ตอนที่ 1501 งานชุมนุมเทพยุทธ์ (2) ตอนที่ 1502 งานชุมนุมเทพยุทธ์ (3)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 1501 งานชุมนุมเทพยุทธ์ (2) / ตอนที่ 1502 งานชุมนุมเทพยุทธ์ (3)
ตอนที่ 1501 งานชุมนุมเทพยุทธ์ (2)

บนยอดเขาฝูเหยามีผู้คนมากมายพลุกพล่านขวักไขว่ หลังจากรอมาครึ่งเดือน ในที่สุดงานชุมนุมเทพยุทธ์ที่ทุกคนต่างคาดหวังอย่างมากก็ใกล้เข้ามา

เมื่อจวินอู๋เสียกลับไปที่ยอดเขา นางก็เห็นว่าจำนวนคนที่นั่นเพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งเท่าจากตอนที่นางจากไป เท่าที่ตาเห็นมันเป็นทะเลผู้คนที่หนาแน่นพลุกพล่านไปทั่วพื้นที่ ยากที่จะวัดจำนวนผู้เยาว์ที่งานชุมนุมเทพยุทธ์ดึงดูดมาได้ ทำให้ทุกคนต่างรีบมาที่นี่

เนื่องจากมีการจำกัดอายุผู้ที่จะสมัครเข้าร่วมงานชุมนุมเทพยุทธ์ ถ้าพวกเขาพลาดเพียงครั้งเดียว พวกเขาก็จะไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สอง ทุกคนที่อายุอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดทั่วทั้งสามโลกชั้นกลางพากันมาจากทั่วทุกสารทิศ และด้วยการเลื่อนออกไปอีกครึ่งเดือน ทำให้คนที่มาไม่ทันมีเวลาเพิ่มขึ้นมา

ภายในฝูงชนที่แน่นขนัด ร่างเล็กๆ ของจวินอู๋เสียเคลื่อนผ่านไปอย่างง่ายดาย นางเลือกเข้าพักที่โรงเตี๊ยมที่แพงที่สุดบนยอดเขาฝูเหยา เนื่องจากไม่อยากเจอสถานการณ์แบบเดิมที่ต้องใช้ห้องร่วมกับคนอีกสามคน ดังนั้น นางจึงจองห้องทั้งห้องไว้เองคนเดียว

ราคาที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้นสูงมาก ห้องพักกำหนดไว้สำหรับสองคนต่อหนึ่งห้อง แต่พวกเขาได้เจอกับลูกค้าที่ใจป้ำอย่างมาก เถ้าแก่โรงเตี๊ยมจึงยิ้มกว้างขณะนำจวินอู๋เสียไปที่ห้องของนาง

จวินอู๋เสียเพิ่งปิดประตูห้อง นางก็ได้ยินเสียงของผู้เยาว์สองสามคนคุยกันอยู่ข้างนอก

“ผู้เข้าร่วมงานชุมุนุมเทพยุทธ์ปีนี้เยอะมากจริงๆ อยากรู้จังว่าจะมีกี่คนที่ดึงดูดความสนใจสิบสองตำหนักและเก้าวังได้”

“ข้าได้ยินว่าเก้าวังไม่คิดจะรับศิษย์ในงานชุมนุมเทพยุทธ์ครั้งนี้ คงมีแต่สิบสองตำหนักที่จะเลือกคนเข้าร่วมเท่านั้น”

“เก้าวังไม่เข้าร่วมด้วยหรือ แบบนั้นโอกาสก็ลดลงเยอะเลยสิ”

“ข้าคิดว่าพวกเจ้าไม่ควรคิดมากเกินไป เกณฑ์การคัดเลือกคนของเก้าวังเข้มงวดกว่าสิบสองตำหนัก ถ้าเราไม่สามารถทำได้ตามมาตรฐานของสิบสองตำหนัก ต่อให้เก้าวังเข้ามามีส่วนร่วม ก็ไม่มีผลอะไรกับพวกเราหรอก”

“นั่นก็จริง…”

ผู้เยาว์สามคนที่อยู่นอกประตูยังคงคุยกันอย่างดุเดือด แล้วจู่ๆ เสียงของพวกเขาก็ขาดหายไป แม้แต่เสียงฝีเท้าก็หยุดลง จวินอู๋เสียได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ อีกเสียงใกล้เข้ามา แล้วก็ผ่านประตูห้องของนางไป ตอนนั้นเอง เสียงของผู้เยาว์ทั้งสามคนที่หายไปก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“พวกเจ้าเคยเห็นเด็กคนนั้นมาก่อนหรือเปล่า”

“ข้าเคย! เขาคือคนที่สู้กับอีกคนที่สุดถนนไม่ใช่หรือ”

“ข้าก็เคยเห็นเขามาก่อนเหมือนกัน เด็กนั่นอย่างกับปีศาจ แค่มองก็ขนลุกแล้ว แต่ภูติวิญญาณของเขาสิ…น่ากลัวชะมัด”

“เขามีภูติกระดูกสองหัว! ข้าเคยได้ยินคนพูดเกี่ยวกับมัน! เด็กนั่นมาจากเผ่าเคลื่อนกระดูก!”

“เผ่าเคลื่อนกระดูก! นั่นไม่ใช่…”

ผู้เยาว์สามคนเดินคุยกันไปเรื่อยๆ เสียงของพวกเขาค่อยๆ จางหายไปขณะที่เดินออกจากระยะการได้ยินของจวินอู๋เสีย

“ปีศาจ” จวินอู๋เสียเลิกคิ้ว และมาจากเผ่าเคลื่อนกระดูก

“คุณหนูใหญ่!” ก่อนที่จวินอู๋เสียจะมีโอกาสคิดอะไรต่อไป ร่างของเยี่ยซาและเยี่ยกูก็ปรากฏตัวขึ้นภายในห้อง

“หลายวันที่ผ่านมาคุณหนูใหญ่สบายดีหรือไม่ขอรับ” เยี่ยซาคุกเข่าข้างหนึ่งลงที่พื้นและเงยหน้าขึ้นมองจวินอู๋เสีย

“ดีมาก” จวินอู๋เสียกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก

เยี่ยกูไม่ได้พูดอะไร แต่มองไปที่จวินอู๋เสียด้วยสายตาแปลกๆ ดูค่อนข้างสับสน

จวินอู๋เสียไม่ให้ความสนใจใดๆ นางเดินไปนั่งที่เก้าอี้พร้อมกับถามว่า “เจ้าสองคนอยู่บนเขาฝูเหยาในช่วงที่ผ่านมาหรือเปล่า”

“ขอรับ” เยี่ยซาตอบ

“เคยเจอพี่ฮวากับคนอื่นๆ บ้างหรือไม่” จวินอู๋เสียมั่นใจในพลังของพวกฮวาเหยาอย่างเต็มที่ แต่นางก็ยังถามถึงพวกเขาอยู่ดี

“ข้าเจอทุกคนแล้วขอรับ คุณชายฮวาบังเอิญพักอยู่ในโรงเตี๊ยมเดียวกับคุณหนูใหญ่ด้วย” เยี่ยซารายงาน

ตอนที่ 1502 งานชุมนุมเทพยุทธ์ (3)

“เป็นเขาจริงๆ” จวินอู๋เสียพูดเบาๆ

“อะไรนะ” เยี่ยซางง

“ไม่มีอะไร” จวินอู๋เสียส่ายหัวเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาของแมวดำที่อยู่ด้านข้างเปล่งประกายขึ้นมา

เจ้านาย ท่านจะบอกว่าพี่ฮวาเหมาะกับคำบรรยายว่า ‘เหมือนปีศาจ’ ในสายตาท่านหรือ! เดี๋ยวก็เสียสหายไปหรอก! คิดอะไรของท่านเนี่ย!

“พี่ฮวาสู้กับคนอื่นหรือ” จวินอู๋เสียนึกถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยินเมื่อเมื่อครู่

ฮวาเหยาใจเย็นและมีสติอยู่เสมอ กล่าวได้ว่าเป็นคนที่มีเหตุผลอย่างมาก ถ้าบอกนางว่าเขาเอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องทะเลาะเบาะแว้งที่ไม่จำเป็นจนถึงขั้นสู้กันก่อนที่จะบรรลุเป้าหมายของพวกเขาละก็ จวินอู๋เสียก็ไม่อยากจะเชื่อนักหรอก ถ้าเป็นเฉียวฉู่ก็ว่าไปอย่าง มันจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สุดและไม่ผิดคาดอะไร

“ขอรับ” เยี่ยซาพยักหน้า

“กับใคร”

“คุณชายเฉียวขอรับ”

“…” สีหน้าของจวินอู๋เสียแข็งค้างไปชั่วขณะ

โอเค อย่างนั้นก็พอจะเข้าใจได้

“ช่วงนี้มีเหตุการณ์อะไรแปลกๆ เกิดขึ้นบนภูเขาฝูเหยาหรือเปล่า” จวินอู๋เสียถามไปตามปกติ

เยี่ยซาบอกว่าทุกอย่างปกติดี คนจากสิบสองตำหนักมาถึงแล้ว ทุกตำหนักส่งผู้อาวุโสมาอย่างน้อยหนึ่งคน ดูท่าทางแล้วพวกเขาคงวางแผนการใหญ่บางอย่างที่นี่

“คนจากเก้าวังก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่พวกเขาปิดบังซ่อนเร้นกันมาก หลังจากตามพวกเขาอยู่ระยะหนึ่ง ข้าก็ไม่ได้ตามต่อ เกรงว่าจะทำให้ศัตรูไหวตัวขอรับ”

จวินอู๋เสียพยักหน้า พรุ่งนี้จะเป็นวันที่การแสดงจะเริ่ม และตอนนี้กลุ่มอำนาจจากฝ่ายต่างๆ ก็ได้มารวมตัวกันในสถานที่แห่งนี้

หลังจากเล่นกับใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะและกระต่ายโลหิตอยู่พักหนึ่ง จวินอู๋เสียก็ฝึกฝนพลังของนางต่อ เยี่ยซาและเยี่ยกูถอยออกไปจากห้องและซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเพื่อคอยปกป้องจวินอู๋เสียให้ปลอดภัย

หลังออกจากห้องของจวินอู๋เสีย สีหน้าของเยี่ยกูก็ยังแปลกๆ เล็กน้อย

“เจ้าเป็นอะไร” เยี่ยซามองหน้าเยี่ยกูอย่างงุนงง

เยี่ยกูขมวดคิ้วนิ่วหน้า หลังเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยซาด้วยสายตาโกรธเคือง

“เจ้าไม่สังเกตหรือ”

“สังเกตอะไร”

“พลังวิญญาณของคุณหนูใหญ่ดูเหมือน…ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของพลังวิญญาณขั้นสีม่วงขั้นสี่แล้ว” เยี่ยกูพูด

เยี่ยซาตกใจ พลังของเขาลดลงไปบ้างเนื่องจากสถานการณ์บางอย่าง และเขาไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด ดังนั้นประสาทสัมผัสของเขาจึงไม่ไวต่อระดับพลังวิญญาณของจวินอู๋เสีย และตัวเขาเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก

แต่ถ้าเขาจำไม่ผิด ก่อนที่จวินอู๋เสียจะเข้าไปในตำหนักหยกวิญญาณ พลังวิญญาณของนางอยู่แค่ระดับเริ่มต้นของพลังวิญญาณขั้นสีม่วงขั้นสี่เท่านั้น กว่าจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้ยังอีกยาวไกล

เมื่อพลังเพิ่มขึ้น ระดับพลังวิญญาณยิ่งสูง ก็ยิ่งก้าวข้ามขอบเขตไปสู่ระดับต่อไปได้ยากขึ้น เนื่องจากปริมาณพลังวิญญาณที่ต้องการจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากความเร็วของคนทั่วไปแล้ว การที่จวินอู๋เสียจะขึ้นจากจุดเริ่มต้นขั้นสี่ไปยังจุดสูงสุดเพื่อท้าทายขั้นที่ห้านั้น อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งปี

แต่นี่แค่ครึ่งเดือน นางก็สามารถไปสัมผัสขอบเขตของพลังวิญญาณขั้นสีม่วงขั้นที่ห้าได้แล้ว ความเร็วขนาดนี้ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ!

“มันเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร” เยี่ยซาอดตกใจไม่ได้

เยี่ยกูพูดว่า “ข้าก็ว่ามันแปลก เกิดอะไรขึ้นตอนที่คุณหนูใหญ่อยู่ที่ตำหนักหยกวิญญาณ ขนาดบรรลุพลังวิญญาณขั้นสีม่วงขั้นสี่แล้ว นางก็ยังเพิ่มพลังได้เร็วจนน่ากลัว ข้าอดรู้สึกไม่ได้ว่ามันมีอะไรแปลกๆ”

เยี่ยซาและเยี่ยกูยังไม่สามารถหาคำอธิบายในเรื่องนี้ได้ แม้ว่าจะครุ่นคิดกันอยู่เป็นเวลานาน และสิ่งที่จวินอู๋เสียไม่ได้พูดถึง พวกเขาก็จะไม่มีวันถาม ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงเก็บคำถามนั้นไว้ในใจ

แต่พวกเขาเชื่ออย่างยิ่งว่า ด้วยพลังในตอนนี้ของจวินอู๋เสีย เมื่องานชุมนุมเทพยุทธ์เริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ คุณหนูใหญ่ของพวกเขาจะสามารถสยบฝูงชนและจัดการทุกคนได้ในพริบตา!

จวินอู๋เสียที่นั่งอยู่ในห้องไม่ได้รู้เลยว่าคนจากกองทัพราตรีทั้งสองที่เฝ้าปกป้องนางอยู่ในความมืด ขณะนี้กำลังรอคอยให้ถึงวันพรุ่งนี้ด้วยความคาดหวังและตื่นเต้น