ตอนที่ 208-1 บรรลุ

เฉียวเวยแอบออกจากห้องหนังสือ ตอนนี้ตกกลางคืนแล้ว ห้องต่างๆ ล้วนกำลังเตรียมจะเช็ดถูทำความสะอาด นอกจากหญิงรับใช้ที่เฝ้าประตูกับสาวใช้ที่หาบน้ำสองสามคน ในเรือนก็มีคนเดินไปมาไม่มาก

เฉียวเวยลัดเลาะกลับไปยังทางเดิน จากนั้นมุ่งตรงไปยังประตูข้าง

ตอนเดินผ่านห้องของสวินหลัน นางก็ได้ยินเสียงเกลี้ยกล่อมแผ่วเบาของชิวผิงจากด้านในหน้าต่าง เนื้อความทำนองว่าแม้บ่าวไม่ทราบว่าฮูหยินกับนายท่านเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่นายท่านภายนอกเป็นคนเย็นชา แต่ภายในจิตใจอ่อนโยน ขอเพียงฮูหยินก้มหัว ยอมรับผิดกับนายท่าน นายท่านจะต้องอภัยให้ฮูหยินแน่นอน

เฉียวเวยคิดในใจ สาวน้อยโง่เขลา นี่ไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับผิดแล้วจะผ่านไปได้หรอกนะ เจ้านายของเจ้าทำเวรทำกรรมไว้ย่อมหนีไม่พ้น หาทางช่วยตัวเองเสียเถิด!

ชิวผิงกล่อมสวินหลันอีกสองสามประโยค บอกว่านายท่านยามปกติรักฮูหยินปานนั้น ฮูหยินไยไม่ต้มน้ำแกงด้วยตนเองสักถ้วยยกไปให้นายท่าน แสดงความขอโทษอะไรทำนองนั้น

เฉียวเวยฟังถึงตรงนี้ ความจริงก็รู้สึกเศร้าแทนแม่เลี้ยงสาวอยู่บ้าง ชิวผิงยังไม่รู้เลยว่าแม่เลี้ยงกับจีซั่งชิงเกิดเรื่องอะไรกัน ก็โยนความผิดมาไว้กับฝ่ายหญิงฝั่งเดียว ช่างเป็นความน่าสลดของยุคสมัย ความโชคร้ายของผู้หญิงโดยแท้เชียว!

เฉียวเวยถอนหายใจ ตอนมาถึงประตูข้าง หูได้ยินประโยคสุดท้ายชิวผิงบอกว่านายท่านมิเคยแตะต้องสตรีคนอื่นมาหลายปีเช่นนี้ เรียกได้ว่ารักฮูหยินอย่างลึกซึ้ง ก็พบว่าประตูถูกคนตอกตะปูปิดไปเสียแล้ว สงสัยกลัวว่าจะทะเลาะกันจนคนอื่นรู้ เฉียวเวยจึงปีนข้ามกำแพงเรือนไป

เฉียวเวยนั่งอยู่บนกำแพงเรือน ส่ายหัวอย่างขบขัน “หากพ่อสามีของข้าชอบเจ้าปานนั้นจริง ยังจะชมภาพเหมือนของสตรีอีกนางหนึ่งในห้องหนังสือได้หรือ สตรีนางนั้นอ่อนเยาว์กว่าเจ้า อ่อนโยนกว่าเจ้า สง่างามยิ่งกว่าเจ้า พ่อสามีของข้าก็แค่เป็นโคแก่ชอบกินหญ้าอ่อนเท่านั้น อะไรกัน ไม่ยินยอมหรือ”

เสียงยังไม่ทันลอยหาย ปลายหางตาก็เหลือบเห็นเงาคนผู้หนึ่ง พอเพ่งสายตามองก็พบว่าเป็นจีซั่งชิงที่ออกจากเรือนถงมาเดินเล่นโดยมิรู้ว่าจะเดินไปที่ใด

จีซั่งชิงมองเฉียวเวยด้วยสีหน้าเฉยเมย

หว่างคิ้วของเฉียวเวยดีดขึ้นไปด้านบนทันใด นางเกือบจะหน้าทิ่มตกจากกำแพง!

พ่อสามีมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!

เมื่อครู่เขาได้ยินไปเท่าไร

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าได้ยินแล้วหรือไม่ ตอนนี้ตนเองกำลังนั่งอยู่บนกำแพงของเรือนถง คนโง่ก็รู้ว่นางไม่ได้มาชมทิวทัศน์

กระอักกระอ่วน กระอักกระอ่วนเหลือเกิน!

แอบฟังอยู่มุมห้องไม่เห็นถูกจับได้ แต่พอจะปีนกำแพงหนีดันถูกจับได้เสียอย่างนั้น นี่มันสะดุดล้มก่อนถึงประตูก้าวเดียวชัดๆ!

ตอนที่เฉียวเวยกำลังเค้นสมองคิดว่าจะอธิบายกับจีซั่งชิงอย่างไร จีซั่งชิงกลับก้าวเท้าเดินจากไป

เฉียวเวยอึ้ง มองแผ่นหลังของจีซั่งชิงแล้วหันกลับมามองตนเอง นี่เขาเห็นนางหรือไม่เห็นนางกันแน่

ขณะที่เฉียวเวยกำลังจะกระโดดลงไป จีซั่งชิงกลับเลี้ยวกลับมามองเฉียวเวยแล้วบอกว่า “ข้าอายุมากกว่าเจาหมิงปีเดียวเท่านั้น”

เฉียวเวย “…”

เฉียวเวยกลับมาถึงบ้านชิงเหลียน

วั่งซูนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวน้อย แกว่งขาน้อยอันอวบอ้วน ท่องอย่างซังกะตาย “ฟ้าสีคราม ดินสีเหลือง จักรวาลเวิ้งว้าง ตะวันขึ้นแล้วตก ดวงจันทร์เต็มแล้วแหว่ง ดาราเรียงเต็มฟ้า เหมันต์มาเยือน คิมหันต์ลาจาก ถึงสารทเก็บเกี่ยวกักตุนยามหนาว เศษปีบรรจบ นับครบหนึ่งเดือน บรรเลงดนตรีขับกล่อมฟ้าดิน เมฆก่อตัวนำสายฝน น้ำค้างจับกลายเป็นน้ำค้างแข็ง ทองคำมาจากลี่สุ่ย หยกงามมาจากคุนหลุน ยอดกระบี่มีนามว่าจวี้เชวี่ย ยอดไข่มุกชื่อว่าเยี่ยกวง ผลไม้เลอค่าคือลูกพลัมกับลูกไหน ผักสำคัญคือผักกาดเขียวกับขิง…ท่านแม่!”

วั่งซูเห็นเฉียวเวยก็กระโดดลงมาจากเก้าอี้ โถมเข้ามาในอ้อมแขนของเฉียวเวยทันที นางหัวเราะคิกคักบอกว่า “ท่านแม่ๆ ข้าท่องได้แล้ว! ท่านพี่สอน ข้าท่องได้หมดแล้ว!”

เฉียวเวยลูบศีรษะน้อยๆ ของนาง แล้วบอกอย่างพึงพอใจ “เป็นเด็กดีเช่นนี้เชียว”

“ใช่แล้วๆ! ข้าเป็นเด็กดียิ่งนัก!” วั่งซูพูดแล้วค้นแขนเสื้อของเฉียวเวย “ท่านแม่ ของของข้าเล่า”

“มิน่าถึงท่องได้เร็วเช่นนี้ ทำเพื่อของของเจ้านี่เอง…” เฉียวเวยขบขัน นางยกมือขึ้นล้วงเข้าไปหยิบถุงเงินใบน้อยในแขนเสื้อ พอแตะถูกก็ชะงัก

เมื่อครู่ตอนอยู่ในตู้หิวมากเกินไป จึงหยิบของในถุงเงินมากินหมดแล้ว…

จิ่งอวิ๋นหันมามองเฉียวเวย “ท่านแม่ ท่านคงไม่ได้กินของของน้องหมดแล้วใช่หรือไม่”

วั่งซูมองมารดาของตนเองอย่างเสียใจ “ท่านแม่กินของของข้าหมดแล้วจริงหรือ”

เฉียวเวย “ข้า…”

วั่งซูเบะปาก สะอื้นฮึกคำหนึ่งก็ร้องไห้โฮ!

จีหมิงซิวกลับมาจากวังหลวง เข้ามาในเรือนก็เห็นลูกสาวร้องไห้ปิ่มจะขาดใจ ในใจคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงรีบเปิดม่านเดินเข้ามา “วั่งซูเป็นอะไรไป”

ท่านพ่อกลับมาแล้ว วั่งซูร้องไห้เสียงดังยิ่งกว่าเดิม

จีหมิงซิวเดินไปหา อุ้มเจ้าซาลาเปาน้อยผู้ร้องไห้จนน้ำหูน้ำตาไหลพรากเข้ามาในอ้อมแขน อยู่ในวังเสียหลายวันถูกเสียงทะเลาะระหว่างเจาอ๋องกับแม่ทัพน้อยมู่ทำเอาอารมณ์อึมครึม ยากนักว่าจะกลับบ้านได้สักหน แต่เจ้าตัวน้อยก็ร้องไห้อีก

จีหมิงซิวกลั้นเสียงหัวเราะไม่ไหวอยู่นิดๆ เขาหยิกใบหน้าเจ้าเนื้อของนาง “ร้องไห้ทำไม คิดถึงท่านพ่อหรือ”

“อืม!” วั่งซูพยักหน้าพร้อมกับสะอึกสะอื้น ศีรษะน้อยๆ ซุกเข้าไปในอ้อมแขนของเขา น้ำหูน้ำตาเปรอะเต็มร่างเขา

จิ่งอวิ๋นเห็นน้องสาวยึดครองท่านพ่อหมิงไว้คนเดียวก็กล่าวขึ้นมาอย่างอิจฉา “น้องไม่ได้คิดถึงท่านพ่อหรอก ท่านแม่กินน้ำตาลกับขนมของนางไป นางจึงโมโห”

เฉียวเวยยืนอยู่ข้างลูกชายอย่างไม่ลังเลสักนิด นางกอดอกมองลูกสาวที่ร้องไห้ประหนึ่งโลกจะล่มสลายแล้วเลิกคิ้ว “นั่นน่ะสิ น้ำตาลกับขนมไม่กี่ชิ้นเท่านั้น กินไปแล้วก็กินไปสิ ต้องร้องไห้ด้วยหรือ”

วั่งซูร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม

ของพวกนั้น นางอุตส่าห์เก็บสะสมไว้ตั้งนาน ตัวเองยังตัดใจกินไม่ลง ได้แต่หยิบออกมาเลียนิดๆ ตอนกลางคืน แต่ถูกท่านแม่กินหมดแล้ว…

เฉียวเวย ‘มิน่าถึงเหนียวหนืดแบบนั้น! ที่แท้เจ้าก็เลียมาแล้วสินะ!’

วั่งซูร้องไห้จนเหงื่อโซมเสื้อผ้า

จีหมิงซิวกอดนางแล้วปลอบเสียงเบา “ท่านแม่กินขนมอะไรของเจ้าหมด พ่อซื้อให้เจ้าดีหรือไม่”

วั่งซูมองจีหมิงซิวน้ำตาคลอ “จริงหรือ”

จีหมิงซิวรับผ้าเช็ดหน้าที่เฉียวเวยส่งมาให้แล้วเช็ดน้ำมูกให้นาง “เพิ่มถังหูลู่ให้สองไม้ด้วย”

วั่งซูหยุดร้องไห้ในพริบตา!

ปี้เอ๋อร์พาพี่น้องสองคนกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เฉียวเวยก้าวเข้ามาปลดสายคาดเอวชุดขุนนางให้เขา จีหมิงซิวคิดไม่ถึงว่านางจะมาช่วยตนเองถอดอาภรณ์ เขามองนางด้วยแววตาล้ำลึก จากนั้นยกสองแขนขึ้นให้นางทำได้สะดวก

มือของเฉียวเวยอ้อมไปด้านหลังบั้นเอวของเขา ปลดสายคาดเอวของเขาไปแขวนไว้บนราว “เรื่องในราชสำนักราบรื่นดีหรือไม่”

จีหมิงซิวมองนางไม่กะพริบตา “อีกครึ่งเดือน ทูตหนานฉู่ถึงจะจากไป มีเรื่องยิบย่อยมากอยู่บ้าง”

“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจึงกลับมาได้เล่า” มือที่แกะกระดุมของเฉียวเวยหยุดชะงัก

เขากุมมือนาง “รับปากแล้วว่าจะพาเจ้าไปชมเทศกาลโคมไฟ วันนี้เป็นวันสุดท้าย จบคืนนี้ เทศกาลโคมไฟก็สิ้นสุดแล้ว”

วันนั้นโคมไฟที่ซื้อให้ลูกทั้งสองคนถูกฝูงชนเหยียบจนเละ เขาจึงบอกว่าจะพานางกับลูกๆ ไปเดินเลือกโคมไฟด้วยกัน แต่พักนี้ยุ่งอยู่กับการเปิดโปงแม่เลี้ยงจึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท คนเป็นแม่อย่างนางยังลืมแล้ว เขากลับอุตส่าห์จำได้

หัวใจเฉียวเวยอบอุ่น หยิบอาภรณ์ธรรมดาออกมาสวมให้เขา

“ท่านแม่ๆ! พวกเราเสร็จแล้ว!”

วั่งซูก้าวขาสั้นๆ วิ่งตึงตังเข้ามา

ริมฝีปากของจีหมิงซิวอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ ลมหายใจอ่อนโยนตกต้องมุมปากของนาง พอได้ยินเสียงของวั่งซู เขาก็ชะงัก แพขนตาของเฉียวเวยกระพือไหว นางหันกลับไปอุ้มเจ้าตัวน้อยที่มาขัดจังหวะคนนั้นเข้ามาในอ้อมแขน

“ท่านแม่! ข้าคิดถึงท่านแล้ว!” วั่งซูกอดคอของเฉียวเวยแล้วอ้อดอ้อนด้วยเสียงนุ่มนิ่ม

เฉียวเวยถามอย่างฉุนๆ “ตอนนี้ไม่ต่อว่าแม่ที่กินขนมของเจ้าแล้วหรือ”

วั่งซูส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ไม่ว่าแล้ว ไม่ว่าแล้ว!”

ท่านพ่อบอกว่าจะซื้อให้ใหม่แล้วนี่! ของที่ท่านพ่อซื้อย่อมต้องดีกว่าของที่นางซ่อนไว้! แล้วยังมีถังหูลู่อีกสองไม้ด้วย!

จิ่งอวิ๋นก็เปลี่ยนชุดเสร็จเดินเข้ามาด้วย เขาสวมชุดผ้าไหมสีเดียวกันแบบเดียวกันกับจีหมิงซิว ตรงเอวมัดไว้แน่น ร่างกายดูสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลาเคร่งขรึม ท่าทางประหนึ่งต้นสน พ่อลูกสองคนต่างมีรูปโฉมเป็นเลิศในใต้หล้า พอมายืนด้วยกัน ทำให้แม่นางทั้งหลายไม่รู้ว่าจะเอาสายตาไปวางไว้ตรงไหนดี

จีหมิงซิวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เฉียวเวยก็เปลี่ยนมาใส่เสื้อนวมบุขนจิ้งจอกขาวกับกระโปรงคาดเอวสีชมพูอ่อนแบบเดียวกันกับวั่งซูด้วย แม่ลูกสองคนล้วนสวมใส่สีชมพูดสดใส งดงามหาใดเปรียบ

คนในจวนล้วนมองกันตาค้าง แม้ทราบกันอยู่แล้วว่าคนครอบครัวนี้หน้าตางดงาม แต่เหตุไฉนจึงงามได้ถึงเพียงนี้

จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูใส่เสื้อผ้าให้เจ้าสองไป๋ด้วย เสี่ยวไป๋ใส่เสื้อนวมตัวน้อยสีชมพูที่เฉียวเวยทำให้เมื่อปีกลาย ปี้นี้ก็ยังใส่ได้อยู่ เหมือนกับลูกท้อสีมพูลูกน้อย ต้าไป๋ตัวใหญ่กว่าเสี่ยวไป๋หนึ่งขนาด ปี้เอ๋อร์เป็นคนทำเสื้อให้ เสื้อนวมตัวน้อยสีเขียวหยก สวมอยู่บนร่างกลมๆ สีขาว ดูเหมือนผักกาดขาวน้อยใบสีเขียวเดินได้

ต้าไป๋กัดเสื้อของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง!

ครอบครัวสี่คนขึ้นรถม้าอย่างเบิกบานใจ

วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นไม่เคยเที่ยวเล่นตอนกลางคืนมาก่อน พวกเขายึดครองหน้าต่างคนละฝั่งไว้อย่างตื่นเต้น ดวงตาเบิกโตจนกลมดิก มองทิวทัศน์ข้างทางตาไม่กะพริบ

“ว้าว! ซาลาเปาลูกใหญ่นักเชียว!” วั่งซูชี้แผงขายซาลาเปาแผงหนึ่ง น้ำลายไหลยืด

แขนของจีหมิงซิวโอบนางไว้ กลัวว่าเจ้าตัวอยู่ไม่สุกคนนี้จะตื่นเต้นจนกระโดดออกจากหน้าต่างไป

เฉียวเวยกอดจิ่งอวิ๋น จิ่งอวิ๋นนิ่งมาก แต่แววตาเป็นประกายระยับ มองออกว่าเบิกบานใจอย่างยิ่ง

ผู้คนมากมายเดินบนถนนต่อกันเป็นสาย รถม้ามาถึงตลาดก็แล่นต่อไปไม่ได้อีก ครอบครัวสี่คนจึงลงจากรถม้า

หนุ่มหล่อหญิงงามกับเด็กน้อยน่ารักปานเทพบุตรเทพธิดา ในอ้อมแขนของเด็กน้อยน่ารักยังอุ้มสุนัขตัวน้อยขนขาวสีชมพูกับสีเขียวหยกอีกสองตัว ผู้คนที่เดินถนนอยู่พากันหันสายตามามอง แสงโคมหลากสีสันทอแสงสว่างไสวท่ามกลางราตรี งดงมจับตา ทว่าการปรากฏตัวของครอบครัวนี้ทำให้โคมไฟทั้งถนนหม่นสี

โครก!

ท้องของวั่งซูส่งเสียงร้องออกมา

นางลูบท้องน้อยๆ ที่ฟีบแบน (นูนป่อง) แล้วเอ่ยเสียงเบาหวิว “ท่านพ่อ ข้าหิวแล้ว”

จิ่งอวิ๋นกลับบอกว่า “แต่ตอนเย็นเจ้ากินไปมากถึงเพียงนั้น”

“ไม่มากเสียหน่อย!” วั่งซูเถียง

จิ่งอวิ๋นชูนิ้วขึ้นมานับอย่างตั้งใจ “ลูกชิ้นหัวสิงโตราดน้ำแดงหนึ่งลูก เนื้อน้ำแดงครึ่งชาม ปลาน้ำแดงหนึ่งตัว กีบเท้าหมูต้มพะโล้หนึ่งชิ้น ไก่ผัดเกาลัดครึ่งชาม ข้าวสองถ้วย รังนกหนึ่งถ้วย ส้มโอสองกลีบ ใช่แล้ว ไม่มากเลยจริงๆ”

วั่งซูแลบลิ้นใส่

แต่คนมันหิวจริงๆ นี่นา!

จีหมิงซิวพาภรรยาไปยังร้านแผงลอยร้านน้อยเมื่อหนก่อน

วันนี้ขายดี โต๊ะมีลูกค้านั่งเต็มแล้ว เถ้าแก่เนี้ยจึงไปยืมโต๊ะกับเก้าอี้มาจากร้านด้านข้างให้คนทั้งครอบครัวนั่ง

จีหมิงซิวเป็นลูกค้าประจำ เถ้าแก่เนี้ยจำเขาได้ เฉียวเวยนางก็เคยพบหนหนึ่ง เจ้าซาลาเปาน้อยเพิ่งจะพบหน้ากันหนแรก แต่ก็ทำเอาเถ้าแก่เนี้ยมองจนตาพร่า

เด็กน้อยรูปงามเช่นนี้ เหมือนกับเดินออกมาจากภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น!

“วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นกินเผ็ดได้ใช่หรือไม่” จีหมิงซิวถาม

เฉียวเวยพยักหน้า “ได้ พวกเขาไม่เลือกกิน”

เนื้อก็กิน ผักก็กิน แม้แต่มะระยังกิน มีของที่ชอบมาก แต่ยามพบของที่ไม่ชอบ เพื่อให้ท้องอิ่มก็ไม่มีทางปล่อยให้เสียเปล่า

จีหมิงซิวลูบศีรษะของเจ้าตัวน้อยทั้งสองอย่างปวดใจ แล้วสั่งขนมงามาทุกรสอย่างละหนึ่งจาน

เถ้าแก่เนี้ยยิ้มแย้มบอกว่า “ร้านเราเพิ่งเริ่มขายบัวลอยไม่นาน พวกท่านเป็นลูกค้าประจำ ข้าแถมให้พวกท่านสองสามถ้วย”

อากาศเช่นนี้ กัดขนมงาเค็มๆ คำหนึ่ง ซดน้ำบัวลอยหวานๆ คำหนึ่ง ไม่มีเรื่องใดสุขใจมากกว่านี้แล้วจริงๆ

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “ขอบคุณมาก”

เถ้าแก่เนี้ยขานรับอย่างยินดี

ผิวขนมงาบางกรอบ ด้านในหวานๆ เหนียวๆ เป็นรสชาติที่ถูกใจเด็กๆ มากที่สุดแล้ว วั่งซูกินรวดเดียวสิบลูก ไส้ถั่วแดง ไส้ถั่วเขียว ไส้งากวน ไส้แข่แดง ไส้เนื้อวัวถั่วแห้ง…กินจนครบทุกรส เนื้อวัวถั่วแห้งเผ็ดจนไม่หยุดสูดปาก

เฉียวเวยป้อนบัวลอยน้ำข้าวหมากให้นางคำหนึ่ง บัวลอยทั้งหวานทั้งเหนียว อร่อยจนดวงตาทั้งสองข้างของนางหยิบหยี

จิ่งอวิ๋นกินไม่จุ กินตั้งนานเพิ่งกินหมดไปสองสามลูก เขาป้อนขนมงาชิ้นน้อยไส้ถั่วแดงให้เสี่ยวไป๋

เสี่ยวไป๋ชอบถั่วแดง มันเคี้ยวหงุบหงับ

จิ่งอวิ๋นป้อนต้าไป๋ด้วย

ต้าไป๋หันหน้าหนีอย่างรังเกียจ

อาหารที่ไม่มีเลือด คือศพ! ศพ! ศพ!

เพียงพอนผู้สูงศักดิ์ไม่กินศพ!

เฉียวเวยยัดขนมงาไส้ถั่วแดงชิ้นน้อยเข้าไปในปากของต้าไป๋

ต้าไป๋เคี้ยวหนึ่งคำ…

โอ๊ะ อร่อยจริงเชียว

ทั้งครอบครัวกินจนอิ่มหนำ จีหมิงซิวก็เรียกคิดเงิน แล้วพาภรรยาเดินไปเลือกโคมไฟ

วั่งซูร้องโหวกเหวกอย่างตื่นเต้น “ว้าว! โคมดอกบัวใหญ่มากๆ! ข้าอยากได้อันนี้!”