ภาค-5 ตอนที่ 21 ขุนเขาตระหง่านธารน้ำไหล (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

เจียงไห่เทาเห็นเขาลังเล จึงกล่าวต่อว่า “คุณชายชิวมิต้องกังวลมากไป ท่านอาจารย์ชื่นชอบคุณชายชิวมากทีเดียว จึงมิปรารถนาให้คุณชายต้องพลัดเข้าไปยังเรื่องวุ่นวายทางโลก สั่งให้ไห่เทาใช้กำลังทรัพย์ช่วยแคว้นท่านซื้อเสบียง แลกเปลี่ยนกับการที่คุณชายชิวอยู่ในตงไห่ เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณชายชิวก็มีคำอธิบายให้แก่ทางสำนัก หลังคลื่นลมสงบแล้ว คุณชายค่อยกลับไปยังเป่ยฮั่นก็มิสาย”

ชิวอวี้เฟยถอนหายใจ คำกล่าวของเจียงไห่เทาพูดแทงใจเขาจริงๆ เมื่อเทียบกับเสบียงเหล่านั้นแล้ว ตนเองจะอยู่ที่เป่ยฮั่นหรือไม่ย่อมเป็นเรื่องเล็กน้อยจนไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง เรื่องนี้เป็นข้ออ้างอันดีข้อหนึ่งอย่างแท้จริง ทว่าทอดทิ้งสำนักมิไยดีเช่นนี้แล้ว ตนเองจะสงบใจได้หรือ

เจียงไห่เทาเห็นสีหน้าของเขาก็ทราบความในใจของเขาแล้ว จึงเอ่ยต่ออีกว่า “หากคุณชายชิวมิยอมอยู่ที่ตงไห่ ถ้าเช่นนั้นผู้แซ่เจียงก็มิมีคำใดจะกล่าวแล้ว ทว่าหากเป็นเช่นนั้น แคว้นท่านอย่าคิดจะได้เสบียงแม้แต่ส่วนเดียวไปจากปินโจว และแม้ต้องแบกชื่อเสียงเลวทรามว่าเนรคุณ ตงไห่ก็จะสวามิภักดิ์กับต้ายงทันที จะเลือกเช่นไร ขอคุณชายชิวไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน”

ชิวอวี้เฟยยิ้มฝืดเฝื่อน “ท่านโหวน้อยกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่ชิวยังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ”

เจียงไห่เทายิ้มละไม กล่าวว่า “จวนจิ้งไห่เป็นที่พำนักของท่านอาจารย์ เก็บตำราไว้มากมายนัก ในนั้นมีตำราพิณอยู่ไม่น้อยให้คุณชายชิวได้เพลิดเพลิน ภรรยาของข้ารักษาตัวอยู่ในจวน หากคุณชายชิวต้องการสิ่งใดแล้วข้ามิอยู่ ก็ไปบอกกล่าวกับภรรยาข้าได้ นอกจากนี้ท่านหมอเทวดาซังก็ปลีกวิเวกอยู่ที่จวนแห่งนี้เช่นกัน ท่านอาจารย์กล่าวว่าหากมีโอกาส คุณชายมิสู้ลองไปพบท่านหมอซังสักครั้ง”

ชิวอวี้เฟยถอนหายใจเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “จวนจิ้งไห่ช่างเหมือนแดนเซียนบนโลกมนุษย์ อวี้เฟยได้พำนักที่นี่ คิดว่าคงมิมีความทุกข์ยากลำบากประการใด แต่ท่านโหวน้อยคิดจริงหรือว่าต้ายงจะกำชัยชนะแน่แล้ว”

เจียงไห่เทาอมยิ้มมิตอบวาจา หลังจากตบแต่งกับภรรยาแล้ว นิสัยของเขาก็สุขุมขึ้นมาก ตอบเพียงว่า “การศึกสงครามเป็นเรื่องเสี่ยงอันตราย เรื่องเช่นนี้ไหนเลยจะกล่าวแน่นอนได้”

แต่ในใจเขาลอบคิดว่า ในเมื่อท่านอาจารย์ลงมาจากเขาแล้ว ถ้าเช่นนั้นการล่มสลายของเป่ยฮั่นก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น แม้มิทราบว่าเหตุใดท่านอาจารย์จักต้องรั้งชิวอวี้เฟยไว้ตงไห่ให้จงได้ แต่เขาก็ทราบว่าท่านอาจารย์ชื่นชอบชิวอวี้เฟยยิ่งนัก ส่วนชิวอวี้เฟยแม้มิเคยกล่าวออกมาอย่างชัดแจ้ง แต่เขาก็เหมือนจะนับถือท่านอาจารย์เป็นสหายรู้ใจดุจเดียวกัน ดังนั้นคำพูดทำร้ายจิตใจคนเช่นนี้อย่ากล่าวออกมาจะดีกว่า

ชิวอวี้เฟยเห็นว่าสถานการณ์มิอาจเปลี่ยนได้แล้ว ความคิดก็กลับแจ่มชัดขึ้น ในใจคิดว่า มิว่าเจียงเจ๋อมีเจตนาอย่างใด แต่เขาก็เข้าใจความปรารถนาของข้า ทราบว่าข้ามิยินดีเอาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับสนามรบคลุ้งคาวเลือด การต่อสู้ระหว่างสองแคว้นครั้งนี้ มิว่าผู้ใดชนะ ผู้ใดแพ้ ล้วนมิมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับข้า

อีกประการหนึ่งแม้ต้ายงชนะ พรรคมารของข้าจะถอนตัวมิทันเช่นนั้นหรือ ต่อให้ต้ายงอำนาจมากปานใด ทหารม้าของเป่ยฮั่นก็มีอยู่แสนกว่านาย ทั้งชิ่นโจวยังป้องกันง่ายโจมตียาก ข้าไยต้องกลัดกลุ้มกับเรื่องนี้ด้วยเล่า มิสู้พักอยู่ในตงไห่ หลบเลี่ยงคลื่นลมของสงครามเป็นดี

หลังจากคิดตกแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าเจียงเจ๋อเป็นสหายรู้ใจมากกว่าเดิม จนอดไล้สายพิณมิได้ บทเพลง ‘ขุนเขาตระหง่านธารน้ำไหล’ บรรเลงออกมาจากสายพิณ สูงใหญ่ดั่งขุนเขา กว้างใหญ่ดุจสายน้ำ เสียงพิณเริ่มบรรเลง สรรพเสียงในจวนจิ้งไห่ต่างเงียบสงัด ทุกผู้คนต่างฟังดนตรีอย่างเพลิดเพลิน จิตใจบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว

บทเพลงจบลง เย่ว์ชิงเยียนเดินเข้ามาจากด้านนอกแล้วกล่าวว่า “วิชาพิณของคุณชายชิวไร้เทียมทาน ชิงเยียนนับถือ อาจารย์ปู่ของข้าเชิญคุณชายเดินทางไปพบหน้าสักครั้ง”

ชิวอวี้เฟยตกตะลึงเล็กน้อย ทว่าหมอเทวดาคือบุคคลระดับใด แม้จิงอู๋จี๋อยู่ที่นี่ก็มิอาจนิ่งเงียบไม่ไปหาได้ ชิวอวี้เฟยลุกขึ้นตอบว่า “มิกล้าปฏิเสธ”

เจียงไห่เทากับเย่ว์ชิงเยียนนำทางชิวอวี้เฟยลัดเลาะผ่านหมู่หอเรียงราย เดินเข้ามาในเรือนไป่เฉ่าที่พำนักของซังเฉิน ยังมิทันก้าวเข้าประตูเรือน ในใจชิวอวี้เฟยก็เกิดความรู้สึกพิกล ทั้งที่ทราบว่าในห้องน่าจะมีคนอยู่ แต่กลับรู้สึกว่าคนผู้นั้นคล้ายมิมีตัวตนอยู่ ชิวอวี้เฟยเคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน นั่นก็คือยามอยู่ต่อหน้าท่านอาจารย์ หรือว่าจวนจิ้งไห่ก็มียอดฝีมือระดับปรมาจารย์อยู่ด้วยคนหนึ่ง

ชิวอวี้เฟยยิ้มเจื่อน สาเหตุที่เจียงไห่เทามาบอกการตัดสินใจกับตนที่นี่ คงเพราะกังวลว่าจะไม่มีผู้ใดหยุดตนเองได้หากตนอาศัยวรยุทธ์ขัดขืนจนหัวร้างข้างแตกกันสักยกสินะ เจียงเจ๋อทำสิ่งใดล้วนไร้ช่องโหว่จริงๆ เมื่อตนเองตกอยู่ในกับดักของเขาก็ไม่มีโอกาสหลุดรอดไปได้อีกแล้ว แต่สิ่งที่น่าประหลาดก็คือชิ วอวี้เฟยกลับรู้สึกสงบใจได้มากกว่าเดิม ในเมื่อตนมิอาจหนีออกจากตงไห่ได้อยู่แล้ว ถ้าเช่นนั้นการยอมอยู่ต่อก็เท่ากับเป็นเพราะมิมีทางเลือกอื่น เขาอดมิไหว เงยหน้าขึ้นมองท้องนภาอันใสกระจ่าง ชิวอวี้เฟยรู้สึกว่าจิตใจสงบและเป็นสุขอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน

ข้าวางบันทึกประวัติศาสตร์ตงไห่ลงก่อนจะสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่แล้วก้าวออกจากกระโจม ยามนี้ต้นเดือนสองแล้ว หิมะกับน้ำแข็งละลายสิ้น การเพาะปลูกช่วงฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาถึง เวลาฝึกร่างกายยามเช้าของทุกวัน พลทหารในกองทัพถึงขนาดถอดเสื้อมาทำงานกันแล้ว แต่ข้ายังคงรู้สึกหนาวเสียดกระดูก เฮ้อ การเจ็บหนักในอดีตยังทิ้งร่องรอยมากมายบนร่างข้า แต่เคล็ดวิชาของเส้าหลินไม่เลวจริงๆ อย่างน้อยมือเท้าของข้าก็อบอุ่น แม้พละกำลังมีไม่มากนัก แต่ก็มิใช่ว่าเดินครั้งหนึ่งก็เหนื่อยหอบอีกแล้ว ครานี้ยกพลบุกขึ้นเหนือ ข้าคงมิทุกข์ทรมานมากนักกระมัง น่าเสียดายมิอาจหลบอยู่ในตงไห่รักษาตัวอย่างสงบนานๆ หากต้ายงมิอาจรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง น่ากลัวว่าข้าคงไม่มีโอกาสนอนกินเงินหลวงเฉยๆ

เสียงฝีเท้าดังมาจากไกลๆ ภาพของฉีอ๋องผุดขึ้นในใจ ข้าเอ่ยโดยที่มิได้หันหลังกลับไปมอง “ท่านอ๋องมาด้วยตนเอง มีเรื่องใหญ่อันใดหรือ”

ฉีอ๋องตอบอย่างหงุดหงิด “สุยอวิ๋น ท่านตั้งใจทำสิ่งใดกัน ตงไห่ประกาศวางตัวเป็นกลาง แล้วยังส่งเสบียงกับอาวุธยุทโธปกรณ์ชุดหนึ่งให้แก่เป่ยฮั่นอีก ข้ามิเชื่อว่านี่คือเจตนาของตระกูลเจียง ท่านอยู่ตงไห่มาหลายปี อย่ามาบอกข้าว่ากุมสถานการณ์ของที่นั่นมิได้”

ข้ายิ้มละไมตอบว่า “กล่าวอันใดเช่นนั้นเล่า เจียงเจ๋อปลีกวิเวกไปรักษาตัวที่ตงไห่ จะคิดไปควบคุมบงการตระกูลเจียงแห่งตงไห่ได้เช่นไร ตระกูลเจียงกับราชวงศ์ต้ายงเป็นเครือญาติผ่านการแต่งงาน ท่านโหวน้อยติดค้างบุญคุณฝ่าบาทกับท่านอ๋องอย่างใหญ่หลวง จะเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาสวามิภักดิ์เช่นไรมิใช่งานของพวกท่านหรือ อีกประการ หลายเดือนก่อน ตระกูลเจียงก็หารือเรื่องการอภัยโทษกับราชสำนักอีกหนแล้วมิใช่หรือไร”

ฉีอ๋องตอบว่า “มิต้องเอาคำพูดสวยหรูเหล่านี้มากล่าวกับข้า ตงไห่สวามิภักดิ์ต้ายงเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอน ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ แต่เหตุไฉนครานี้จู่ๆ จึงวางตัวเป็นกลาง แล้วยังช่วยเหลือเป่ยฮั่น วางตัวเป็นอริกับพวกเรา อย่าบอกข้าเชียวว่าท่านอยู่เบื้องหลัง หากฝ่าบาทกล่าวโทษลงมา ข้าจะมิช่วยขอความเมตตาให้ท่าน”

ข้าลากหางเสียง “ก็ดีสิ ถึงเวลาปล่อยให้ฝ่าบาทลงโทษข้าเสียเลย ดีที่สุดปลดบรรดาศักดิ์ของข้าเสีย ข้าจะได้พาฉางเล่อกลับไปปลีกวิเวกในตงไห่ ท่านว่าติดเรือของตระกูลไห่ล่องข้ามทะเลไปดูสักหน่อยดีหรือไม่”

ฉีอ๋องหัวเราะมิได้ร้องไห้มิออก “พอแล้ว ท่านเลิกยั่วโมโหข้าเสียที ท่านกับฝ่าบาทสมรู้ร่วมคิดสิ่งใดกันใช่หรือไม่ ถึงอย่างไรข้าก็ต้องมีคำอธิบายแก่แม่ทัพใต้บัญชาให้กระจ่างบ้างสิ”

ข้าเงียบพักหนึ่งก็ตอบว่า “ท่านอ๋องต้องอธิบายกับแม่ทัพใต้บัญชาตั้งแต่เมื่อใด ข้าบอกแก่ท่านอ๋องได้ แต่แม่ทัพใต้บัญชาอย่าเพิ่งให้รู้ตอนนี้จะดีกว่า”

ตอนที่ฉีอ๋องเข้ามา องครักษ์ข้างกายของพวกเราทั้งสองคนก็แยกย้ายกันไปคุ้มกันรอบด้านไว้แล้ว เพื่อมิให้บทสนทนาของพวกเราแพร่งพรายออกไป ข้าจึงเอ่ยอย่างมิหวั่นเกรง “ยามนี้ฝั่งตงชวนชิ่งอ๋องตั้งใจจะก่อกบฏ แม้หนานฉู่ได้รับการปลอบโยนแล้ว แต่ก็ยังต้องเป็นห่วงว่าพวกเขาอาจจะกลับคำ หากตอนนี้ตงไห่สวามิภักดิ์ต่อต้ายง หนานฉู่กับตงชวนย่อมถูกบีบให้กดดันอย่างหนัก พวกเขาจะท้ารบกับต้ายงอย่างมิสนใจสิ่งใดทั้งสิ้นแน่นอน

ทว่ายามนี้ตงไห่แสดงออกว่าเป็นกลาง อีกทั้งยังช่วยส่งเสบียงให้เป่ยฮั่น มิว่าผู้คนในใต้หล้าจะกำลังมีความคิดเช่นไรอยู่ พวกเขาล้วนโล่งใจชั่วคราว อาจถึงขั้นคิดว่าต้ายงจักต้องทำศึกอันยากลำบากกับเป่ยฮั่นเป็นแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมชะลอการลงมือของหนานฉู่กับตงชวนได้บ้าง นี่คือข้อดีประการที่หนึ่ง

อีกประการหนึ่ง เมื่อศึกใหญ่เริ่มต้นขึ้น พวกเราก็ยังตัดเส้นทางติดต่อระหว่างตงไห่กับเป่ยฮั่นได้ ดังนั้นเป่ยฮั่นก็จะยังต้องพบกับสภาวะลำบากเนื่องจากเสบียงไม่พอเช่นเดิม ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราทำศึกครานี้มิได้เตรียมจะปิดล้อมเป็นเวลานาน เสบียงของเป่ยฮั่นพรั่งพร้อมหรือไม่มิสำคัญ เรื่องนี้ข้าฝากฉางเล่อกราบทูลฝ่าบาทแล้ว รอเมื่อเป่ยฮั่นล่มสลาย ตงไห่ค่อยสวามิภักดิ์ มิใช่ยิ่งเสริมส่งบารมีมากกว่าเดิมหรือ อีกอย่างหนึ่ง ก่อนจะคิดถึงชัยชนะจงขบคิดถึงความพ่ายแพ้ หากครั้งนี้บุกตีไม่สำเร็จ ตงไห่ยังจะเป็นกลาง รักษาความสัมพันธ์กับเป่ยฮั่นต่อได้หรือไร”

ข้าหยุดครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างเฉยเมยต่อ “แล้วอีกทั้งทำเช่นนี้ข้าก็ยังฉวยโอกาสรั้งชิวอวี้เฟยไว้ที่ตงไห่ได้อีกด้วย ข้ามิต้องการให้เขาตายบนสนามรบ ฝีมือบรรเลงพิณของเขา ใต้หล้ามิมีผู้ใดเทียบเทียม คนเช่นนี้มิสมควรมาตายที่ชิ่นโจว”

ฉีอ๋องมองเจียงเจ๋อด้วยแววตาแปลกพิกล กล่าวว่า “ข้ามิเชื่อหรอกว่าท่านตัดสินใจทำเช่นนี้เพราะมิตรภาพส่วนตัว บอกมาเสีย ครั้งนี้ท่านเตรียมตัวจะใช้ประโยชน์จากชิวอวี้เฟยเช่นไร ครั้งก่อนใช้เขาเป็นจารชนซ้อนยังมิพออีกหรือ”

ข้าอับอายจนกลับกลายเป็นโกรธเคือง จึงถลึงตาใส่ฉีอ๋องแล้วกล่าวว่า “ท่านรีบร้อนอันใดเล่า รอถึงสุดท้ายท่านย่อมทราบเอง” คนผู้นี้มองทะลุความคิดชั่วร้ายของข้าเสียทุกครั้ง แต่ข้าก็อดละอายใจมิได้เช่นกัน หากเทียบกับชิวอวี้เฟยแล้ว แม้เขาจะตั้งใจสังหารข้า แต่ความจริงแล้วเขากลับจริงใจกว่ามากนัก แต่ลองคิดอีกแง่หนึ่ง ข้าก็เพียงให้เขาทำงานให้ข้าเล็กน้อย แลกกับการรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ได้มิใช่หรือ หากไม่ทำเช่นนี้ เขาเป็นลูกศิษย์พรรคมาร ข้าจะปกป้องเขาอย่างสง่าผ่าเผยได้เช่นไรเล่า

ฉีอ๋องรู้จักดูสถานการณ์เป็นอย่างดี เขาเห็นข้าโมโหโทโสก็เบี่ยงประเด็นเอ่ยขึ้นว่า “สุยอวิ๋น ครั้งนี้ยกทัพบุกชิ่นโจว ท่านมีแผนการอันใดหรือไม่”

ข้าตอบอย่างเกียจคร้าน “วันยกทัพกำหนดไว้นานแล้ว ครั้งนี้องค์ชายเตรียมจะรบเช่นไรเล่า”

ครั้งนี้พูดถูกเรื่องที่ฉีอ๋องต้องการเข้าแล้ว เขาจึงเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ไป เข้าไปคุยในกระโจมของท่าน” กล่าวจบก็สาวเท้าเดินเข้าไปในกระโจมของข้าดุจดาวตก ข้าเดินตามเข้าไปแล้วหยิบแผนที่แผ่นหนึ่งมาวางไว้บนโต๊ะด้วยตนเอง

ฉีอ๋องชี้แผนที่แล้วกล่าวว่า “ข้าให้จิงฉือพากำลังพลห้าหมื่นนายออกเดินทางไปล่วงหน้าแล้ว จากเจิ้นโจวผ่านช่องภูเขาไป๋สิงของเขาไท่สิงบุกตีด่านหูกวน ข้าจะนำกองทัพหลวงแสนห้าหมื่นขึ้นเหนือ เสบียงตามท้ายผ่านทางลำน้ำชิ่นสุ่ย สองฟากกระหนาบโจมตี แล้วรวมพลที่ชิ่นโจว ท่านเห็นว่าเป็นเช่นไร”

ในใจข้ามีแผนการแล้ว จึงกล่าวว่า “องค์ชายนำกำลังพลไปหนึ่งแสนนายก็เพียงพอ ทิ้งห้าหมื่นนายไว้ที่เจ๋อโจว นอกจากนั้นก็ชูธงให้มากเข้าไว้ แสร้งทำเป็นว่าเคลื่อนกองทัพใหญ่หนึ่งแสนห้าหมื่นออกไปแล้ว อีกประการหนึ่ง ระหว่างทางขอให้องค์ชายส่งทหารสอดแนมกับสายลับคอยดักสังหารทหารสอดแนมกับสายลับของกองทัพเป่ยฮั่นด้วย อย่าปล่อยให้พวกเขาผ่านแนวป้องกันของกองทัพหลวงมาได้เป็นอันขาด”

ดวงตาของฉีอ๋องทอประกายเย็นเยียบ ถามขึ้นว่า “สุยอวิ๋น ฝ่าบาทกับท่านมีแผนการอันใดกันแล้วหรือ”

ข้ายิ้มละไม ชี้แผนที่พลางกระซิบเล่าแผนการทั้งหมดที่ข้าวางเอาไว้ ฉีอ๋องฟังพลางพยักหน้า สุดท้ายก็เอ่ยอย่างหยิ่งทะนง “อาจมิจำเป็นต้องใช้หมากตานี้ก็เป็นได้ กองทัพใหญ่หนึ่งแสนของข้ารวมกับห้าหมื่นของจิงฉือจะจัดการหลงถิงเฟยมิได้หรือไร”

ข้าหัวเราะเบาๆ “หากองค์ชายสร้างความชอบใหญ่หลวงเช่นนี้ได้ นั่นย่อมดีกว่า แต่หลงถิงเฟยมิใช่คนธรรมดา ครั้งนี้เป่ยฮั่นต้องทุ่มเทกำลังทั้งแว่นแคว้นต่อต้านกองทัพหลวงไว้แน่ องค์ชายอย่าได้ประมาท”

ฉีอ๋องมองแผนที่พลางหารือกลยุทธ์การศึกกับข้าเหมือนมีความคิดบางอย่าง สุดท้ายจึงเอ่ยว่า “ดี แต่หากเป็นเช่นนี้ ท่านก็ต้องติดตามกองทัพขึ้นเหนือไปด้วยหรือ”

ข้าถอนหายใจ กล่าวว่า “ข้าก็มิต้องการเสี่ยงอันตรายหรอก แต่หากข้ามิปรากฏตัว เกรงว่าสายลับเป่ยฮั่นอาจยอมแลกชีวิตมาสืบสถานการณ์กองทัพที่แนวหลังก็เป็นได้ ข้ามิต้องการให้เป็นเช่นนั้น ถึงกระนั้นเพียงคิดถึงการขี่อาชากับนั่งรถม้า ทั่วทั้งร่างของข้าก็รู้สึกปวดเมื่อยไปหมดแล้ว”

ฉีอ๋องหัวเราะ “ข้าจะให้คนเตรียมเรือเร็วลำหนึ่งให้ท่าน ท่านล่องตามแม่น้ำชิ่นสุ่ยขึ้นเหนือ คงลดความลำบากระหว่างเดินทางให้ท่านได้อยู่บ้าง ถนนของชิ่นโจวเดินทางมิสะดวกนัก รถม้าของท่านใช้การมิได้หรอก”

เมื่อพวกเราสองคนกำหนดแผนการกันเสร็จ นอกกระโจมก็พลันมีคนตะโกนแจ้ง “ท่านอ๋อง ท่านผู้ตรวจการกองทัพ ราชโองการของฝ่าบาทมาถึงค่ายใหญ่แล้ว”

ข้ากับฉีอ๋องต่างเดินออกไปนอกกระโจมด้วยความตื่นเต้น ดูจากเวลา ราชโองการอนุญาตให้นำทัพออกศึกของฝ่าบาทน่าจะมาถึงในไม่กี่วันนี้ เมื่อเดินออกจากกระโจม ขอบฟ้ากำลังมีเมฆดำแผ่ปกคลุม สวรรค์ก็คงทราบว่ากำลังจะมีศึกนองเลือดเกิดขึ้น ดังนั้นจึงกลัดกลุ้มทุกข์ระทมกับเรื่องนี้กระมัง