บทที่ 752 ผู้ทรงพลังลึกลับ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 752 ผู้ทรงพลังลึกลับ

กระตุ้นมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่อย่างนั้นหรือ

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าระบบพังเสียแล้ว

เมื่อก่อนก็เคยให้ตัวเลือกที่ส่งเขาไปหาความตายเช่นกัน แต่ครั้งนี้มันเกินไปแล้ว

หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สองทันที

[ท่านเลือกเก็บตัวบำเพ็ญ หลีกห่างข้อพิพาท ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]

[ยินดีด้วยท่านได้รับยอดสมบัติฟ้าบุพกาล…มงกุฎเทพปฐมภพ]

[มงกุฎเทพปฐมภพ: ยอดสมบัติป้องกันระดับฟ้าบุพกาล แปรสภาพมาจากศีรษะของเทวาปฐมภพตอนดับสูญ เปี่ยมด้วยพลังป้องกันอันเลิศล้ำ ต้านทานการโจมตีจากระดับมหามรรคได้]

ยอดเยี่ยม!

สมบัติสายป้องกันอีกแล้ว!

หานเจวี๋ยนำมงกุฎเทพปฐมภพออกมาทันที เริ่มทำให้มันจดจำเจ้าของ

มงกุฎเทพปฐมภพนั้นเป็นสีม่วงทั้งอัน บนมงกุฎมีรูปสลักเทพสององค์ ตั้งอยู่ทางซ้ายและทางขวาอย่างสมมาตร ดูคล้ายตัวเขา ร่างของพวกมันองอาจทรงอำนาจ หน้าตาดุร้ายราวกับถูกแช่แข็งไว้ขณะที่กำลังต่อสู้กันอยู่

หานเจวี๋ยใช้เวลาแปดสิบปีเต็ม ถึงทำให้มันยอมสยบเป็นของวิเศษของตนได้

หลังจากสวมงกุฎนี้แล้ว หานเจวี๋ยดูหล่อเหลายิ่งกว่าเดิมและดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ราวกับราชาแห่งทวยเทพในตำนานโบราณทำให้คนไม่กล้ามองตรงๆ

หานเจวี๋ยรู้สึกมีความสุข เริ่มใช้ความคิดว่าจะนำศิลาก่อวิญญาณไปใช้กับเทพมารตนไหนดี

ช่างเถอะ!

นับตามลำดับที่เขาเรียนรู้จากร่างจำลองเสรีสุญญตาแล้วกัน ถัดจากเทพมารขุนพลสวรรค์คือเทพมารเก้าหยิน

หานเจวี๋ยเริ่มทำการผสานรวม

หลังจากผสานรวมกันมั่นคงแล้ว เขาก็ฝึกบำเพ็ญต่อ

ส่วนจะใช้หินวิญญาณมรรคาสวรรค์กับสิ่งใด เขาต้องใคร่ครวญดูอีกนิด

เขาไม่ได้สาปแช่งคนอื่นมานานมากแล้ว หากนำหินวิญญาณมรรคาสวรรค์ไปใช้กับขวานเบิกฟ้า จะยกระดับจากยอดสมบัติฟ้าบุพกาลไปเป็นระดับใดเล่า

โทสะเทพอนธการและขวานเบิกฟ้าที่ระดับเหนือว่ายอดสมบัติฟ้าบุพกาล หากใช้พร้อมกันจะทรงพลังแค่ไหนกันเล่า

ก่อนหน้านี้ตอนที่สู้กับอริยะเทพอวี๋เจี้ยน ทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับศักยภาพการต่อสู้ของตน

เขาอยากเพิ่มศักยภาพการต่อสู้ให้แข็งแกร่งขึ้น

ส่วนพลังคำสาปแช่ง หากเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าเขา ก็ยากจะสาปให้ตายได้

….

เวลาผ่านไปดุจโบยบิน

หลังจากเผ่าชิงชังเข้ารุกรานมรรคาสวรรค์แล้วพ่ายแพ้ พัฒนาการของมรรคาสวรรค์ก็ดำเนินไปอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง เหล่าอริยะล้วนได้รับแรงกระตุ้น เมื่อได้รับการจัดสรรหน้าที่จากจอมอริยะเสวียนตู พวกเขาล้วนทุ่มเทเต็มที่ แต่เวลาส่วนใหญ่มักจะจดจ่ออยู่กับการฝึกบำเพ็ญ

เหตุนี้ทำให้มียอดคนมากความสามารถถือกำเนิดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเริ่มกุมอำนาจ เริ่มสร้างชื่อเสียงเลื่องลือ

เหล่าผู้บำเพ็ญฟ้าบุพกาลก็กระจายกิตติศัพท์ของอริยะสวรรค์เกรียงไกรไปทั่วสารทิศ ประกอบกับมีดวงจิตมหามรรคดับสูญอย่างแท้จริง ชื่อเสียงของอริยะสวรรค์เกรียงไกรจึงโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญมรรคาสวรรค์มีหน้ามีตาขึ้นมา

ดวงชะตามรรคาสวรรค์เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

ชั่วพริบตาเดียว

ผ่านไปห้าหมื่นปีแล้ว

หานเจวี๋ยเข้าใกล้การทะลวงขั้นไปเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็มองเห็นโอกาสในการทะลวงขั้น ทำให้เขาตื่นเต้นอย่างยิ่ง

สวรรค์ไม่ทอดทิ้งผู้มานะพากเพียร!

เขาลืมตาขึ้น ก่อนพบว่าปีก่อนจอมอริยะเสวียนตูถ่ายทอดสียงมาหาเขา บอกว่าหลังเขาสิ้นสุดการปิดด่านแล้วให้ไปที่ตำหนักเอกภพ

หานเจวี๋ยไปยังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองก่อน ปล่อยเทพมารเก้าหยินออกมา ให้มู่หรงฉี่เข้ามารับช่วงต่อ

ช่วงที่ผ่านมาหานมิ่งสำเร็จเป็นเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าแล้ว ส่วนเทพมารกายาและเทพมารสุญตาบรรลุถึงครึ่งอริยะแล้ว เทพมารตนอื่นๆ ต่างมีความก้าวหน้าเช่นกัน แต่หลังจากสำเร็จเป็นอริยะ การฝ่าทะลวงก็มิใช่เรื่องง่ายๆ อีกต่อไป

หานเจวี๋ยพูดคุยกับลี่เหยาสองสามประโยค ก็กลับมาที่อาณาเขตเต๋าหลัก จากนั้นจึงไปที่ตำหนักเอกภพ

จอมอริยะเสวียนตูลืมตาขึ้น เมื่อเห็นหานเจวี๋ยปรากฏตัวแล้ว ก็ถ่ายทอดเสียงหาอริยะคนอื่นๆ

เทพสูงสุดหนานจี๋ เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย มหาจักรพรรดิเซียว เทพสูงสุดอู๋ฝ่า ฉิวซีไหล ฟางเหลียง หวงจุนเทียน จิ้นเสิน ผานซิน สวีตู้เต้า ซูฉีและหลี่ไท่กู่ต่างทยอยมาถึง

เมื่อพบหน้าหานเจวี๋ย พวกเขาทักทายกันทีละคน เคารพนบนอบอย่างยิ่ง

หลังจากการต่อสู้เมื่อหลายหมื่นปีก่อน เหล่าอริยชนยอมสยบต่อหานเจวี๋ยอย่างสิ้นเชิงแล้ว หานเจวี๋ยและเหล่าอริยะที่กลายเป็นทาสของเขาจึงไม่จำเป็นต้องเล่นละครกันอีก

หานเจวี๋ยพยักหน้ารับนิดๆ ไม่ได้เอ่ยอะไร ถึงอย่างไรผู้นำก็คือจอมอริยะเสวียนตู

อดีตที่ผ่านมาเขาไม่ได้มาดูแลจัดการมรรคาสวรรค์เลย เมื่อก่อนไม่ทำ อนาคตก็ไม่ทำเช่นกัน

จอมอริยะเสวียนตูเป็นอริยะที่มีคุณสมบัติเหมาะสมยิ่งนักคนหนึ่ง

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “เมื่อไม่นานมานี้ดวงชะตามรรคาสวรรค์ของสือตู๋เต้าและหลี่เต้าคงขาดสะบั้นแล้ว มีตำแหน่งอริยะว่างสองที่ ประกอบกับระยะนี้มรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นจึงมีตำแหน่งอริยะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งที่ รวมเป็นสามที่ ทุกท่านมีตัวเลือกหรือไม่”

เหล่าอริยะมองไปที่หานเจวี๋ย ถึงอย่างไรเรื่องก็เกี่ยวพันถึงหลี่เต้าคง

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “พวกเจ้าตัดสินใจกันเองได้เลย ส่วนหลี่เต้าคง ไม่ต้องสนใจเขา ข้าวางแผนไว้แล้ว”

เมื่อได้ฟังเหล่าอริยะก็ทำท่าราวกับยกภูเขาออกจากอก เริ่มถกเถียงยื้อแย่งกัน

หานเจวี๋ยรู้สึกเบื่อ จึงเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู

ถึงแม้การประชุมเช่นนี้จะน่าเบื่อ แต่เขาจำเป็นต้องอยู่ เช่นนี้ถึงจะสร้างอำนาจได้ เขาไม่ต้องการให้ในอนาคตอริยะหน้าใหม่ไม่ยอมสยบต่อเขา หันมาเล่นลูกไม้วางอุบายกันอีกเมื่อมรรคาสวรรค์ขยายใหญ่ขึ้น ถึงอย่างไรเข้าร่วมสักหน่อยก็เปลืองเวลาไม่มากนัก

[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ]

[โจวฝานศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารปีศาจลึกลับ] x7890002

[หานทั่วบุตรชายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารปีศาจลึกลับ] x8902143

[เต้าจื้อจุนศิษย์ของท่านเข้าสู่ห้วงกาลลึกลับ]

[จ้าวเซวียนหยวนศิษย์ของท่านเข้าสู่ห้วงกาลลึกลับ]

[เจียงอี้สหายของท่านเข้าสู่ห้วงกาลลึกลับ]

[เทพสูงสุดหยวนสื่อสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ]

[หวงจุนเทียนสหายของท่านบุกเบิกฟ้าดิน ก่อตั้งโลกฟ้าบุพกาลขึ้น ดวงชะตาเพิ่มพูน]

[อริยะเทพอวี๋เจี้ยนสหายของท่านทำความเข้าใจพลังวิเศษมรรคกระบี่ ดวงชะตาเพิ่มพูน]

….

ยังคงมีสีสันเช่นที่ผ่านมา

หานเจวี๋ยสงสัยอยู่ในใจ ‘ผู้ทรงพลังลึกลับล้วนเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าข้าหรือ’

ตอนนี้เขาเป็นอริยะมหามรรคแล้ว มีน้อยคนนักที่อยู่ต่อหน้าเขาแล้วยังนับเป็นผู้ทรงพลังได้

[หากบรรลุถึงระดับอริยะเสรีขึ้นไป ไร้บ่วงกรรมเชื่อมต่อกับท่าน ต่างนับเป็นผู้ทรงพลังลึกลับทั้งสิ้น]

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

หานเจวี๋ยสบายใจแล้ว เขาหลงนึกว่ามีอริยะมหามรรคอยู่มากมายดังฝูงสุนัข

เขาไล่อ่านลงไปเรื่อยๆ

หวงจุนเทียนบุกเบิกฟ้าดินเช่นนั้นหรือ

เขาอดเหลือบมองหวงจุนเทียนแวบหนึ่งไม่ได้ คนผู้นี้เคลื่อนไหวใหญ่โตนัก แต่ไม่ได้ตัดขาดดวงชะตามรรคาสวรรค์

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา หวงจุนเทียนอดไม่ได้ที่จะเหยียดตัวตรง มองหานเจวี๋ยด้วยสายตาเคารพยกย่อง

อีกสักพักค่อยคุยกับเขาแล้วกัน

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยเจ้านายหลักของหวงจุนเทียนล้วนสยบต่อหานเจวี๋ยแล้ว ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมอีก

จดหมายฉบับถัดๆ ไปก็มีสีสันต่างกันไปคนละแบบ ถึงอย่างไรก็ผ่านมาหลายหมื่นปีแล้ว สหายทั้งหมดล้วนมีความเคลื่อนไหว

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ตำแหน่งอริยะได้ข้อสรุปแล้ว จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “ช่วงนี้มีผู้ทรงพลังระดับเสรีคนหนึ่งในฟ้าบุพกาลจัดงานเลี้ยงขึ้น เชื้อเชิญผู้มีอิทธิพลมากมายจากหลายแห่งไปเข้าร่วม จะหารือกันโดยรวมว่าจะรับมือกับมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ในอนาคตอย่างไร ทุกท่านคิดเห็นประการใด”

ฉิวซีไหลเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ข้าคิดว่าใช้ได้ ด้วยความแข็งแกร่งของมรรคาสวรรค์ ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับคำเชิญจากผู้นำของดินแดนมากมายในฟ้าบุพกาล เมื่อพวกเขาเชิญมรรคาสวรรค์ ต้องคิดหาที่พึ่งคุ้มครองแน่ มิเช่นนั้นผู้ทรงพลังระดับอริยะเสรีจะมารวมตัวกันหรือ”

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แค่นเสียงเอ่ย “คำพูดนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร อริยะเสรีอ่อนแอหรืออย่างไร”

ฉิวซีไหลทราบว่าตนเผลอปากไปแล้ว จำเป็นต้องหุบปาก

อริยะคนอื่นๆ ก็มองความนัยออกแล้ว ล้วนมีความเห็นแบ่งออกเป็นสองฝ่าย จำเป็นต้องลงคะแนนตัดสิน ตลอดการลงความเห็น หานเจวี๋ยไม่ได้เข้าร่วมด้วย

ผลสรุปคือผานซิน เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยและฟางเหลียงจะไปร่วมงานเลี้ยง

ผานซินเป็นอริยะเสรี เป็นตัวแทนอำนาจของมรรคาสวรรค์ เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยรับหน้าที่วิเคราะห์ตัดสิน ฟางเหลียงรับผิดชอบเสนอแนะแผนการแนวทาง

หลังจากหารือจบ อริยชนต่างแยกย้ายกันไป

หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นว่า “สหายเต๋าหวงอยากเชิญข้าไปพูดคุยที่อารามเต๋าของเจ้าหรือไม่”

หวงจุนเทียนตอบรับทันที อริยะคนอื่นๆ ก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

ช่วงนี้หวงจุนเทียนทำตัวลึกลับอยู่บ้างจริงๆ ไปเยือนฟ้าบุพกาลอยู่เนืองๆ ให้หานเจวี๋ยจัดการสักหน่อยก็เป็นเรื่องดี

จอมอริยะเสวียนตูรู้สึกโล่งใจ โชคดีที่มีหานเจวี๋ย เขากำลังกังวลอยู่พอดีว่าหวงจุนเทียนจะหักหลังมรรคาสวรรค์

………………………………………………………………