ภาค 4 ตอนที่ 76 คิดถึงนางผู้นั้น

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

นางผู้นั้นที่พานพบเนิ่นนานก่อนหน้านี้

เวลานั้นเขาหดหัวอยู่บนพื้น ถูกพวกบุตรชายเฉิงกั๋วกงทุบตีหายใจรวยริน คิดอยู่ว่าบางทีคงต้องตายไปเช่นนี้แล้ว

เขาคนผู้ประหนึ่งต้นหญ้าเม็ดฝุ่นเช่นนี้ตายไปก็ตายไป ใครจะสนใจ? ใครจะกล้าขวาง?

นายทหารรักษาเมืองนั่นมองไม่เห็นภาพที่ประตูเมืองเงียบสงบเหมือนร้างไร้คนนี้ พวกเขาล้วนหลบไปหมด คล้ายเขาเป็นกาฬโรค มองเพิ่มสักทีก็เสียชีวิตได้

ที่จริงเขาก็ไม่อยากมีชีวิตแล้ว มีชีวิตอยู่ก็ไร้ความหมาย ระหว่างที่สะลึมสะลือเสียงกีบเท้าม้าก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงตวาดด่าของสตรี เสียงด่าของพวกจูจั้นคนเหล่านี้ หน้าประตูเมืองกลายเป็นเอะอะอึกทึก

ตาของเขาที่บวมจนกลายเป็นขีดเดียวฝืนมองไป เด็กสาวที่ขี่บนม้าผู้นั้นกำลังหวดแส้ม้าในมือ เห็นหน้าตาไม่ชัดกลับรู้สึกถึงอำนาจของนางได้ชัดเจนอย่างประหลาด

นางประหนึ่งแสงตะวันสว่างไสวแสบตา

นี่คือการมองแวบเดียวของเขา หลังจากนั้นคนก็สลบไป รอฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็นอนอยู่ในบ้านของตนแล้ว ยังมีหมอมาทายารักษาแผลด้วย

“เจ้านี่โชคดีนัก” นายประตูเมืองที่ส่งเขากลับมาเอ่ย ป้ายหยกในมือแกว่งไกว “เจ้ารู้ไหมนี่เป็นใครช่วยเจ้าไว้?”

แม้เขาเรียนหนังสือไม่มาก แต่จำอักษรบนป้ายหยกนั้นได้ จิ่วหลิง

จิ่วหลิง ชื่อนี้น่าฟังจริงๆ

“นี่เป็นถึงพระธิดาองค์เล็กในองค์รัชทายาท องค์หญิงจิ่วหลิง นั่นเป็นถึงดอกฟ้า”

“ก็มีแต่นางถึงกล้าลงมือกับบุตรชายเฉิงกั๋วกง”

นายประตูเมืองผู้นั้นพร่ำพูด แต่กลับไม่ได้เอ่ยเรื่องขององค์หญิงจิ่วหลิงคนนี้เพิ่มอีก

นายประตูคนหนึ่งพูดไปฐานะสูงกว่าเขา แต่ต่อหน้าดอกฟ้าที่เป็นพระญาติเชื้อพระวงศ์ก็ไม่ต่างอะไรจากเขา ล้วนเป็นประหนึ่งต้นหญ้า สายเลือดสวรรค์อันสูงศักดิ์สูงส่งเหนือใครนั่น เขาจะรู้ข่าวคราวได้สักเท่าใด

นายประตูจากไปแล้ว ท่านหมอทิ้งยาไว้แล้วก็จากไปเช่นกัน เขาล้วนไม่สนใจ มีเพียงยามป้ายหยกแผ่นนั้นถูกถือจากไป สายตาของเขาถึงจับจ้องเขม็งอย่างอาลัยอาวรณ์

“ให้ข้าได้ไหม?” ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้เอ่ยปากร้องขอ “ข้าจะได้สะดวกไปเอ่ยขอบคุณคืนให้นาง”

นายประตูเมืองถ่มน้ำลายใส่เขาคำหนึ่ง

“เจ้านับเป็นตัวอะไร ยังคิดจะพบองค์หญิง” เขาเอ่ยเหมือนมองทะลุความคิดของเขาท่าทางถากถางดูแคลน “เจ้าลูกกระต่าย อย่าคิดเอื้อมเด็ดดอกฟ้าเลย ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตนเองเสียบ้าง”

เขาไม่ได้คิดเอื้อมเด็ดดอกฟ้าจริงๆ นะ เขาแค่อยากเอ่ยขอบคุณด้วยปากตนเองเท่านั้น ตรงกันข้ามกับเขา เขารู้ชัดยิ่งว่านายประตูเมืองผู้นี้ต่างหากถึงคิดเอื้อมเด็ดดอกฟ้า

นายประตูเมืองคนนี้ต้องเอาป้ายหยกไปอ้างความชอบต่อหน้าองค์หญิงผู้นั้นแน่

แต่จะทำอย่างไรได้ ก็เหมือนเช่นที่นายประตูเมืองเอ่ย เขาลูกกระต่ายน้อยเช่นนี้จะทำอะไรได้? กระทั่งความเป็นความตายของตนเองยังกำหนดไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงอยากได้อะไรเลย

เขามองนายประตูเมืองถือป้ายหยกเชิดจากไป เสียใจอยู่บ้างที่ไม่ได้ลูบป้ายหยกแผ่นนั้นสักที ถือสักนิดลูบสักหน่อยก็พอ

เสียงเอะอะข้างหูขัดการเหม่อลอยของเขา

ยังคงเป็นที่ประตูเมือง แต่เขาไม่ใช่ลูกกระต่ายน้อยที่ถูกคนรังแกได้ตามใจคนนั้นอีกต่อไปแล้ว

สิ่งที่เขาต้องการก็ไม่มีทางเป็นแค่ลูบคลำป้ายหยกต่ำต้อย

เขามองสตรีที่ขี่อยู่บนอาชาคนนี้ มือที่ไพล่อยู่หลังร่างยกขึ้นโบก

“จับไว้” เขาเอ่ยเสียงเรียบ

หน้าประตูเมืองยามนี้ฝูงชนแห่แหนมาหัวเราะพูดคุยเอะอะ ไกลออกไปยังมีคนวิ่งมาไม่ขาด ฟ้าแจ้งกลางวันแสกๆ ลู่อวิ๋นฉีก็เอ่ยสองคำนี้ออกมา เด็ดขาดฉับไวตรงไปตรงมา

ไม่ทราบว่าเพราะระบายโทสะที่สั่งสมมาจากการที่ปล่อยสตรีผู้นี้ออกจากเมืองหลวง ปล่อยให้สตรีผู้นี้แก้ปัญหาการปลูกฝี ถูกสตรีคนนี้หนีรอดหรือระบายอารมณ์ที่ได้พบกันใหม่อีกครั้ง

ไม่ว่าเพราะอะไร ไม่ว่าคำสั่งนี้บ้าบอมากเท่าใด หัวหน้ากองพันเจียงก็ไม่ลังเลสักนิด ชักดาบที่เอวออกมา

“จับไว้” เขาตวาด

พร้อมกับเสียงตวาดสั่งของเขา องครักษ์เสื้อแพรยี่สิบกว่าคนพลันโผล่ออกมาจากเงามืดของกำแพงเมือง ดาบปักวสันต์ในมือกระทบส่งเสียงดังล้อมเข้าไปข้างหน้า

ส่วนประชาชนที่รายล้อมอยู่ตอนนี้ถึงค้นพบว่าองครักษ์เสื้อแพรโผล่ออกมา หวาดกลัวพากันหลบหลีกทันที

หน้าประตูเมืองตกสู่ความโกลาหล ท่ามกลางความโกลาหลนี้องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายยังคงล้อมคุณหนูจวินไว้อย่างแม่นยำรวดเร็ว

การเคลื่อนไหวของพวกเขาเร็ว การเคลื่อนไหวของเฉินชีก็ไม่ช้า เขาบังคุณหนูจวินไว้หลังร่างพร้อมกับเหล่าพนักงานของเต๋อเซิ่งชาง

สองฝ่ายเกิดเป็นสภาพประจันหน้ากัน ทุกสิ่งนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วสะเก็ดไฟแลบ คุณหนูจวินถึงขั้นยังขี่อยู่บนหลังม้าไม่ได้ลงมา

หน้าประตูเมืองที่เอะอะตกสู่ความเงียบ

“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?” เฉินชีตะโกน สายตามองไปทางลู่อวิ๋นฉี

ลู่อวิ๋นฉียังคงยืนอยู่ในเงามืดของประตูเมือง สีหน้ายิ่งสนิทมองเพียงคุณหนูจวิน

“จับคน” เขาเอ่ยนิ่งเรียบ

“เอาอะไรมาจับคน? คุณหนูจวินทำผิดอะไร?” เฉินชีตวาดเสียงโกรธเกรี้ยว

เสียงถกเถียงของชาวบ้านรอบด้านก็ดังขึ้นเบาๆ ยังมีคนขวัญกล้าตั้งคำถามอีกด้วย

“ใช่แล้ว คุณหนูจวินทำผิดอะไร”

“คุณหนูจวินออกไปแก้ปัญหาการปลูกฝี มีความดีความชอบนะ”

องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายประหนึ่งไม่ได้ยิน

“เรื่องอะไร จับเอาไว้ถามดูก็รู้แล้ว” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย

นี่เป็นคำตอบที่บ้าบอจริงๆ แต่ก็เป็นแนวทางกระทำการขององครักษ์เสื้อแพร ไม่มีเหตุผลได้อย่างยืดอกภาคูมิ

“พวกเจ้ากล้า!” เฉินชีตวาด สีหน้ายากปิดบังความร้อนใจ

ใครจะคิดว่าลู่อวิ๋นฉีจะโผล่ออกมา เอาเถอะ เขาโผล่ออกมาก็ไม่มีอะไรแปลก คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกลับกล้าจะจับคนไปเลยสักประโยคก็ไม่เอ่ยเช่นนี้

ที่สำคัญก็คือเพราะไม่รู้ร่องรอยการเดินทางของคุณหนูจวินมาก่อน คนของพวกเขาจึงเตรียมไว้ไม่พอเช่นกัน

แค่พนักงานพวกนี้ตอนนี้ จะเป็นคู่ต่อสู้ขององครักษ์เสื้อแพรได้ที่ไหน

ส่วนประชาชนทั้งหลาย…ปลายหางตาของเฉินชีมองเห็นสีหน้าหวาดกลัวของพวกเขา

ต่อให้คนมากก็หวังพึ่งไม่ได้

คำตวาดถามของเฉินชี ลู่อวิ๋นฉีคร้านจะสนใจ หัวหน้ากองพันเจียงยกมือสะบัดทีหนึ่ง

“กล้ามีคนขวาง สังหารไม่เว้น” เขาเอ่ยเย็นชา

องครักษ์เสื้อแพรบอกจะสังหารคนก็สังหารจริงๆ ไม่ว่าชาวบ้านผู้ก่อความวุ่นวายหรือชาวบ้านธรรมดา

ชาวบ้านรอบด้านถอยหลังอย่างหวาดกลัวอีกครั้ง เฉินชีกัดฟันจะก้าวเข้าไป

คุณหนูจวินลงจากม้าห้ามเขาไว้

นางมองความบ้าคลั่งในดวงตาของลู่อวิ๋นฉีออก หากคนขวางก็จะฆ่าคนจริงๆ

น่าจะเพราะถูกแววตาของนางเมื่อครู่กระตุ้นเข้าแล้ว

ใช่แล้ว ครั้งนี้นางกลับมาไม่ได้ปิดบังท่าทางและจิตใจของฉู่จิ่วหลิงอีกต่อไป เหมือนกับทุกปีที่นางระหกระเหินเดินทางไกลกลับมาเมืองหลวงในอดีตครั้งที่พระบิดาพระมารดายังอยู่

เมืองหลวงแห่งนี้คือบ้านของนาง นางคือองค์หญิงจิ่วหลิงแห่งต้าโจว

ที่เมืองหลวงแห่งนี้นางไม่เคยถูกขับไล่ นางเพียงแค่จากไปชั่วคราว กลับมาได้ตลอดเวลา ไม่มีความหวาดกลัวที่จะกลับมา

นางรู้ว่าลู่อวิ๋นฉีต้องปรากฏตัวแน่ ตอนนี้นางไม่หวาดกลัวที่จะถูกลู่อวิ่นฉีจับถึงขั้นที่นางอาจถือโอกาสลองสังหารลู่อวิ๋นฉีดูได้ คิดว่าเวลานี้สังหารลู่อวิ๋นฉีไป นางก็หาทางรอดทงหนึ่งได้เหมือนกัน

ฟ้าแจ้งกลางวันแสกๆ ในฐานะผู้ที่ขัดขืนจะสังหารผู้ใช้อำนาจป่าเถื่อนก็ยากเลี่ยง

คุณหนูจวินกำแส้ม้าในมือแน่น มองไปทางลู่อวิ๋นฉี

“ท่านต้องการจับข้า มาสิ” นางเอ่ย

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง มุมปากยกโค้ง ยกเท้าก้าวเดิน

“ใต้เท้า” หัวหน้ากองพันเจียงอดไม่ได้ส่งเสียงห้ามปราม

สตรีผู้นี้วันนี้เขาไม่กล้าดูแคลนอีกแล้ว

ลู่อวิ๋นฉีไม่สนใจ เพียงมองคุณหนูจวิน สบสายตานางเดินเข้าไปทีละก้าวๆ ไม่กลัวว่าด้านหน้าเป็นภูเขาดาบหรือทะเลเพลิง แล้วก็ไม่หวาดกลัวแววตาโกรธเกรี้ยวทั้งยังทอประกายคลุมเครือ

เขาเพียงต้องการคนผู้นี้ เขาต้องได้คนผู้นี้ หลังจากนั้นแหวะนางออกดู ที่แท้นางเป็นใคร ทำไมบนโลกนี้มีนางสองคนไปได้?

หน้าประตูเมืองชะงักนิ่งอย่างแปลกประหลาด ความแปลกประหลาดนี้มีนิ่งและเคลื่อนไหวประสานผสมรวมกัน องครักษ์เสื้อแพร ข้ารับใช้ในตระกูลกับคุณหนูจวินนิ่งสนิท ลู่อวิ๋นฉีขยับ

“ทำอะไร? มองอะไร?”

เสียงตะโกนกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง ทำลายความนิ่งงันนี้ในพริบตา

ในเวลาเดียวกันเสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้น

ลู่อวิ๋นฉีคล้ายไม่ได้ยิน ยังคงก้าวเท้า ไม่คิดหลบหลีกสักนิด

“ใต้เท้าระวัง”

ลู่อวิ๋นฉีบ้าไปแล้ว หัวหน้ากองพันเจียงไม่กล้าบ้าไปด้วย เขาได้แต่โถมเข้าไปขวางลู่อวิ๋นฉีพาถอยหลัง

กริชเล่มหนึ่งเฉียดผ่านข้างหูหัวหน้ากองพันเจียงไป เสียงปึกดังขึ้นทีหนึ่งปักอยู่บนประตูเมือง แทบจมมิด

นี่ก็ลงมือฆ่าจริงๆ

หัวหน้ากองพันเจียงหน้าผากผุดเหงื่อกาฬแตกพลั่กชั้นหนึ่ง

คนด้านนั้นก็วิ่งเข้ามาด้วย ประหนึ่งสายลมหอบหนึ่งพัดผ่าน แหวกองครักษ์เสื้อแพรที่รุมล้อมอยู่

หัวหน้ากองพันเจียงเพียงรู้สึกสายตาลายวูบหนึ่ง

ตาลายครานี้ไม่เพียงเพราะคนที่มารวดเร็ว ยังเพราะเสื้อผ้าที่ผู้มาสวมไว้บนร่างด้วย

คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ แต่กลับสวมเสื้อตัวใหญ่โคร่งสีสันละลานตาชุดหนึ่ง ดูไปแล้วประหลาดยิ่งนัก

หัวหน้ากองพันเจียงชั่วครู่เกือบจำไม่ได้ว่าใคร ชาวบ้านรอบด้านกลับตะโกนขึ้นมาแล้ว

“เป็นท่านชาย!”

“เป็นบุตรชายเฉิงกั๋วกง!”

“ท่านชาย!”

“ท่านชาย!”

ประหนึ่งน้ำเทลงในกระทะน้ำมันพริบตาอึกทึกซู่ซ่าขึ้นมา

จูจั้นท่าทางกระยิ้มหยิ่งย่องผายมือออก กวาดสายตามองรอบด้าน รอยยิ้มเพิ่งยกขึ้นก็ได้ยินในกลุ่มคนโพล่งตะโกนคำหนึ่งออกมาอีก

“ที่ไหนมีคุณหนูจวินก็ต้องมีท่านชายจริงๆ ด้วย!”

หน้าของจูจั้นบึ้งลงทันที

“เฮ้เฮ้” เขายื่นมือชี้ฝูงชนที่พูดพลางถลึงตาเอ่ย “เสื้อผ้าใส่มั่วได้ วาจาไม่อาจพูดส่งเดชได้นะ”