บทที่ 732 ผู้หญิงที่ไม่ชอบ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 732 ผู้หญิงที่ไม่ชอบ

บทที่ 732 ผู้หญิงที่ไม่ชอบ

“เสี่ยวเถียน อาจารย์ฮั่วพูดถูกนะ ฉันเห็นด้วยที่ให้เธอเป็นหัวหน้า!” ฉู่เยว่ผู้เป็นประเภทกลัวโลกจะสงบสุขสนับสนุนสิ่งที่จ้าวหงเหมยว่าทันที

เธอยึดมั่นในเหตุผลมาก เพราะเสี่ยวเถียนเป็นอันดับหนึ่งของชั้นเรียนเรา

พอสองคนนี้ออกตัว คนอื่น ๆ ก็เริ่มเห็นด้วยไปตาม ๆ กัน

มันทำเอาเสี่ยวเถียนพูดไม่ออก คิดอะไรกันอยู่เนี่ย?

รังแกเด็กกันหรือ?

เธอยังเด็กอยู่นะ!

เด็กอายุ 13 ปีน่ะ!

และยามคิดว่าตัวการของเรื่องนี้คือฮั่วซือเหนียน เสี่ยวเถียนอดค้อนวงใหญ่ใส่อีกฝ่ายไม่ได้ แต่ฮั่วซือเหนียนไม่เข้าใจสายตานั้น

เขาพูดอะไรผิดหรือ?

ก็พูดตามที่ไปถามอาจารย์คนอื่น ๆ มานี่นา…

ถ้าเกิดสถานการณ์ที่ทุกคนเงียบ และไม่มีใครลุกขึ้นเสนอตัวเป็นก็ให้เลือกคนที่ผลการเรียนดีที่สุดเป็นซะ

คนอื่น ๆ เขาไม่ได้ดูเท่าไร แต่รู้ว่าเสี่ยวเถียนได้อันดับหนึ่งอยู่แล้ว หรือห้องนี้จะมีพวกมากพรสวรรค์และเรียนเก่งกว่าว่าที่น้องสะใภ้ แต่เขาไม่ได้นึกสนใจ?

ฮั่วซือเหนียนในตอนนี้กำลังจมอยู่กับความคิดตัวเอง แต่ทั้งสองก็ไม่ได้คิดเรื่องเดียวกันด้วย

เมื่อเห็นท่าทางสับสนของอีกฝ่าย เสี่ยวเถียนรู้เลยว่าสายตาที่ส่งไปมันไร้ประโยชน์ทันที อาจารย์ไม่เข้าใจความคิดของตัวเองสักนิด

“อาจารย์ฮั่วคะ อาจารย์จะชื่นชอบซูเสี่ยวเถียนเพียงเพราะเธอเป็นว่าที่น้องสะใภ้ไม่ได้นะคะ” ตอนนั้นเองที่มีคนเอ่ยค้าน

คนคนนั้นเป็นเด็กสาวอายุ 17-18 ปี มัดผมสีดำยาวเป็นหางม้า สวมชุดกีฬาสีขาวที่ทันสมัย และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของการเป็นวัยรุ่น

เสี่ยวเถียนยิ้มทันที

แบบนี้สิถึงจะถูกตัอง!

ยังไงก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าเพื่อนจะสนใจฟังเด็กอย่างเธอหรือเปล่า แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าพวกจ้าวหงเหมยคิดยังไง!

ตอนเด็กสาวหันไปหาเสี่ยวเถียน ก็แสดงสีหน้าภาคภูมิใจและส่งรอยยิ้มสดใสไปให้ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยิ้มอย่างไร้เหตุผลตอบกลับมา ฉับพลันรอยยิ้มบนใบหน้าได้พลันหายไป

ซูเสี่ยวเถียนทำอะไร?

ฟังไม่ออกหรือไงว่ากำลังไล่อยู่?

หรือพอใจ?

“สวัสดีครับนักศึกษา ถ้าคุณคิดว่าซูเสี่ยวเถียนไม่เหมาะที่จะเป็นหัวหน้า คุณสามารถเสนอเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ ได้เลย แต่จะใส่ร้ายอาจารย์แบบนี้ไม่ได้นะ?” ฮั่วซือเหนียนยิ้มจาง หากแต่รอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตา

ผู้หญิงคนนี้เอ่ยปากว่าร้ายคนอื่น เป็นเด็กที่มีนิสัยที่เขาไม่ชอบ

และกับคนที่สงสัยในนิสัยของเขา เขายิ่งไม่ชอบมากกว่าเดิม

อาจารย์ฮั่วลอบคิดกับตัวเอง ตัวเธอจะมองไม่เห็นเชียวหรือ?

นักศึกษาหญิงตรงหน้ามองเขาด้วยสายตาร้อนแรง ทั้งที่รู้แล้วว่าเขามีคนรักแต่ก็ยังทำ!

“อาจารย์ฮั่วคะ หนูชื่อถังหมิ่นหมิ่นอายุ 18 ปีค่ะ เป็นหนึ่งในนักเรียนที่เรียนดีสุดในห้องนี้ โอ๊ะ หนึ่งในสามค่ะ!”

เดิมทีถังหมิ่นหมิ่นคิดว่าตัวเองเรียนดีที่สุดในห้อง เธอมั่นใจมากตั้งแต่เด็กจนโต ผลการเรียนเธอดีมาก แต่กับเอกภาษาจีนเธอกลับเป็นอันดับที่สอง ต่ำต้อยกว่าซูเสี่ยวเถียนที่น่ารำคาญคนนี้เสียอีก

ด้วยความยโสโอหังของตัวเองมันทำให้อึดอัดเสมอเมื่อนึกถึงเรื่องที่ว่า คนอายุน้อยกว่าดันเรียนดีกว่าตน

กอปรกับข้อเท็จจริงที่ว่าเธอคนนี้ดันเป็นว่าที่น้องสะใภ้ของอาจารย์ที่ตนชอบอีก จึงไม่พอใจมากกว่าเดิม

อิ่นหรูอวิ๋นที่นั่งอยู่ด้านหลังและยังคงรักษาภาพลักษณ์อันบริสุทธิ์และน่ารื่นรมย์ไว้ มีประกายแสงในแววตา อย่างที่คิดไว้เลย มีคนในชั้นไม่ชอบซูเสี่ยวเถียนเหมือนกันเลยด้วย ไม่รู้ว่าจะตีสนิทได้หรือเปล่า

เสี่ยวเถียนไม่รู้เรื่องนี้ เพราะกำลังดีใจที่มีคนเสนอตัวอยากเป็นหัวหน้าอยู่

แต่แม่นางหนึ่งในสามนี่เป็นอะไรเนี่ย?

“หน้าไม่อายจริง ๆ ถังหมิ่นหมิ่นได้อันดับสามเองนี่นา คะแนนน้อยกว่าหลี่ฉางเล่ออันดับ 2 อยู่ 0.5 คะแนนเองนะ เป็นความสำเร็จที่ควรอวดด้วยหรือ?”

ฉู่เยว่ที่รู้เรื่องราวในชั้นมานานดูแคลนทันที

ได้อันดับสามแถมคะแนนน้อยกว่าเสี่ยวเถียนตั้ง 10 คะแนน ไม่อายหรือไงที่เอาตัวเองไปเทียบกับเขาน่ะ?

“รู้จักเขาหรือไง?”

“ไม่รู้จัก แต่เคยได้ยินชื่อ!”

ตอนแรกยังคิดอยู่เลยว่าสามอันดับแรกคงเป็นผู้หญิงทั้งหมด ไม่แน่ว่าผู้หญิงอาจจะเก่งกว่าผู้ชายก็ได้นะ

แต่กลับไม่คิดเลยว่าคนได้อันดับสามจะเป็นพวกไม่มีสมอง บอกว่าได้ที่สามก็พอแล้วมั้ง!

และในตอนที่ฉู่เยว่คิดเช่นนั้น ก็ได้ยินจ้าวหงเหมยเอ่ยพอดี

“บอกว่าได้ที่สามก็พอแล้วมั้ง!”

ฉู่เยว่รู้สึกได้ทันใดว่าสมกับเป็นเพื่อนเธอจริง ๆ!

“นักศึกษาถังหมิ่นหมิ่นใช่ไหมครับ? ผมรู้จักชื่อคุณแล้วนะ หากคุณเต็มใจลงสมัครตำแหน่งหัวหน้าเหมือนกัน คุณสามารถพูดแนะนำตัวเองได้ทันที คนอื่น ๆ จะได้ลงคะแนนสำหรับตัดสินใจครับ” ฮั่วซือเหนียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกลาง

ในฐานะอาจารย์ ต่อให้ไม่ชอบเด็กคนนี้มากแค่ไหนแต่ก็ต้องทำหน้าที่

ถังหมิ่นหมิ่นมีความสามารถในการพูด หลังจากได้ยินเช่นนี้ก็กระแอมไอแล้วเอ่ยทันที

คำพูดเสียงดังฟังชัดแสดงอารมณ์อย่างเต็มที่ แสดงความเป็นเธอออกมาได้ดีมาก

แต่เป็นดั่งข้อเท็จจริงที่ว่าถ้าไม่พูดชี้ชัดเหน็บแนมเสี่ยวเถียน หรือเปรียบเทียบว่าเธอเป็นฟางจ้งหย่ง*[1]ขนาดนั้น ผลลัพธ์คงจะดีกว่านี้

เสี่ยวเถียนตั้งใจฟังเหมือนกัน แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะไม่พูดเรื่องทำหน้าที่อะไรสักอย่างแต่ดันวกมาเข้าเรื่องเธอเฉยเลย

ถ้าไม่ใช่คู่แข่งแล้วจะกลัวอะไร?

จ้าวหงเหมยรับไม่ไหวอีกแล้ว ได้แต่กัดฟันว่า “เสี่ยวเถียน มนุษย์เราสู้เพื่อลมหายใจ พระพุทธเจ้าสู้เพื่อก้านธูป*[2] ถ้าเธอไม่ลงเลือกเป็นหัวหน้าเพื่อทำงาน ก็ถือเสียว่าทำเพื่อสู้ความมั่นอกมั่นใจของยัยถังหมิ่นหมิ่นซะ ไม่งั้นไม่ยอมแน่”

“เสี่ยวเถียน ถ้าเธอไม่กล้าสู้ ฉันดูแคลนเธอแน่!” ฉู่เยว่เอ่ยปากด้วย

“…” เสี่ยวเถียน

ถ้าเด็กอย่างเธอไม่อยากสู้ล่ะ?

“ซูเสี่ยวเถียน เรื่องที่เธอได้อันดับหนึ่งคือความจริง แต่ฉันเชื่อว่าฉันสามารถชนะเธอในการสอบกลางภาคที่จะถึงนี้ได้ แล้วจะแซงหน้าเธอด้วยคะแนนการเลือกเป็นหัวหน้าตอนนี้ด้วย!”

เสี่ยวเถียนไม่อยากแข่งเลย

แต่อีกฝ่ายชี้หน้ามาแล้ว ถ้าทนได้ก็ไม่ใช่ซูเสี่ยวเถียนแล้วสิ

“ฉันยอมรับคำท้าของเธอ!” เสี่ยวเถียนเอ่ยเบา ๆ โดยไม่มองหน้าสักนิด

เธอยืนขึ้นอย่างสง่างาม แล้วโค้งคำนับทั้งชั้นเรียนด้วยความงดงามอีกครั้งก่อนเอ่ย

“ฉันอายุ 13 ปี ฉันไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยการลอกข้อสอบหรือใช้วิธีอื่นอย่างที่ถังหมิ่นหมิ่นบอก อันที่จริงฉันแค่เรียนข้ามชั้นมาตลอด ผลการเรียนของฉันได้รับการบันทึกไว้อย่างดีที่โรงเรียนมัธยมอันดับ 7 ค่ะ”

เสี่ยวเถียนไขข้อสงสัยให้ฟัง “ถังหมิ่นหมิ่นบอกว่าฉันคือฟานจ้งหย่ง แต่ฉันไม่เห็นด้วยค่ะ!”

เดิมทีถังหมิ่นหมิ่นคิดว่าเด็กอายุ 13 ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้คงเป็นพวกเนิร์ด

แต่ไม่คิดว่าตอนซูเสี่ยวเถียนเอ่ย เธอมีออร่ากดดันมากพอให้ตนก้มหัว

[1] เป็นเรื่องเล่าของฟางจ้งหย่งเด็กอัจฉริยะที่กลายเป็นเด็กธรรมดาเพราะพ่อไม่ให้เรียนหนังสือ ทั้งยังถูกใช้เป็นเครื่องมือหาเงินด้วย โดยตัวเนื้อหาเป็นการเตือนว่าอย่าเอาแต่พึ่งพาแต่ความสามารถที่มีอยู่โดยไม่คิดเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แต่อยากให้ใส่ใจกับการเรียนเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จด้วย

[2] คนเราต้องมีความทะเยอทะยาน ไม่สูญเสียศักดิ์ศรี เป็นประโยคที่ใช่เพื่ออธิบายสัจธรรมของมนุษย์ว่าการจะใช้ชีวิตต่อไปได้ต้องสู้และพัฒนาตนเองเท่านั้น