บทที่ 602 ปกป้องภรรยา

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 602 ปกป้องภรรยา

เหล่าเหลียงอ๋องเฟยออกมาข้างนอกพร้อมกับองครักษ์ แต่ทุกคนต่างหวาดกลัวต่อบารมีของเซวียนผิงโหว จึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาปะทะ

เซวียนผิงโหวเป็นแม่ทัพที่ผ่านสนามรบมาก่อน เขาเคยฆ่าศัตรูมาแล้วนับร้อยนับพัน แล้วเหล่าองครักษ์ที่ไม่เคยพบเจอแม้แต่โลกภายนอกจะเอาอะไรไปสู้ได้

เหล่าเหลียงอ๋องเฟยชะงักไปเพราะท่าทีของเซวียนผิงโหว ไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมรังแกคนที่อ่อนแอกว่า และเกรงกลัวคนที่แข็งแกร่งกว่าอยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้นคนที่แกร่งกว่าก็ย่อมกลัวคนที่มีอำนาจเหนือกว่า ส่วนคนที่มีอำนาจเหนือกว่านั้นกลัวก็แต่คนที่ไม่กลัวตาย

และเซวียนผิงโหวก็เป็นคนจำพวกที่ไม่กลัวตายเสียด้วย

แม่นมกุ้ยเอ่ยหน้าถอดสี “เจ้า…เจ้า…เจ้า…เจ้า…เจ้าสามหาวนัก! หากฝ่าบาทรู้ว่าเจ้าปฏิบัติเช่นนี้ต่ออ๋องเฟยของข้า เจ้าต้องถูกประหารเจ้าแน่นอน! ประหารเท่านั้น!”

“ไสหัวไป!”

เซวียนผิงโหวตวาดลั่น แม่นมกุ้ยล้มลุกคลุกคลานเข้าไปพยุงร่างนายหญิงของตนขึ้นมา ก่อนจะพากันหนีขึ้นรถม้าไป

นางมาเยือนเรือนถนนจูเชวี่ยถึงสองหนในวันเดียว ทั้งยังถูกดูหมิ่นทั้งสองหน เกรงว่าเซวียนผิงโหวจะกลายเป็นบาดแผลในใจของนางไปตลอดชาติ

หลังจากเหล่าเหลียงอ๋องเฟยกลับไป พลขับก็รีบเข็นรถเข็นเข้ามา “ท่านโหวเหย่!”

เซวียนผิงโหวนั่งลงบนรถเข็นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อวี้จิ่นเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าว้าวุ่น ทอดสายตามองรถม้าที่วิ่งออกไปไกล ก่อนจะด้วยความกังวลอย่างอดไม่ได้ “ท่านโหวเหย่ ที่ท่านลงมือเมื่อครู่คือเหล่าเหลียงอ๋องเฟยนะเจ้าคะ”

เซวียนผิงโหวปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาไม่ต้องเอ่ยคำใด เวรยามเฝ้าประตูก็ปล่อยให้เข้ามา จากนั้นก็เป็นคนลากเหล่าเหลียงอ๋องเฟยออกไป อวี้จิ่นสงสัยเสียเหลือเกินว่าเขาไม่รู้จริงๆ หรือว่าข้างในนั้นคือผู้ใด

แต่ใครจะไปคาดคิดกันว่าเซวียนผิงโหวจะตอบเสียงเรียบ “ท่านโหวเหย่ของเจ้าย่อมรู้อยู่แล้ว”

อวี้จิ่น ‘ท่านโหวเหย่ของเจ้าอย่างนั้นรึ เรียกตนเองเช่นนี้ก็ได้หรือ’

เซวียนผิงโหวเป็นคนเด็ดขาด เขาทำอะไรฉับไว ไม่เคยโอ้เอ้ น้อยครั้งนักที่เขาจะลังเล และเป็นคราวนี้เขาลังเลขึ้นมาเสียแล้วสิ

กลับหรือไม่กลับดีนะ

เรียวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน สุดท้ายก็เข็นรถเข็นเข้าไป

องค์หญิงซิ่นหยางยังคงนั่งพิงหัวเตียงท่าเดิม สองมือขย่ำผ้าห่ม สองตาเลื่อนลอย

เซวียนผิงโหวเคาะประตูห้อง แพขนตาขององค์หญิงซิ่นหยางกระพือไหว ก่อนจะได้สติกลับมา เซวียนผิงโหวกำลังลุกยืนขึ้นแล้วเข็นรถเข้ามาพอดี

เขาหยุดอยู่ที่ปลายเตียง คราวนี้ถึงได้พบว่าตนเองลงมือเร็วเกินไป ลากยายแก่นั่นออกไปแต่ตัว แต่ดันลืมโยนรถเข็นของนางออกไปด้วย

“อวี้จิ่น” เขาเอ่ยเรียก

อวี้จิ่นเดินเข้าไปในห้อง มองรถเข็นที่ว่างเปล่า ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจความหมาย ลากรถเข็นของเหล่าเหลียงอ๋องเฟยออกไป

องค์หญิงซิ่นหยางยกมือขึ้นเช็ดหยดน้ำตาบนหน้าอย่างสงบ นางไม่มองเซวียนผิงโหว แต่กลับมองไปยังปลายเตียงอีกฝั่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าสืบอะไรได้บ้าง”

นางถามว่าสืบอะไรได้บ้าง มิใช่ได้ยินอะไรบ้าง

ก็จริงอย่างที่ว่า ใครได้ยินเหล่าเหลียงอ๋องเฟยพูดแบบจาตัดพ้อแบบนั้น ก็คงไม่คิดว่าเหล่าเหลียงอ๋องเฟยจะทำอะไรไม่ถูกไม่ควร

เซวียนผิงโหวตอบตามตรง “ข้ามีพ่อบ้านคนหนึ่งชื่อว่าหลิวเจา เขาเคยติดต่อกับจวนเหล่าเหลียงอ๋องที่เมืองหลวง เขาบอกว่าเจ้าไม่พอใจนักยามอยู่ที่จวนเหล่าเหลียงอ๋อง แต่ทุกคนรวมทั้งเขาคิดว่าเจ้าเป็นที่เอ็นดูของฮูหยินเหล่าเหลียงอ๋อง ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ”

องค์หญิงซิ่นหยางประหลาดใจ “เท่านี้เองหรือ”

เซวียนผิงโหวยักไหล่ “อืม เท่านี้แหละ”

องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยพึมพำราวกับเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “แล้วเหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนั้นกับเหล่าเหลียงอ๋องเฟย”

เซวียนผิงโหวมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ฉินเฟิงหว่าน เจ้าอยู่สุขสบายดีหรือไม่ จำเป็นต้องมีหลักฐานใดมายืนยันหรือ หากนางคำพูดนางเชื่อได้สักคำ เจ้าจะเป็นเช่นนี้หรือ เจ้าบ้าไปแล้ว หรือว่าข้านั้นตาบอด เจ้ามีความสุขดีหรือไม่ ข้าจะมองไม่ออกเชียวหรือ”

องค์หญิงซิ่นหยางมองเขาอย่างตกตะลึง “ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ”

เซวียนผิงโหวจ้องตานาง “แล้วต้องยากปานใด”

องค์หญิงซิ่นหยางหัวเราะเยาะตัวเอง “นั่นสินะ แล้วต้องยากปานใด”

“เสด็จแม่ ข้าไม่ไปหาท่านลุงจิ่วซูได้หรือไม่”

“เป็นอะไรไป ท่านลุงจิ่วซูกับท่านป้าตั้งใจมาหาเจ้าเชียวนะ พวกเขาซื้อขนมของโปรดมาให้เจ้า เจ้าไม่ได้ชอบท่านลุงจิ่วซูกับท่านป้ามากหรอกหรือ”

“ข้า…”

“เอาละ อย่าเอาแต่ใจตนเอง แม่รู้ว่าเจ้ายังโกรธที่แม่ลงโทษเจ้าให้คัดอักษร แต่แม่ทำเพื่อเจ้า เสด็จพ่อของเจ้ามีลูกมากมาย แม่นั้นไม่มีลูกชาย หากเจ้าไม่พยายาม วันหน้าพวกเราสองแม่ลูกคงลำบาก ท่านลุงจิ่วซูเข้าวังเมื่อใดก็มาหาเจ้าเสียทุกครา เสด็จพ่อของเจ้าจึงให้ความสำคัญกับเจ้ามากขึ้น มาหาแม่ที่ตำหนักก็บ่อยขึ้น ไม่นานแม่ก็จะมีน้องชายให้เจ้าแล้ว พอถึงตอนนั้นเราก็จะมีที่เพิ่งยามอยู่วังหลังแล้ว”

“อวี๋เฟยรู้หรือไม่” เซวียนผิงโหวขัดความคิดที่อยู่ในหัวขององค์หญิงซิ่นหยาง

องค์หญิงซิ่นหยางกำผ้าห่มแน่น ตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “รู้อะไรรึ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น”

เซวียนผิงโหวจ้องลึกเข้าไปในแววตาของนางพลางเอ่ย “เหล่าเหลียงอ๋องเป็นที่เคารพของฮ่องเต้พระองค์ก่อน แต่จู่ๆ ก็ลาออกจากตำแหน่งในเมืองหลวงทั้งหมด พาครอบครัวไปอยู่หัวเมือง เป็นองค์ชายที่ไม่ทำการทำงาน จนกระทั่งฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ถึงได้เสด็จมาร่วมไว้อาลัย”

“เสี่ยวชี เจ้าเพ้อเจ้ออะไรของเจ้า ไม่มีหลักฐานจะพูดจาเหลวไหลไม่ได้นะ รู้ไหม”

“เสด็จพ่อ…”

“เสี่ยวชีเป็นองค์หญิงที่ปราดเปรื่องที่สุดในแคว้นเจา เจ้าเรียนเก่งที่สุดในบรรดาองค์หญิง เสียดายที่ไม่ใช่ผู้ชาย เสด็จพ่อคาดหวังในตัวเจ้ามาก เสี่ยวชีอย่าทำให้เสด็จพ่อผิดหวังล่ะ”

แต่เสด็จพ่อเพคะ เสี่ยวชีกลัวเหลือเกิน…

ข้อนิ้วขององค์หญิงซิ่นหยางกำแน่นจนขาวซีด

บนโลกนี้หากแม้แต่พ่อผู้ให้กำเนิดยังไม่อาจปกป้องลูกสาวตนเองได้ แล้วผู้ใดจะปกป้องนางได้

นางสูญสิ้นศรัทธาไปนานแล้ว

นางยืนอยู่ ณ ก้นเหวลึกที่ไม่ว่าร้องเรียกอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดได้ยิน ไม่มีวันที่ผู้ใดจะได้ยิน

เซวียนผิงโหวเอ่ยขึ้น “หากฮ่องเต้พระองค์ก่อนฆ่าไม่ได้ ข้าจะเป็นคนฆ่าเอง”

แววตาขององค์หญิงซิ่นหยางไหววูบ เหลียวไปมองเซวียนผิงโหว

เซวียนผิงโหวลุกยืนขึ้น จ้องมองไปที่นาง “ฉินเฟิงหว่าน ข้าจะฆ่าให้เอง”

องค์หญิงซิ่นหยางอ้าปากค้าง ขอบตาแดงก่ำ “เจ้า…บ้าไปแล้วหรือ”

เซวียนผิงโหวไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ หันหลังเดินออกไปด้วยแววตาดุดัน

องค์หญิงซิ่นหยางตรัสรั้งเขาไว้ “เจ้าไม่ชอบข้ามิใช่หรือ เหตุใดถึงทำเช่นนี้”

ระหว่างทั้งสองมิได้มีความรักฉันท์สามีภรรยา สิ่งเดียวที่ผูกพันทั้งคู่คงจะมีแค่บุตรชายคนเดียวอย่างเซียวเหิง

เซวียนผิงโหวมีใจให้กับฉินเฟิงหว่านมากเพียงใดน่ะหรือ ตอนที่เขาแต่งงานกับนางก็เรียกว่าตั้งตารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ

เขาเคยนึกฝัน ภรรยาผู้เลอโฉมปานนั้น เขาจะรักนางไปตลอดชีวิต

แต่ผู้ใดจะคาดคิดกันว่าฉินเฟิงหว่านต้องการแต่งงานกับเขาเพียงแค่ในนาม ต่อให้เขามิใช่คนเจ้าชู้ แม้จะชอบพอแค่ไหนก็ย่อมมีวันจืดจาง

เพียงแต่โชคชะตาดันเล่นตลก เขากับฉินเฟิงหว่านมีลูกด้วยกันหนึ่งคนเสียอย่างนั้น

“ข้าชอบเจ้าหรือไม่ เจ้าก็คือภรรยาของเซียวจี่ผู้นี้ คือแม่ของลูกข้า”

เขาพูดจบก็เหมือนคนไม่เคยบาดเจ็บอย่างไรอย่างนั้น เดินก้าวเท้าฉับออกไป

พลขับกุลีกุจอวิ่งไปที่ยังหน้าประตู เขาไม่กล้าเข้าไป ได้แต่ตะโกนบอกอวี้จิ่นจากด้านนอก “รถเข็นของท่านโหว…”

อวี้จิ่นเข็นรถเข็นออกมา

พลขับคว้ามาได้ก็วิ่งออกไปข้างนอก “ท่านโหว! ท่านโหว! รถเข็นของท่าน!”

เซวียนผิงโหวเดินผิวปากไปตามตรอกไร้ผู้คน ม้างามสง่างามตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างองอาจ นั่นคือพาหนะของเซวียนผิงโหว

เซวียนผิงโหวพลิกตัวขึ้นม้า

วินาทีเดียวกันนั้น เซียวเหิงก็กลับมาจากวังหลวงพอดี เขามาเพื่อเยี่ยมองค์หญิงซิ่นหยาง เขาลงจากรถม้าก็เกือบชนเข้ากับม้าของเซวียนผิงโหว

เซวียนผิงโหวกระตุกเชือกม้าแน่น ก่อนจะกลับทิศทาง

เซียวเหิงเห็นท่าทางรีบร้อนของเขา แม้จะอยากสนใจ แต่ก็ถามออกไปประโยคหนึ่ง “แผลท่านยังไม่หายดี ขี่ม้าไม่ได้นะ”

เขาเชื่อฟังลูกชายอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่เวลานี้

ยายเฒ่าเหล่าเหลียงอ๋องเฟยคงอยู่อีกได้ไม่นาน เขากลัวว่าหากตัวเองชักช้า ยายเฒ่านั้นจะชิงนอนซมป่วยตายไปเสียก่อน

นางไม่คู่ควรที่จะตายอย่างสงบเช่นนั้น

เซวียนผิงโหวนั่งอยู่บนหลังม้า เอ่ยกับลูกชาย “หากเจ้าเติบใหญ่เป็นบุรุษแล้ว ก็ต้องดูแลท่านแม่ของเจ้าให้ดี อย่าให้ใครหน้าไหนมารังแกท่านแม่เจ้าได้”

เซียวเหิงชะงักไป

เขาย่อมดูแลท่านแม่ของเขาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องกำชับ

เพียงแต่เหตุใดเขาถึงได้พูดขึ้นมา อีกฝ่ายเห็นเขาเป็นเด็กสามขวบมาตลอดมิใช่หรือ

“แม่เจ้าอารมณ์ไม่ดีนัก เป็นเด็กดีล่ะ สองสามวันนี้อย่าหาเรื่องกวนใจนาง”

เขาต่างหากที่ควรพูดเช่นนั้น

เซวียนผิงโหวไม่มีเวลามาสนใจว่าลูกชายของเขาจะสับสนเพียงใด หรือว่าตนเองนั้นมองลูกชายเปลี่ยนไปแค่ไหน แม้ในใจเขาจะเห็นอีกฝ่ายเป็นเด็ก แต่ยามต้องเผชิญเรื่องหนักหนา ลูกชายของเขาก็พึ่งพาได้อยู่แล้ว

เซวียนผิงโหวเร่งควบม้า มุ่งไปทางตะวันออกอย่างว่องไว

หัวเมืองของจวนเหลียงอ๋อง อยู่ห่างจากทิศตะวันออกของเมืองไปร้อยลี้

ภายในห้อง อวี้จิ่นและองค์หญิงซิ่นหยางได้ยินเสียงฝีเท้าม้าอย่างชัดเจนก่อนจะค่อยๆ ไกลออกไป

อวี้จิ่นยังคงสงสัย แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเซวียนผิงโหวจะไปทำอะไร นางมองไปทางนอกประตูด้วยใจเต้นระส่ำ พลางเอ่ย “องค์หญิงเพคะ ท่านโหวเขา…”

องค์หญิงซิ่นหยางหลับตาลง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ตาทึ่ม”

********************************