บทที่ 607-2 ยอมรับซึ่งกันและกัน (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 607-2 ยอมรับซึ่งกันและกัน (2)

เสียงร้องและลมหายใจของเด็กน้อยแผ่วเบามากแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ในบ่อน้ำนานเท่าใด ยิ่งไปกว่านั้นตกลงไปจากที่สูงขนาดนี้ด้วย

เซียวเหิงเบนสายตาจากบั้นเอวของผู้เป็นพ่อ หันมานั่งบนปากบ่อ แต่ขาข้างหนึ่งเขาเพิ่งหย่อนลงไป ก้นบ่อพลันมีเสียงแมวดังออกมา

เซียวเหิงขนลุกซู่!

สีหน้าเซวียนผิงโหวเคร่งขรึมขึ้นมาทันที เขามองลูกชายตัวเองนิ่ง “อาเหิง”

สองขาของเซียวเหิงเริ่มสั่นเทา เขาเป็นคนที่แม้แต่งูพิษยังไม่กลัวแท้ๆ แต่ดันมากลัวแมว

หากเป็นเมื่อหลายปีก่อน เซวียนผิงโหวคงบอกเขาว่า เจ้าเป็นลูกชายของเซวียนผิงโหว แม้แต่ความใจกล้าสักนิดก็ยังไม่มีเลยรึ

ทว่าคืนนี้เขาไม่ได้เอ่ยมันออกไป

เขาเอ่ย “เจ้าลงไป ข้าจะคิดหาวิธีอื่น”

ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ไม่มีเวลาแล้วด้วย

ต้องเป็นตอนนี้ ต้องรีบช่วยเด็กขึ้นมาทันที ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ต้องทิ้งเด็กคนนี้ไว้ หรือไม่ก็ร่วมตายไปด้วยกันกับเด็กคนนี้เท่านั้น

เซียวเหิงกำเชือกตรงหน้าแน่น กัดฟันกรอด กระโดดลงไปทันที!

การกระโดดที่ดูเหมือนไร้พิษภัยนี้ทำให้หัวใจของเซวียนผิงโหวเห่อร้อนขึ้นมา

ลูกชายเขาโตแล้ว

โตจริงๆ แล้ว

ไม่ใช่ส่วนสูง และไม่ใช่อายุ แต่เขาเติบโตขึ้นเป็นชายชาตรียืนตระหง่านกลางฟ้าดินอย่างแท้จริงแล้ว เขาเป็นขุนนางสำนักฮั่นหลินที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย

เขาไม่เคยออกศึกเข่นฆ่าศัตรู แต่เขาก็ใช้ความเลือดร้อนของตัวเองปกป้องปวงประชาแคว้นเจาไว้

“ข้าเจอเขาแล้ว ขึ้นไปได้แล้ว”

เสียงสั่นเครือของเซียวเหิงดังขึ้นจากก้นบ่อ

เขากำลังกลัว

แต่เขาไม่ยอมแพ้ให้กับความกลัวของตัวเอง

สมกับเป็นลูกชายของข้าเซียวจี่จริงๆ !

เซวียนผิงโหวรีบออกแรงดึงเชือก ดึงเซียวเหิงกับเด็กขึ้นมาจากก้นบ่อ

การเคลื่อนไหวของเซียวเหิงระมัดระวังมาก อย่างไรเสียปากบ่อก็แคบเพียงนี้ หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อยก็จะสามารถเสียดบาดเด็กเป็นแผลได้

เขาชูตัวเด็กขึ้นสูงเหนือศีรษะ

เซวียนผิงโหวรับเด็กน้อยไว้มือหนึ่ง ก่อนวางไว้บนร่มที่คว่ำกับพื้น อีกมือดึงลูกชายขึ้นมา

ในขณะนั้นเองเขาจึงได้พบว่าในอ้อมอกลูกชายมีแมวด้วยอีกตัว

เซียวเหิงตัวแข็งทื่อไปหมด สีหน้าซีดเผือด เหมือนรูปปั้นน้อยๆ ที่ขยับไม่ได้สุดๆ “รีบเอามันออกไปจะได้หรือไม่”

เซวียนผิงโหวหัวเราะขึ้นยกใหญ่ คว้าแมวตัวนั้นโยนเข้าไปในห่อผ้าที่แขวนอยู่บนอานม้า

อาการของเด็กคนนี้ไม่ค่อยสู้ดี บนตัวมีแต่แผลล้มถลอกเต็มไปหมด ต้องรีบหาหมอโดยด่วน

เซียวเหิงหาผ้าผืนหนึ่งมาจากในห้อง ห่อเด็กน้อยไว้ในอ้อมอก

เซวียนผิงโหวผิดคาดไม่น้อย “โอ้ เจ้ารู้ความไม่เบา เตรียมพร้อมเป็นพ่อคนตลอดเวลาแล้วรึ”

เซียวเหิงกลอกตาใส่เขา “ที่บ้านมีกู้เสี่ยวเป่า”

เด็กคนนี้โตกว่ากู้เสี่ยวเป่า แต่น่าจะไม่เกินหนึ่งขวบ วิธีห่อตัวกู้เสี่ยวเป่าจึงเหมาะจะใช้กับเขาเช่นกัน

สองคนพ่อลูกพาหนึ่งเด็กหนึ่งม้าแถมแมวอีกตัวเดินทางไปยังถนนหลวง

ในขณะที่พวกเขาใกล้จะถึงหน้าหมู่บ้านนั่นเอง ภูเขาเบื้องหน้าก็พลันถล่มลงมา เสียงกัมปนาทกึกก้องดุจสายฟ้าดังขึ้นท่ามกลางราตรีมืดมิด พื้นที่หน้าหมู่บ้านราวกับสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือน

ภูเขาถล่มมาไม่ถึงในหมู่บ้าน แต่หลังจากถล่มลงมาแล้วพวกดินโคลนที่ไหลตามมานั่นล่ะคือภัยพิบัติของหมู่บ้านแห่งนี้

“ย่าห์!”

เซวียนผิงโหวตะเบ็งเสียงดังลั่น

ม้าควบย่ำไปบนถนนหลวงอย่างรวดเร็ว และในขณะนั้นเอง ต้นไทรเก่าแก่หน้าหมู่บ้านก็หักเปรี้ยงลงมา ลำต้นขนาดมหึมาโค่นลงมาทางพวกเขาพอดิบพอดี!

ชั่วขณะที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เซวียนผิงโหวเหยียบโกลนม้าทะยานตัวขึ้นกลางอากาศ สองมือกอดลำต้นขนาดยักษ์เอาไว้ ออกแรงดันมันออกไป

ลำต้นถูกดันออกสำเร็จ แต่เขากลับถูกต้นไม้ทับไว้ด้วยเหตุนี้

แผลตรงบั้นเอวของเขาปริอ้าขึ้นมาอีกครั้ง ตรงต้นขากับแผ่นหลังก็เช่นกัน ใบหน้าเขาพลันซีดเผือดขึ้นมาทันที

เซียวเหิงดึงบังเหียนแน่น เพื่อหยุดม้า

เขาพลิกตัวลงจากม้า ไม่สนที่เท้าขวาตัวเองแพลงวิ่งไปหาพ่อ

เซวียนผิงโหวข่มความเจ็บปวดเอาไว้ เอ่ยกับเซียวเหิง “รีบไป”

“ไปด้วยกัน! ข้าจะยกต้นไม้ออก!” เซียวเหิงโน้มตัวลง หมายจะกอดลำต้นใหญ่โตกว่าเขาให้ยกขึ้น

จนใจที่ไม่ว่าเขาจะออกแรงอย่างไร ต้นไม้ที่ทับบนร่างเซวียนผิงโหวก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว

เขาหยิบเอาเชือกในห่อผ้าที่แขวนบนอาม้าออกมาอีกหน ปลายด้านหนึ่งผูกต้นไม้ไว้ ปลายอีกด้านหนึ่งผูกกับตัวม้า หนึ่งคนหนึ่งม้าออกแรงทั้งหมดที่มีเพื่อลากดึง

จนใจที่ต้นไม้ต้นนี้ทั้งหนักทั้งใหญ่เกินไป

ฝ่ามือเซียวเหิงเสียดสีจนถลอกปอกเปิกไม่หมด คราบเลือดลายพร้อยหยดลงตามเส้นเชือก

ภูเขาเบื้องหน้ายังคงถล่มทลายอย่างต่อเนื่อง เซวียนผิงโหวทอดมองไปไกลๆ ใช้เรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิดเอ่ย “พวกเจ้าไปกันก่อน ข้าพักสักหน่อยก็ดันออกเองได้แล้ว”

เซียวเหิงขอบตาแดงก่ำ ของเหลวสีใสร้อนผ่าวรื้นขึ้นตรงขอบตา “ท่านโกหก!”

เซวียนผิงโหวหัวเราะอ่อนระโหยโรยแรง “อย่าไม่เชื่อใจพ่อแบบนี้สิ…พ่อเจ้าเป็นท่านโหวขุนพลชั้นหนึ่ง…ต้นไม้แค่นี้…มือเดียวก็ยกขึ้นแล้ว…”

เซียวเหิงดึงเชือกอย่างเอาเป็นเอาตาย สะอึกสะอื้นคำรามกร้าว “เช่นนั้นก็ยกสิ! ยกสิ!”

เซวียนผิงโหวยิ้มเอ่ยอย่างเอ้อระเหย “ก็บอกว่าต้องพักสักเดี๋ยวอย่างไรเล่า…เจ้าไปก่อนเลย…อย่าให้เด็กคนนี้ตากฝน…อุตส่าห์ช่วยออกมาจากก้นบ่อได้แล้ว…”

“ข้าไม่ไป!”

เส้นเชือกบาดลึกเข้าเนื้อตรงฝ่ามือของเซียวเหิง แต่เขาก็ยังดึงไม่ขยับอยู่ดี

“ข้านึกเสียใจขึ้นมาแล้ว!”

“ข้าน่าจะเรียนวรยุทธ์!”

“ข้าไม่ควรไปเรียนหนังสือเลย! ข้าน่าจะโตในค่ายทหารมากกว่า!”

“ท่านพูดถูก! บัณฑิตมันไร้ประโยชน์!”

“ข้ามันไร้ประโยชน์!”

เขาร้องห่มร้องไห้ตะโกนลั่นอย่างสิ้นหวัง น้ำตาเม็ดโตร่วงเผลาะไปสาย

รอยยิ้มเซวียนผิงโหวหายไปจากใบหน้า เขามองเซียวเหิงผ่านม่านฝนหนา “ข้าจงใจพูดเช่นนั้นต่างหากเล่า…ข้าเป็นพ่อของเจ้า…ตัวหนังสือที่ข้ารู้ยังน้อยกว่าเจ้าอีก…ข้าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน…เอาแต่อยากให้เจ้ามาฝึกวรยุทธ์…ก็ข้าถนัดเรื่องวรยุทธ์นี่นา…เจ้าต้องเลื่อมใสข้ามากแน่…”

ประโยคดังกล่าว เซียวเหิงไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ

หยิ่งผยองอย่างเซียวจี่ นึกไม่ถึงว่าจะมีด้านไม่มั่นใจในตัวเองเช่นนี้ด้วย

อาจเพราะสัมผัสได้ว่าขีดจำกัดใกล้มาถึงแล้ว คำบางคำหากไม่พูดออกไปวันนี้ อาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกแล้ว

เซวียนผิงโหวผินหน้าเล็กน้อย ให้ตัวเองได้มองลูกชายเป็นครั้งสุดท้ายสะดวกหน่อย “อาเหิง ข้าไม่เคยได้บอกเจ้าเลยว่า อันที่จริงข้าภูมิใจมาก…ที่มีลูกชายอย่างเจ้า…ตาเฒ่าพวกนั้นคุยโวความสามารถของลูกชายพวกเขา…เฮอะ…สู้ลูกชายข้าได้หรือ”

“ลูกชายข้าสามขวบก็ขึ้นตำหนักจินหลวนท่องกวีได้แล้ว…ลูกชายพวกเขาทำได้หรือไม่”

“ลูกชายข้าสี่ขวบก็เข้ากั๋วจื่อเจียนแล้ว…ลูกชายพวกเขาทำได้หรือไม่”

“ลูกชายข้าสิบสามปีเป็นจี้จิ่วน้อยแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยอย่างพวกเขาได้เป็นหรือไม่”

“ลูกชายข้าสิบแปดปีเป็นจอหงวนแล้ว ลูกชายพวกเขาได้เป็นหรือไม่”

“ชั่วชีวิตของข้าสิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดไม่ใช่คุณูปการ ไม่ใช่ยศถาบรรดาศักดิ์ แต่เป็นเจ้า เจ้าเป็นลูกชายที่ข้าภาคภูมิใจที่สุด เป็นมาโดยตลอด”

ใจเซียวเหิงแทบจะขาดรอนๆ

เซวียนผิงโหวขอบตาร้อนผ่าว เขาแย้มยิ้ม “หากยังไม่ไปจะไม่ทันกาล อย่าให้ข้าต้องเสียสละโดยเปล่าประโยชน์เลย”

เขาเอ่ยจบก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายฟาดฝ่ามือใส่เซียวเหิง

เซียวเหิงถูกกำลังภายในของเขาส่งมาบนหลังม้า

เซวียนผิงโหวเอ่ยกับพาหนะของตน “พาเขาไป…”

เสียงกัมปนาทดังขึ้น ภูเขาลูกสุดท้ายพังถล่มลงมาแล้ว ดินโคลนไหลร่วงลงมาจากด้านหลัง

ม้ายกขาหน้าขึ้น ฮ่อตะบึงออกไป

เซวียนผิงโหวอมยิ้มมองลูกชาย ดินโคลนไหลทะลักลงมา

เซียวเหิงหันกลับไป พร้อมกับหลุดร้องเสียงดัง “ไม่…”

เสียงกึกก้องดังครืนๆ ดินโคลนไหลเข้าสู่หมู่บ้านแล้ว

และในขณะนั้นเอง เงาดำสูงใหญ่สายหนึ่งก็ทะยานเข้ามาท่ามกลางสายฝน!