ภาค 4 ตอนที่ 79 ความจริงใจของคนหนุ่ม

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เสียงเรียกคำนี้ ทำให้เสียงคุยเล่นหัวเราะรอบด้านหยุดไปหมด

เมื่อมาถึงงานเลี้ยงนอกจากเอ่ยแสดงความยินดีกับฮ่องเต้ นี่เป็นครั้งแรกที่หวงเฉิงเอ่ยปาก

คนที่เอ่ยปากเรียกยังไม่ใช่เฉิงกั๋วกง แต่เป็นอาลักษณ์ของราชวิทยาลัยฮั่นหลินรุ่นหลังอายุน้อยประวัติการทำงานน้อย

แต่ก็เป็นอาลักษณ์น้อยขั้นหกขั้นเจ็ดคนนี้ที่กำกับงานเลี้ยงครั้งนี้

หากไม่มีเขาคุกเข่าครั้งหนึ่งนั่นเอ่ยแสดงความยินดีคำหนึ่งนั่นตอนนั้น เวลานี้เกรงว่าเฉิงกั๋วกงคงยืนเดียวดายอยู่นอกพระราชวัง

หวงเฉิงเกลียดเฉิงกั๋วกงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เวลานี้นาทีนี้ที่เกลียดยิ่งกว่าน่าจะเป็นหนิงอวิ๋นเจาที่อยู่ดีๆ โผล่ขึ้นมาคนนี้ แล้วยังเสียใจอยู่บ้าง

ไม่น่าถูกความขลาดตรงไปตรงมาของเจ้าหนูนี่หลอกเลย ตอนนั้นน่าจะไม่สนไม่ใยดีความเมตตาใจกว้างของฝ่าบาท ต่อให้ขัดหลักไม่ไล่ต้อนคนจนหนทาง บีบตระกูลหนิงให้เป็นสุนัขร้อนรนกระโดดกำแพง ก็ต้องถีบเจ้าหนูนี่ออกจากเมืองหลวง ไล่ไปเตียนหนานให้ได้

แต่ตอนนี้ก็ไม่สาย ก็แค่สุนัขตัวน้อยที่เพิ่งเผยคมเขี้ยวแถวหนึ่งเท่านั้น

หวงเฉิงมองหนิงอวิ๋นเจา แย้มรอยยิ้มจางๆ

ยามหนิงอวิ๋นเจาได้ยินคำเรียกคำนี้ก็มองมา สีหน้านิ่งสงบแย้มยิ้มเหมาะสม

“ใต้เท้าหวง” เขาคำนับตอบรับ

“ใต้เท้าหนิงต้องดีใจมากแน่” หวงเฉิงเอ่ย หมุนจอกสุราในมือแล้วเหล่ตาไปมองเฉิงกั๋วกงด้านข้าง “สุดท้ายก็เป็นดังที่เขาปรารถนา เฉิงกั๋วกงพาเกียรติยศกลัมา ตำแหน่งขุนนางนี่ของเขาไม่เสียไปเปล่าแล้วนะ”

คำพูดนี้ออกมาปุบ คนที่อยู่ที่นั้นล้วนสีหน้ายุ่งยาก แววตาวิตกมองไปทางฮ่องเต้

หวงเฉิงผู้นี้ อาศัยว่าอายุมาก โจมตีคนยิ่งโจ่งแจ้งขึ้นทุกทีจริงๆ

หนึ่งประโยคเปลี่ยนการพระราชทานรางวัลให้เฉิงกั๋วกงของฮ่องเต้ให้กลายเป็นของหนิงเหยียน อย่างไรตอนแรกหนิงเหยียนก็พยายามปกป้องเฉิงกั๋วกงสุดกำลังถึงถูกปลดออกจากตำแหน่ง

ตอนนี้เฉิงกั๋วกงได้เกียรติยศประดับกายเพิ่มเช่นนี้ ก็พิสูจน์แล้วว่าตอนแรกหนิงเหยียนเป็นฝ่ายถูก ถ้าเช่นนั้นฮ่องเต้ย่อมเป็นฝ่ายผิดแล้ว

เรื่องเช่นนี้ฮ่องเต้จะทนได้อย่างไร?

พระพักตร์ของฮ่องเต้ปรากฏความกระสับกระส่าย

“พูดขึ้นมาแล้ว ใต้เท้าหนิง…” พระองค์สีเหน้าเมตตาเป็นห่วงเป็นใยตรัสขึ้น

แต่หนิงอวิ๋นเจาเป็นฝ่ายรับช่วงเอ่ยต่อเสียเอง

“ท่านอาของข้าหาดีใจไม่” เขาถอนหายใจแผ่วเบาพลางเอ่ยขึ้น

คนหนุ่ม!

คนมากมายในที่นั้นในใจล้วนร้องตะโกน รีบร้อนเกินไปแล้วกระมัง?

ในนี้มีคนกังวลและมีคนยินดีกับความทุกข์ของผู้อื่น

ตอนนี้ไม่ใช่ยามรบชนะไล่โจมตี จะพลิกคดีให้ท่านอาเจ้า นี่ไม่ใช่จังหวะที่ดีหรอกนะ

เฉิงกั๋วกงก็มองมาด้วย สีหน้าอ่อนโยนมองความกังวลหรือตกตะลึงไม่ออก

“ที่เขาคัดค้านคือการเจรจาสงบศึก ไม่เกี่ยวข้องกับเฉิงกั๋วกงคนผู้นี้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยต่อ แล้วมองไปทางฮ่องเต้ “ตอนนี้การเจรจาสงบศึกบรรลุแล้ว เฉิงกั๋วกงก็ปลอดภัยกลับมาแล้ว ประชาชนหลายสิบหมื่นปลอดภัย บ้านเมืองสงบสุขประชาชนร่มเย็น ไม่มีเรื่องเหล่านั้นที่เขากังวลเกิดขึ้น เขาย่อมยิ่งอับอายแล้ว”

พูดแล้วก็ยิ้มเฝื่อนนิดหนึ่ง

“ฝ่าบาทโปรดอภัยให้ท่านอาของกระหม่อมเขาผู้เฒ่าชราอารมณ์ขี้หงุดหงิด คนอายุมากเข้าอย่างไรก็ไม่ยินดียอมรับความผิดของตนเอง”

พูดจบก็ค้อมศีรษะคำนับ

เช่นนี้รึ….คนที่อยู่ที่นั่นสีหน้าแปลกพิกล ง่ายดายเช่นนี้

แม้วาจาเรียบง่าย แต่มีปะโยชน์ยิ่งนัก ฮ่องเต้สรวลแล้ว

“เรื่องราชสำนักนี่เดิมก็ความเห็นไม่ตรงกัน ใต้เท้าหนิงก็ภักดีต่อนายเหนือหัวทำเพื่อประเทศชาติ ข้าจะกล่าวโทษเขาได้อย่างไร” พระองค์สรวลตรัส “นอกจากนี้ใต้เท้าหนิงเพียงถกเถียงกับข้าในเรื่องราชสำนัก หาได้ไม่เคารพข้าไม่ ยิ่งไม่ได้ทำพิราบข้าเฉาตาย”

ราชวงศ์ถังขุนนางผู้โด่งดังเว่ยเจิงตักเตือนฮ่องเต้อย่างเคร่งเครัดเป็นที่สุด ฮ่องเต้ไท่จงเล่นนกพิราบกลัวเขามองว่าเล่นจนเสียการงาน จึงได้แต่ซุกพิราบไว้ในอกฉลองพระองค์จนตาย

เวลานี้ตอนนี้ฮ่องเต้ใช้สิ่งนี้เป็นตัวอย่าง ในใจคนที่นั่นล้วนอดไม่ได้ตกตะลึง

นี่ถึงกับเอาหนิงเหยียนไปเทียบกับเว่ยเจิงขุนนางคนสำคัญปานนั้นเชียว แน่นอนทุกคนต่างรู้ว่าเจตนาดั้งเดิมของฮ่องเต้คือเปรียบตนเองกับฮ่องเต้ไท่จง แต่ผิดคาดไปสักหน่อย

“ฝ่าบาทฉลาดปราดเปรื่องวรยุทธ์ล้ำเลิศเทียบเทียมจักรพรรดิเหยาซุ่น” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยทันทีแล้วค้อมกายโขกศีรษะคำนับอีกหน “องค์ไท่จงก็ไม่พ้นเช่นนี้”

จอมประจบ!

ในใจคนที่นั่งอยู่ล้วนเอ่ยด่าในเวลาเดียวกัน แม้พวกเขามักพูดยอฮ่องเต้อยู่บ่อยๆ เช่นกัน แต่ศิษย์แห่งนักปราชญ์เสาหลักแห่งประเทศชาติ อย่างไรก็ต้องมีหลักการอยู่บ้างไหม จะพูดโจ้งแจ้งเช่นนี้ไม่ต่างจากถ้อยคำไร้สาระประหนึ่งขันทีไม่เข้าใจเรื่องราวเหล่านั้นได้อย่างไร

หนิงอวิ๋นเจาผู้นี้ไม่เหมือนแซ่หนิงจริงๆ

ฮ่องเต้เห็นชัดว่าถูกชมจนขัดเขินอยู่บ้าง

“อาลักษณ์หนิงคำพูดนี้เกินไปแล้ว ข้าไม่กล้ารับ” พระองค์ตรัส

แม้หนิงอวิ๋นเจาคุกเข่าอยู่ แต่แผ่นหลังเหยียดตรง เงยหน้าขึ้นสีหน้านิ่งสงบ ไม่เหมือนคนต่ำต้อยประจบเอาใจสักนิด

“กระหม่อนอายุน้อย คิดสิ่งใดย่อมพูดสิ่งนั้น ไม่ได้ครุ่นคิดมากเช่นนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย “ฝ่าบาทโปรดอภัยด้วย”

ฮ่องเต้สรวลฮ่าฮ่าอีกครั้งแล้ว

“ข้าโทษเจ้าทำอะไร” เขาเอ่ย “นอกจากนี้ไม่ต้องพูดถึงในราชสำนักทุกคนล้วนเอ่ยคำที่อยากเอ่ยได้ทั้งสิ้น ต่อให้สนทนากันเป็นการส่วนตัว ข้าก็ไม่ใช่คนชอบปิดปากประชาชนประเภทนั้นนะ”

ได้ยินถึงตรงนี้ ขุนนางใหญ่คนอื่นก็ไม่อาจแสร้งโง่ตกตะลึงได้อีกต่อไปแล้ว ค้อมกายโขกศีรษะด้วยกันกับหนิงอวิ๋นเจา

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”

ในตำหนักขุนนางนับร้อยคุกเข่าร้องแซ่ซ้องพร้อมเพรียง บรรยากาศครึกครื้น

หวงเฉิงก็ย่อมค้อมศีรษะแซ่ซ้องด้วย เพียงแต่ดวงตาที่หลุบลงยากปิดบังความโกรธแค้น

ดี ดี คนหนุ่ม หากหน้าไม่อายขึ้นมา ดียิ่งนักจริงๆ

……………………………………….

ยามบ่ายงานเลี้ยงสิ้นสุดลง ฮ่องเต้เสด็จกลับตำหนักพักผ่อน ขุนนางนับร้อยเดินเรียงแถวออกมา

หวงเฉิงไม่ได้คิดไล่ตามไปเอ่ยสิ่งใดกับฮ่องเต้อีก ตอนนี้ไม่ใช่จังหวะดีแล้ว ท่ามกลางเสียงแซ่ซ้องของผู้อพยพแดนเหนือกับหนิงอวิ๋นเจา ฮ่องเต้กำลังดีพระทัย

รู้ว่าเวลาใดทำสิ่งใดกับรู้ว่าเวลาใดไม่ควรทำสิ่งใดสำคัญดุจเดียวกัน นี่ก็คือเคล็ดลับที่เขาผ่านสามรัชสมัยไม่ล้ม

หวงเฉิงหน้าบึ้งเดินมาท่ามกลางขุนนางทั้งหลายที่ห้อมล้อม แผนครั้งนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ในใจทุกคนล้วนทั้งโมโหและวิตก

“เรื่องผู้อพยพเหล่านั้นไม่ล่วงรู้สักนิด”

“พังเพราะพวกเขาแท้ๆ”

“ใต้เท้าโปรดวางใจพวกเราจะไปสืบเดี๋ยวนี้”

พวกเขาเอ่ยเสียงเบา

สืบ สืบออกมาแล้วอย่างไรอีก จังหวะดีครั้งหนึ่งเสียไปเช่นนี้แล้ว

ใช่แค่ผู้อพยพแดนเหนือเสียที่ไหน ยังมีหนิงอวิ๋นเจา สารเลวน้อยผู้เหยียบโอกาสที่เขาตระเตรียมพริบตาเดียวโดดเด่นหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้อีกด้วย

หวงเฉิงอดไม่ได้ถอนหายใจแผ่วเบา

“คนชั่วมากนักจริงๆ” เขาเอ่ย

บรรดาขุนนางข้างกายสีหน้าอับอาย

“ล้วนเป็นพวกเราไร้ความสามารถ” พวกเขาเอ่ยขึ้น

หวงเฉิงยิ้มแล้ว

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่รีบร้อน ไม่รีบร้อน เอาใหม่อีกหน สืบหาจัดการคนเลวไปทีละคนๆ ก็ได้แล้ว” เขาเอ่ยพลางยกแขนเสื้อปิดปากไอเสียหลายที

แม้เขาชราแล้ว แต่ก็ไม่กลัวพวกคนหนุ่มกับวัยกลางคนนี่ คนหนุ่มคนวัยกลางคนที่เขาเคี่ยวกรำจนตายมากไป อายุน้อยแล้วมีสิ่งใดยอดเยี่ยม

“ใต้เท้าหวง”

เมื่อเดินออกจากพระราชวัง บนถนนเสด็จพระราชดำเนินกลุ่มคนสลายไปแล้ว ฟื้นกลับมาเคร่งขรึมเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง ขณะที่ทุกคนต่างขึ้นม้านั่งเกี้ยวแยกย้ายกันไปนั่นเอง พลันมีคนเรียกหวงเฉิงไว้

ผู้คนหันหน้ากลับไปมอง สีหน้าประหลาดใจอยู่บ้าง

ผู้ที่มาถึงกับเป็นเฉิงกั๋วกง

เฉิงกั๋วกงถึงกับร้องเรียกหวงเฉิงไว้? ตามหลักแล้วน่าจะเรียกหนิงอวิ๋นเจาถึงจะถูก อย่างไรวันนี้พวกเขาสองคนหนึ่งร้องหนึ่งรับได้หน้าที่สุด แล้วก็ต่างได้รับผลประโยชน์ด้วย

เห็นเฉิงกั๋วกงเดินเข้ามา บรรดาขุนนางเหล่านี้ก็เคร่งเครียดอยู่บ้าง

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” มีคนยังหลุดปากตะคอกถามด้วย

หวงเฉิงขานอืมทีหนึ่ง

“เฉิงกั๋วกงไม่ใช่น้ำหลากอสูรร้ายสักหน่อย อย่าเป็นเช่นนี้เลย” เขาเอ่ยอย่างเป็นมิตร

เฉิงกั๋วกงเดินเข้าใกล้แล้วยืนยิ่ง

“ใต้เท้าหวง เรื่องที่ข้าเข้าเมืองถูกคนขวางไว้ เป็นแผนของท่านสินะ?” เขาเอ่ยขึ้น

เสียงของเขาใสอ่อนโยน ดวงหน้าอ่อนโยน ทำให้คนประหนึ่งลมฤดูใบไม้ผลิอาบไล้ ท่วงท่าไม่พ่ายแพ้บัณฑิตขุนนางฝ่ายพลเรือนคนใด

แต่คำพูดของเขากลับดุดันประหนึ่งคมดาบ ตรงไปตรงมาประหนึ่งคนบุ่มบ่าม ทั้งยังปากไม่มีหูรูดไร้เดียงสาประหนึ่งเด็กน้อย

ขุนนางทั้งหลายที่นั่นสีหน้าเปลี่ยนไปสิ้น