวรรค์ผดุงธรรม…”

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนพึมพำกับตัวเอง ครุ่นคิดทบทวน

หานเจวี๋ยเกรงว่าเขาจะเล่นลูกไม้ ดังนั้นจึงไม่เปิดเผยชื่อพลังที่แท้จริง

ผู้ทรงพลัง ไม่เพียงแต่สามารถทำนายจากบ่วงกรรมได้เท่านั้น ยังทำนายจากชื่อพลังวิเศษได้ด้วย

นี่ก็คือความสำคัญของชื่อ

ชื่อคืออัตลักษณ์แห่งตัวตน!

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าในฟ้าบุพกาลมีดวงจิตมหามรรคอยู่มากน้อยเพียงใด แล้วยอดมหา มรรคเล่ามีมากน้อยเพียงใด”

เขาเห็นว่าอริยะเทพอวี๋เจี้ยนมิใช่คนถือทิฐิ ดังนั้นจึงออกปากสอบถาม

หานเจวี๋ยรับรู้เรื่องราวบนฟ้าบุพกาลน้อยเกินไป ก่อนหน้านี้ถามมหาอริยะสวีหุนก็ถูกกักขังมานานจึงไม่คุ้นเคยนัก หรือจะผู้อื่นก็อ่อนแอกว่าเขา

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนมองหานเจวี๋ยอย่างลุ่มลึกแวบนึง ก่อนกล่าวว่า “ดวงจิตมหามรรคมีไม่มาก ไม่เกินยี่สิบราย อีกทั้งส่วนใหญ่ต่างเฝ้าประจำอยู่ในเขตฟ้าบุพกาลแห่งใดแห่งหนึ่ง หลังจากนักพรตเต๋าเสินเผาดับสูญ จะมีดวงจิตมหามรรคถือกำเนิดใหม่ขึ้นมาตามธรรมชาติ หรือไม่ก็ด้วยการจัดการของดวงจิตมหามรรครายอื่น ส่วนยอดมหามรรค มีน้อยนิดอย่างยิ่ง เท่าที่ข้าทราบมีจำนวนไม่เกินสิบนิ้วมือ ต่างเป็นตัวตนสันโดษปลีกวิเวก ยากจะปรากฏตัวขึ้นสักครั้งในรอบหลายร้อยล้านปี

“เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ก่อนหน้านี้ที่เทวีตราวินัยลงมือ นั่นเป็นเพราะไว้หน้านักพรตเต๋าเสินเผา ข้าเองก็เช่นกัน ในอดีตเคยติดค้างเขาไว้เท่านั้น”

หานเจวี๋ยหรี่ตาเอ่ยถาม “ยอดมหามรรคคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดใช่หรือไม่”

อริยะเทพอวี๋เจี้ยน ตอบอย่างเย่อหยิ่ง “ถูกต้อง ในแง่ของระดับเป็นเช่นนี้ ส่วนตัวตนในตำนานอย่างจอมเทวาฟ้าบุพกาล นั่นเป็นเพียงตำนานเล่าขาน ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เคยพบเช่นกัน เจ้าไม่จำเป็นต้องระวังจนเกินไป หลังจากสิ้นสุดสงครามในวันนี้ ไม่มีผู้ใดกล้ามารุกรานมรรคาสวรรค์อีกแน่ เว้นแต่จะเป็นดวงจิตมหามรรคร่วมมือกัน อย่างไรก็ตามในหมู่ดวงจิตมหามรรคก็มีความขัดแย้งอยู่เช่นกัน ไหนเลยจะสามารถร่วมมือกันได้ นักพรตเต๋าเสินเผาและดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังก็เป็นอริกัน เพียงหาข้ออ้างมาสังหารเจ้าเท่านั้น”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

หานเจวี๋ยแอบโล่งใจ เขากลัวจริงๆ ว่าจะต้องตกอยู่ในวังวนการต่อสู้ขัดแย้งไม่มีที่สิ้นสุด

เขานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาจึงถามออกไปอีกว่า “แดนเทพหวนปัจฉิมก็มีดวงจิตมหามรรคเช่นกัน เหตุใดถึงไม่มีผู้ควบคุมอาณาเขตในละแวกใกล้เคียงเล่า”

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “อาจจะเป็นดวงจิตที่เพิ่งถือกำเนิดใหม่กระมัง พลังมรรคอ่อนแอเกินไป ถึงจะเป็นดวงจิตมหามรรคเหมือนกัน ระดับเดียวกัน แต่จะวัดกันที่อายุและพลัง อันที่จริงยังมีดวงจิตมหามรรคที่หลบซ่อนอยู่ในส่วนลึกด้วย เพียงแต่มีจำนวนน้อยนิด”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

เป็นไปได้ว่าอริยะเจ็ดวิถีจะปกปิดตัวตนดวงจิตมหามรรคของตนไว้ เขาครอบครองพลังแห่งมหามรรคอยู่เจ็ดวิถี ไม่ธรรมดาจริงๆ น่าเสียดายที่ดันมาพบหานเจวี๋ยเข้า

ทั้งสองพูดคุยกันต่อไปอีกสักพัก จนกระทั่งสิ้นสุดความฝัน

[อริยะเทพอวี๋เจี้ยนเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 3 ดาว]

หานเจวี๋ยมีสีหน้าฉงน

คนผู้นี้อยากเป็นสหายกับเขาจริงๆ เช่นนั้นหรือ

ถูกเขาสยบแล้วหรือ

หานเจวี๋ยถามในใจ ‘ระหว่างที่พูดคุยกับข้าเมื่อครู่นี้ อริยะเทพอวี๋เจี้ยนได้พูดปดหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสามแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่]

ใช้ได้เลยนี่

เหล่าอวี๋เป็นคนซื่อตรงเปิดเผยคนหนึ่ง!

หานเจวี๋ยก็เกิดความประทับใจในตัวอริยะเทพอวี๋เจี้ยนเช่นกัน

ในเมื่ออริยะเทพอวี๋เจี้ยนไม่ได้พูดปด เช่นนั้นต่อไปมรรคาสวรรค์ก็น่าจะมั่นคงแล้ว

หานเจวี๋ยทอดสายตามองไปนอกมรรคาสวรรค์

มหาอริยะสวีหุนลงมือแล้ว สิ่งมีชีวิตเผ่าชิงชังมากมายนับไม่ถ้วนถูกทำลายล้างจนสิ้น ตอนนี้เหล่าอริยชนส่งเหล่าศิษย์แห่งสำนักนิกายต่างๆ ไปจัดการเก็บกวาดสนามรบ ส่วนพวกเขากลับไปยังชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ร่วมซ่อมแซมมรรคาสวรรค์ไปพร้อมกับจอมอริยะเสวียนตู

………………………………………………………………