เมื่อคิดถึงองค์หญิงฝูชิง เสียนเฟยก็ยิ่งนอนไม่หลับ
ตั้งแต่เกิดเรื่องกับองค์หญิงฝูชิงเมื่อเทศกาลซั่งหยวน ฮองเฮาจึงไม่อนุญาตให้นางออกจากวังหลวงอีกเลย ถึงขั้นอ้างเรื่องที่เหล่าองค์ชายก่อเรื่องจนเป็นเหตุให้ฝ่าบาทต้องกลุ้มพระทัยมาเป็นเหตุผลที่จะไม่จัดงานเลี้ยงชมบุปผา
เมื่อพิจารณาดูแล้ว คงมีแค่ช่วงที่องค์หญิงฝูชิงเดินไปกลับตำหนักฉือหนิงเท่านั้นที่พอจะลงมือได้
เดิมทียามที่องค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่ไปที่ตำหนักฉือหนิง พวกนางจะพาสาวรับใช้ของตัวเองไปด้วยคนละหนึ่งคน แต่หลังจากที่เกิดเรื่องที่เทศกาลซั่งหยวนก็เหลือเพียงพวกนางแค่สองคน
เนื่องจากเหตุในครั้งนั้นมีต้นเหตุมาจากนางในข้างกายของนาง ดังนั้นจึงตัดปัญหาไม่พานางในติดตามไปที่ตำหนักฉือหนิง
องค์หญิงทั้งสองเกรงว่าจะเป็นการรบกวนความสงบของไทเฮา พวกนางจึงพาสาวรับใช้ไปแค่หนึ่งคน แต่เมื่อสาวรับใช้ของนางเป็นต้นเหตุของปัญหา บัดนี้จึงเหลือแค่องค์หญิงเดินทางไปกันเอง นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าเป็นแผนของไทเฮาตั้งแต่แรก
ไทเฮาเสนอให้องค์หญิงฝูชิงมาอยู่เป็นเพื่อนนางทุกวัน แต่หลังจากเทศกาลซั่งหยวนองค์หญิงฝูชิงกลับยังสบายดี นั่นเลยทำให้สะดวกแก่การลงมือกับนางอีกครั้ง หากจะบอกว่านี่เป็นเพียงเหตุบังเอิญ นางคงไม่เชื่อ
ยิ่งเสียนเฟยคิด นางยิ่งรู้สึกว่าไทเฮาลึกล้ำเกินกว่าที่นางจะคาดเดาได้
ไทเฮาเจ้าเล่ห์และระวังตัวอยู่ตลอดเวลา หากมีคนเช่นนี้คอยช่วยผลักดันจังเอ๋อร์ โอกาสของจังเอ๋อร์ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ผืนฟ้าสีขาวนวลประหนึ่งท้องมัจฉา เมื่อเริ่มเข้าสู่คิมหันตฤดู ฟ้าก็สว่างเร็วขึ้น
เสียนเฟยรีบลุกจากเตียง นางสวมเสื้อคลุมกันลมและเดินไปแง้มหน้าต่าง
สายลมเย็นเฉื่อยยามเช้าพัดเข้ามาถูกร่างของนาง กายของเสียนเฟยสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้ นางกระแอมไอแผ่วเบาอีกสองที
นางในที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวรู้สึกตกใจ “เหนียงเหนียง เหตุใดถึงไปยืนตากลมเช่นนั้นล่ะเพคะ ระวังจะประชวรเอานะเพคะ…”
เสียนเฟยชำเลืองไปที่นางในแต่มิได้โต้ตอบ นางหันกลับไปมองสวนด้านนอกผ่านช่องหน้าต่างพลางถาม “เหตุใดถึงได้เงียบเหงาเพียงนี้”
ในความทรงจำของนาง ช่วงเวลานี้จะมีเหล่าข้าหลวงเข้ามาทำความสะอาด แต่ตั้งแต่นางล้มป่วย นางก็มิได้สนใจสิ่งเหล่านี้
เมื่อถูกถามเช่นนั้น นางในผงะไปเล็กน้อย ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกจากปาก
เสียนเฟยรับรู้ได้ถึงความผิดปกติจึงขมวดคิ้วพลางถาม “ทำไมล่ะ”
นางในก้มศีรษะต่ำ กลั้นใจตอบ “วันนี้คนในตำหนักแอบอู้งานเพคะ…”
เสียนเฟยเข้าใจในทันที นางหัวเราะเย้ยหยัน “เกรงว่าคงจะไม่ใช่แค่วันนี้หรอกกระมัง พอข้าป่วย คนพวกนี้ก็ไม่สนใจการงานแล้วซินะ”
“เหนียงเหนียง…” นางในรีบคุกเข่า
เสียนเฟยชายตามองหญิงสาวที่พื้นพลางกล่าวเสียงเย็น “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ลุกขึ้นเถิด ข้าไม่เก็บเรื่องแค่นี้มาใส่ใจหรอก”
การตกจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ทั้งในและนอกวังหลวง ฉะนั้นนางที่มีชีวิตอยู่ในวังหลวงมาจนป่านนี้จะไม่เข้าใจได้อย่างไร
หากเรื่องที่นางกดขี่นางในต่ำต้อยพวกนี้แพร่ออกไปมีแต่จะทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะ
ฉะนั้นตอนนี้นางจะทำเช่นนั้นไม่ได้ นางต้องรอให้ตัวเองได้ขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงสุดก่อน
เสียนเฟยกระชับเสื้อคลุมแล้วเดินห่างออกมาจากริมหน้าต่าง
ความรกร้างและหนาวเหน็บในตำหนักอวี้เฉวียนในวันนี้ทำให้เสียนเฟยตัดสินใจแน่วแน่ นางยอมเป็นหยกที่แตกละเอียดดีกว่าเป็นกระเบื้องที่ครบชิ้น
นางไม่อยากจากไปทั้งที่ชีวิตจมอยู่ในความสังเวช แม้ว่านางจะพ่ายแพ้ในการเดิมพันครั้งนี้ แต่ก็ดีกว่าตายไปอย่างไร้ค่า
ความสุขเกิดจากการรู้จักพอ หากเป็นคนอื่นคงยอมถอยหนึ่งก้าวเพื่อแลกกับชีวิตสุขสงบและมั่นคง แต่นางมิได้สนใจสิ่งเหล่านั้น
นางอดทนมานานกว่าครึ่งค่อนชีวิต เก็บความคับแค้นไว้เพียงในใจ คิดหรือว่าการที่นางส่งยิ้มละไมให้แก่เหล่านางในเป็นเพราะนางชอบ
เปล่าเลย นางแค่มีสิ่งที่นางปรารถนาแน่วแน่ถึงได้ยอมทน
หากนางต้องอดกลั้นจนถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต นางจะต่างอะไรจากเต่าที่หดหัวอยู่แต่ในกระดอง
“ไปเอากรรไกรมาให้ข้า ข้าจะซ่อมเล็บนี้”
นางในกลับมาพร้อมกรรไกรเงินในเวลาเพียงไม่นาน
เสียนเฟยชี้ไปที่เล็บนิ้วก้อยที่กุดที่สุด “ตัดให้เท่านี้”
“เหนียงเหนียง?” นางในตกตะลึง
เสียนเฟยกล่าวเสียงเย็น “ข้าสั่งให้เจ้าตัด เจ้าก็ตัดสิ จะพูดมากทำไม”
นางคงต้องไปน้อมทักไทเฮาและฮองเฮาอีกหลายครั้ง หนึ่งเพื่อขอคำรับประกันจากไทเฮา ส่วนอีกเรื่องคือไปสำรวจทางระหว่างตำหนักฉือหนิงไปจนถึงตำหนักคุนหนิง เพื่อดูว่าบริเวณใดเหมาะแก่การลงมือ
ในตำหนักฉือหนิงครึกครื้นแต่เช้า แต่ในห้องบรรทมของไทเฮากลับมีหมัวมัวสนิทเพียงคนเดียวที่กำลังหวีผมให้ไทเฮา
เส้นผมในมือหมัวมัวเป็นสีเงินเกือบทั้งหมด เบาบางเกินกว่าจะเกาะที่ปลายหวี
ไทเฮาหลับตาสนิทด้วยท่าทีสงบนิ่ง
นี่คงเป็นนิสัยของไทเฮา แม้เมื่อวานนางจะพูดเรื่ององค์หญิงฝูชิงกับเสียนเฟยไปแล้ว แต่ท่าทีของนางในวันนี้กลับสงบนิ่ง
หมัวมัวที่กำลังสางผมให้ไทเฮาถามอย่างอดไม่ได้ “พระองค์ว่า…เสียนเฟยจะทำสำเร็จหรือไม่เพคะ”
ไทเฮาลืมตาพร้อมกล่าวเนิบนาบ “คนที่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาค่อนชีวิต และไม่เคยปล่อยตัวตามอำเภอใจเลยสักครั้ง จะมีคนประเภทนี้กี่คนกันเชียว”
หมัวมัวส่งยิ้มพลางตอบ “ไทเฮาทรงปรีชายิ่งเพคะ”
ไทเฮามิได้กล่าวต่อ นางเพียงแต่มองไปที่ประตูเงียบงัน
หากเป็นไปตามที่นางคาด เสียนเฟยคงจะมาน้อมทักนางที่ตำหนักฉือหนิงด้วยความกระตือรือร้น
ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เสียนเฟยก็มาน้อมทักนางที่ตำหนักจริงๆ
บางทีนางคงจะตัดสินใจได้แล้ว ถึงได้ซ่อนความตื่นตระหนกยามอยู่ต่อหน้าไทเฮาได้อย่างเป็นธรรมชาติ เสียนเฟยในยามนี้ดูกล้าหาญขึ้นมาก นางเข้าประเด็นทันทีที่มาถึง “ไทเฮา หม่อมฉันมิได้คิดเสียดายชีวิตของตัวเอง แต่เพราะฝ่าบาททรงปรีชา หากหม่อมฉันกระทำการใดลงไปและเอาชีวิตไม่รอด ฝ่าบาทคงจะทรงพลอยชังจังเอ๋อร์ไปด้วย หากเป็นเช่นนั้นหม่อมฉันจะมั่นใจได้อย่างไรว่าพระองค์…”
ไทเฮาหัวเราะพลางเอ่ย “เจ้าไม่เชื่อว่าข้าจะรักษาคำพูดใช่หรือไม่”
เสียนเฟยเม้มปากไม่เกริ่นกล่าว
ไทเฮาส่ายศีรษะ “เรื่องนั้นเจ้าไม่ควรถาม ด้วยสถานะของข้าแล้ว เจ้าคิดว่าข้าแค่แกล้งหลอกให้เจ้าดีใจเล่นอย่างนั้นรึ หรือต่อให้ข้าหลอกเจ้าจริงๆ เจ้าจะทำอะไรได้ เดิมทีเจ้าและข้าก็มิได้อยู่ในสถานะเดียวกันอยู่แล้ว ข้าเป็นผู้เล่น ส่วนเจ้าเป็นหมาก ข้าถึงได้บอกว่าเจ้าไม่ควรถามอย่างไรล่ะ”
เสียนเฟยหน้าซีด ส่งยิ้มขมขื่น “หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ หม่อมฉันคิดฟุ้งซ่านไปเอง เพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องจังเอ๋อร์…”
ไทเฮาเขี่ยลูกประคำบนข้อมือพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ บัดนี้เยี่ยนอ๋องเป็นโอรสในฮองเฮา แต่ข้าจะไม่ยอมนั่งดูเขาขึ้นไปนั่งอยู่บนตำแหน่งนั้นเฉยๆ หรอกนะ แต่นอกจากเยี่ยนอ๋องแล้วก็มีตัวเลือกอยู่เพียงไม่กี่คน ข้าสัญญาแล้วว่าจะช่วยฉีอ๋อง หรือว่าอยากให้ข้าไปช่วยคนอื่นล่ะ”
เสียนเฟยได้ยินดังนั้นหัวใจของนางก็เต้นไม่เป็นจังหวะ
เป็นเพราะไอ้ลูกตัวดีมีสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับฮองเฮา ไทเฮาเลยจะขัดขวางไม่ให้เขาขึ้นครองบัลลังก์ อีกประการหนึ่งคือไทเฮาต้องการกำจัดองค์หญิงฝูชิง หากจะให้พูดก็แสดงว่าไทเฮาและฮองเฮาไม่ถูกกันอย่างนั้นหรือ
ไทเฮาเกลียดฮองเฮาถึงได้จ้องจะกำจัดทายาทของฮองเฮา
แต่เหตุใดนางที่อาศัยอยู่ในวังหลวงมานานกลับจำไม่ได้เลยว่าฮองเฮาเคยทำสิ่งใดให้ไทเฮาต้องรู้สึกโกรธเคือง…
เสียนเฟยมองไปที่ไทเฮา อากัปกิริยาของอีกฝ่ายยังคงสงบนิ่งไร้พิรุธ
เสียนเฟยถอนหายใจเป็นครั้งที่สอง
เมื่อก่อนนางเคยถือตัว แต่ตอนนี้รู้แล้วว่า ในวังหลวงมีเรื่องอีกมากที่นางยังไม่รู้
“เจ้ามีสิ่งใดจะถามอีกหรือไม่” ไทเฮาตรัสถาม เสียนเฟยหลุบตาพลางส่ายศีรษะ
ไทเฮาคลี่ยิ้ม “รู้มากไปก็ใช่ว่าจะทำงานออกมาได้ดี เจ้าควรไปน้อมทักที่ตำหนักคุนหนิงแล้วมิใช่หรือ”
เสียนเฟยส่งยิ้มผงกศีรษะรับอย่างนอบน้อมถึงแม้ในใจจะสั่นสะท้านก็ตามที “เพคะ หม่อมฉันควรต้องไปน้อมทักที่ตำหนักคุนหนิงแล้วเพคะ”
นับตั้งแต่วันนั้น เสียนเฟยไปน้อมทักที่ตำหนักฉือหนิงและตำหนักคุนหนิงตามลำดับอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งวันแรกของเดือนที่ห้า จู่ๆ สุขภาพของนางก็ทรุดลงกะทันหัน