บทที่ 759 ทำลายแนวป้องกันไม่ได้

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 759 ทำลายแนวป้องกันไม่ได้

หานเจวี๋ยปลอบใจสือตู๋เต้าสองสามประโยค เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ขุ่นเคือง ก็รู้สึกสบายใจแล้ว

หลังจากสิ้นสุดแดนความฝัน

หานเจวี๋ยรู้สึกสะท้อนใจอยู่บ้าง ‘สือตู๋เต้าไม่เลวเลย วันหน้าต้องให้ความสำคัญกับการอบรมบ่มเพาะสักหน่อย เมื่อมีความอดทน มีความพากเพียร เส้นทางอนาคตย่อมไร้ที่สิ้นสุด’

รอดูไปอีกสักหลายแสนปีก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ถึงอย่างไรสือตู๋เต้าและหลี่เต้าคงก็กลายเป็นมิ่งทั้งคู่ ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้น่าจะไม่เกิดเรื่องขึ้น

ตอนนี้มิ่งกำเริบเสิบสานยิ่ง คล้ายจะไม่มีกลุ่มอิทธิพลใดสามารถปราบปรามพวกเขาได้เลย เหล่าดวงจิตมหามรรคก็ไม่มีความเคลื่อนไหวเช่นกัน

หานเจวี๋ยมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง ปล่อยอู้เต้าเจี้ยนออกมา

การปรากฏตัวขึ้นของทั้งสองทำให้ลี่เหยารู้ตัว

เมื่อลี่เหยาลืมตาขึ้นมาเห็นอู้เต้าเจี้ยน นางมีสีหน้าปรีดาขึ้นมาในทันใด

อู้เต้าเจี้ยนค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อนางมองเห็นหานเจวี๋ยและลี่เหยา ก็อดเหม่อลอยไม่ได้

ระหว่างขั้นตอนผสานรวม หานเจวี๋ยยุ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ ไม่ได้สนใจนาง ทำให้นางอยู่ในสภาวะหลับลึกมาตลอด เนื่องเจ็บปวดทรมานเกินไป นางทำได้เพียงอาศัยการหลับลึกตัดการรับรู้ของตน

นางตะลึงงัน จากนั้นก็รับรู้ได้ถึงพลังอันน่าเกรงขามที่ไหลเวียนอยู่ในร่างตน เหนือชั้นกว่าในอดีต

นางยังไม่ตายหรือ

นางถือกำเนิดใหม่อีกครั้งอย่างนั้นหรือ

“ยินดีกับน้องสาวด้วยที่กลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลได้สำเร็จ” ลี่เหยาก้าวเข้ามาหานาง ยิ้มพลางจับมือนางดึงขึ้นมา

พวกนางรู้จักคบหากันมาหลายแสนปี ซ้ำยังก่อตั้งสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาด้วยกัน ย่อมมีสัมพันธ์อันดี

อู้เต้าเจี้ยนถามด้วยความตื่นตะลึง “ข้ากลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลไปได้อย่างไร”

หานเจวี๋ยตอบ “ย่อมเป็นเพราะความช่วยเหลือจากข้า เจ้ามาหาข้าก็เพราะอยากแข็งแกร่งขึ้นมิใช่หรือ”

เมื่ออู้เต้าเจี้ยนได้ยิน ดวงหน้างดงามเยือกเย็นพลันแดงก่ำขึ้นมา

หานเจวี๋ยเอ่ยต่อไปว่า “ต่อไปเจ้าก็อยู่ที่นี่เสียเถิด”

พูดจบ เขาก็กลับไปที่อาณาเขตเต๋าหลัก

เมื่อเขาจากไป อู้เต้าเจี้ยนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ท่าทางค่อยๆ กลับเป็นปกติ นางมองไปที่ลี่เหยาก่อนถามด้วยความสงสัย “เหตุใดนายท่านถึงสามารถเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลได้ เทพมารฟ้าบุพกาลมีคุณสมบัติเลิศล้ำที่สุดในตำนานของฟ้าบุพกาลเชียวนะ”

ลี่เหยาเล่าถึงสภาพแวดล้อมในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองรอบหนึ่ง เมื่อได้ทราบว่านอกจากนางแล้ว ยังมีคนอื่นๆ ที่กลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลด้วย นางก็ตื่นตะลึงอย่างยิ่ง

นายท่านซุกซ่อนความลับไว้มากมายแค่ไหนกัน

นางแผ่กระแสจิตครอบคลุมอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแข็งแกร่งเลิศล้ำสายแล้วสายเล่า แต่ละคนล้วนไม่ด้อยไปกว่านางเลย!

กองกำลังนี้แข็งแกร่งกว่าสำนักซ่อนเร้นมากนัก!

….

หลังปล่อยอู้เต้าเจี้ยนไว้ หานเจวี๋ยก็เข้าสู่สภาวะบำเพ็ญอีกครั้ง

การบำเพ็ญไร้กาลเวลา เวลาคือตัวตนที่เลื่อนลอยว่างเปล่ายิ่งในมุมมองของอริยะ ชีวิตยืนยาวบางครั้งก็น่าเบื่อหน่าย

เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า

หลายหมื่นปีต่อมา

[ระบบตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุเจ็ดแสนปีบริบูรณ์ ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง ออกจากการปิดด่านทันที ประกาศศักดาแห่งเทพมารอนธการ กระตุ้นให้เกิดมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน]

[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ หลีกห่างข้อพิพาท จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]

ตัวเลือกเหมือนตอนอายุครบหกแสนปีทุกประการ หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สองทันที

[ยินดีด้วยท่านได้รับยอดสมบัติฟ้าบุพกาล…ผ้าพันคอมังกรสวรรค์สามพันวิถี]

[ผ้าพันคอมังกรสวรรค์สามพันวิถี: ยอดสมบัติป้องกันฟ้าบุพกาล แปรผันมาจากดวงชะตาของมังกรสวรรค์ฟ้าบุพกาลสามพันตัว ผสานพลังป้องกันอันแกร่งกล้าไว้ สามารถป้องกันการโจมตีของระดับมหามรรค ปิดกั้นความเสียหายจากบ่วงกรรมและแรงกรรมได้]

ยอดเยี่ยมนัก!

ยอดสมบัติสายป้องกันอีกแล้ว!

มียอดสมบัติสายป้องกันสี่ชิ้นอยู่กับตัว ต่อให้เป็นยอดมหามรรคก็ไม่มีทางสังหารเขาในเสี้ยววินาทีได้!

‘ใช่หรือไม่!’

หานเจวี๋ยถามในใจ

[จำเป็นต้องหักอายุขัยห้าแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ใช่ ไม่สามารถสังหารในเสี้ยววินาทีได้]

หานเจวี๋ยยิ้มมุมปาก จากนั้นก็นำผ้าพันคอมังกรสวรรค์สามพันวิถีออกมาทำให้มันจดจำเจ้าของ

แปดสิบปีต่อมา เขาสามารถทำให้มันจดจำเจ้าของเสร็จสิ้น

ผ้าพันคอมังกรสวรรค์สามพันวิถีเลื้อยพันร่างหานเจวี๋ยด้วยตัวเอง วนรอบเอวเขา พันรอบสองแขน ชายสองข้างห้อยปล่อยอยู่ด้านหลัง เปล่งแสงสีทอง เงาร่างมังกรสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นด้านหลังเขา ฝูงมังกรเคลื่อนไหว ศักดิ์สิทธิ์ทรงอานุภาพ

หานเจวี๋ยสำรวจร่างกายตนเล็กน้อย ดูองอาจน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น

หานเจวี๋ยเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบทันที ท้าสู้กับอริยะเทพอวี๋เจี้ยน

เขายืนนิ่งๆ ให้อริยะเทพอวี๋เจี้ยนโจมตี

ผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็ม อริยะเทพอวี๋เจี้ยนไม่สามารถทำลายแนวป้องกันของเขาได้ หานเจวี๋ยนำขวานเบิกฟ้าออกมา ฟันขวานใส่อีกฝ่ายทันที

น่าเบื่อเหลือเกิน

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

ไม่มีใครเอาชนะเขาได้เลย!

จากนั้น เขานำศิลาก่อวิญญาณมาผสานรวมกับปราณเทพมารฟ้ากระจ่าง

….

ภายในตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายยืนอยู่หน้ากระถางสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ใบหนึ่ง

ภายในกระถางสัมฤทธิ์ หานทั่วนั่งสมาธิอยู่ท่ามกลางน้ำยาเดือดปุดๆ คิ้วขมวดแน่น สีหน้าทรมานอย่างยิ่ง

ดวงตาของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเปี่ยมด้วยความกังวล

ในเวลานี้เอง เสียงของเทพมารมหามรรคหลบเร้นแว่วขึ้นมา “ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้ากำจัดพลังห้วงมิติในร่างเขาออกไปแล้ว”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง “เราก็บอกไปแล้ว พวกเรามิใช่คู่ต่อสู้ของตี้เจียง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบรรพชนจอมเวทรายอื่นๆ ที่ล้วนไม่อ่อนด้อยเลย โดยเฉพาะจู๋จิ่วอินบรรพชนจอมเวทแห่งกาลเวลาคนนั้น ไร้คู่ต่อกรในระดับเสรี”

เทพมารมหามรรคหลบเร้นเงียบไป

ผ่านไปสักพัก

เขาเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าไม่คิดว่าตี้เจียงจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ดูเหมือนดวงชะตาแห่งผานกู่จะคอยคุ้มครองพวกเขาอยู่ในความมืด”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายแค่นเสียง “เช่นนั้นท่านยังต้องการให้พวกเราต่อสู้กับสิบสองบรรพชนจอมเวทอีกหรือไม่ หากสู้กันต่อไป วังสวรรค์ของเราคงต้องล่มสลายแน่”

เทพมารมหามรรคหลบเร้นแค่นเสียงตอบโต้ “เจ้าเด็กไม่เอาไหน ช่างเถอะ เมื่อถึงเวลาข้าจะจัดการตี้เจียงเอง”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายพลันยิ้มออกมา เอ่ยว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสที่เมตตา”

เทพมารมหามรรคหลบเร้นไม่ได้เผยตัวออกมา จึงไม่ทราบว่าอีกฝ่ายมีท่าทีอย่างไร

ผ่านไปอีกสักพัก จู่ๆ เทพมารมหามรรคหลบเร้นก็เอ่ยถาม “ระยะนี้หานเจวี๋ยเป็นอย่างไรบ้าง เหตุใดจึงไม่มีความเคลื่อนไหวเลย”

ตอนนี้มรรคาสวรรค์ตั้งรกรากในฟ้าบุพกาลได้มั่นคงแล้ว ก้าวหน้าไปอย่างดุเดือดยิ่ง ไม่ช้าก็เร็วต้องแซงหน้าแดนเทพหวนปัจฉิมในอดีตไปแน่“”

“มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนว่าปิดด่านฝึกบำเพ็ญอยู่ เรารู้จักเขาดี” จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เทพมารมหามรรคหลบเร้นถามด้วยความฉงน “เหตุใดเขาถึงพากเพียรบำเพ็ญถึงเพียงนี้ ดูเหมือนเขาจะไม่ได้แสวงหาสิ่งใดเลย”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายตอบ “การบำเพ็ญก็คือสิ่งที่เขาแสวงหา”

เทพมารมหามรรคหลบเร้นใคร่ครวญแล้วกล่าวว่า “ผ่านไปอีกสักระยะ เจ้าก็ไปเยี่ยมเยือนเขาที่มรรคาสวรรค์เป็นเพื่อนข้าด้วยสักหน่อยเถอะ”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “ท่านคิดจะทำอะไร อย่าได้คิดจะนำโอกาสวาสนาใดๆ ไปล่อให้เขาช่วยเหลือเลย คนอย่างเขากลัวเรื่องเดือดร้อนเป็นที่สุด”

เทพมารมหามรรคหลบเร้นเอ่ยอย่างจนปัญญา “เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่พูดเข้าข้างเขาตลอด ข้าดีต่อเจ้านับหมื่นเท่า เหตุใดเจ้าถึงไม่คิดเพื่อข้าบ้าง”

“พวกเราผูกพันกันดั่งพ่อลูก ไยต้องถือสาเรื่องพวกนี้ด้วยเล่า”

“ฮ่าๆ”

ภายในตำหนักหวนสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง

สายตาของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายกลับไปอยู่ที่ตัวหานทั่วอีกครั้ง

….

ท่ามกลางความมืดมิด โลงศพไม้ใบหนึ่งเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว

เงาร่างหนึ่งนั่งสมาธิอยู่บนโลงศพ เป็นหวงจุนเทียน

หวงจุนเทียนทอดมองไปด้านหน้า เอ่ยถามเสียงเบา “นี่กำลังจะไปที่ใด”

เสียงหนึ่งแว่วมาจากในร่างเขา ทุ้มต่ำแหบพร่า “แดนบรรพกาล”

“เพราะเหตุใด”

“ช่วยปลุกชีพให้จารึกเบิกฟ้าของพวกเรา จารึกเบิกฟ้าเป็นยอดสมบัติที่ถือกำเนิดขึ้นในปฐมยุคฟ้าบุพกาล ไม่ด้อยไปกว่าขวานเบิกฟ้าของผานกู่เลย หากมีมันอยู่ เจ้าถึงจะนับว่ารุ่งโรจน์อย่างแท้จริงได้”

หวงจุนเทียนเลิกคิ้ว เขาย่อมคุ้นเคยกับขวานเบิกฟ้าดี

นั่นคือยอดสมบัติที่ผานซินภาคภูมิใจ ในอดีตผานซินอาศัยขวานเบิกฟ้าฝ่าวงล้อมออกมาจากแดนเทพหวนปัจฉิม จนถึงตอนนี้กิตติศัพท์การต่อสู้ก็ยังคงชวนให้คนตื่นตะลึงอยู่

หวงจุนเทียนเอ่ยถาม “แดนบรรพกาลไม่อันตรายหรอกหรือ”

สื่อหยวนหงเหมิงตอบกลับว่า “ข้าทำนายดูแล้ว ช่วงนี้แดนบรรพกาลนับว่าค่อนข้างสงบปลอดภัย ตัวตนน่าหวาดหวั่นเหล่านั้นจากไปแล้ว หลังจากไปถึง หากมองเห็นป้ายหลุมศพหรือภาพลวงตาก็หันเหสายตาออกไปเสีย ห้ามไปล่วงเกิน”

………………………………………………………………