ตอนที่ 739 เยี่ยนว่อ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 739 เยี่ยนว่อ

“หม่อมฉันวางแผนเพื่อองค์รัชทายาทไม่สมควรได้รับรางวัลตอบแทนหรือเพคะ หม่อมฉันเป็นคนอับโชค ไม่กล้าขอตำแหน่งสูงส่งจากองค์รัชทายาท ขอเพียงองค์รัชทายาททำตามแผนที่หม่อมฉันเสนอให้ องค์รัชทายาทรักและเอ็นดูหม่อมฉันให้นานก็พอแล้วเพคะ”

สิ้นเสียง ฝ่ามือเรียวเล็กของหงเหมยจึงสอดเข้าไปในเสื้อขององค์รัชทายาท

องค์รัชทายาทรีบจับมือของหงเหมยไว้แล้วกล่าวเสียงอ่อนโยน “เมื่อครู่เจ้ายังรับไม่ไหว ตอนนี้ยังคิดยั่วยวนเราอีกหรือ”

หงเหมยแสร้งทำเป็นกัดริมฝีปากด้วยท่าทีขวยเขิน พลิกกายกลับไปรั้งผ้าห่มมาคลุมร่างด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ จากนั้นทำเป็นไม่สนใจองค์รัชทายาท

ภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะขององค์รัชทายาทและเสียงครางอ่อนหวานของหญิงงาม ทว่า ใจของเฉวียนอวี๋ที่ยืนอยู่ด้านนอกเต็มไปด้วยความกังวลอาการของไป๋ชิงเหยียน

วันรุ่งขึ้น ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อย เสิ่นชิงจู๋ขี่ม้าตรงมาถึงจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋ว จากนั้นเคาะประตูที่ปิดสนิทอยู่

ประตูถูกแง้มออกเล็กน้อย คนเฝ้าประตูมองลอดช่องประตูออกไปด้านนอก

โคมไฟหนังแกะที่แขวนอยู่หน้าประตูจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วยังคงสว่างอยู่ แสงไฟนวลส่องกระทบใบหน้าที่หนาวชาจากการถูกลมหนาวพัดใส่ตลอดทาง ริมฝีปากของหญิงสาวแห้งแตก คนเฝ้าประตูรีบเปิดประตูออกทันที “แม่นางเสิ่น!”

เสิ่นชิงจู๋โยนแส้ม้าในมือให้คนเฝ้าประตู จากนั้นเดินเข้าไปในจวนพลางกล่าว “พาม้าที่อยู่หน้าประตูไปพักให้เรียบร้อย ข้าจะไปพบคุณหนูใหญ่”

เมื่อบ่าวรับใช้ชายเฝ้าประตูเดินออกไปด้านนอกก็เห็นม้าที่เสิ่นชิงจู๋ขี่มานอนหอบหายใจแรงอยู่บนพื้น ขนของมันเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่เต็มไปด้วยไอร้อน

บ่าวรับใช้ชายทำสิ่งใดไม่ถูกไปชั่วขณะ เขารีบตะโกนเรียกคนออกมาช่วยเหลือ

นี่คือม้าหายากที่คุณหนูใหญ่มอบให้แม่นางเสิ่น ม้าตัวนี้มีค่ามาก ทว่า กลับถูกแม่นางเสิ่นใช้งานจนมีสภาพเป็นเช่นนี้

เสิ่นชิงจู๋นำจดหมายของจี้ถิงอวี๋วิ่งไปยังเรือนชิงฮุยอย่างไม่รอช้า จากนั้นเคาะประตูของเรือนชิงฮุย

สาวใช้ทำความสะอาดเรือนชิงฮุยได้ยินเสียงเคาะประตูจึงตกใจ นางรีบสวมเสื้อคลุมและรองเท้าให้เรียบร้อย จากนั้นเดินออกมาจากห้องพลางผูกเชือกเครื่องแต่งกาย จากนั้นเอ่ยถาม “ผู้ใดกัน”

“เสิ่นชิงจู๋!”

บ่าวรับใช้ในเรือนชิงฮุยล้วนรู้จักเสิ่นชิงจู๋ สาวใช้ทำความสะอาดรีบกล่าวอย่างนอบน้อม “แม่นางเสิ่นรอสักครู่นะเจ้าคะ บ่าวจะไปเรียนให้คุณหนูใหญ่และคุณหนูรองทราบเจ้าค่ะ”

เมื่อคืนไป๋จิ่นซิ่วนอนพักในเรือนชิงฮุย หญิงสาวไล่สาวใช้เฝ้าเวรกลางคืนออกไป กล่าวว่าจะอยู่ดูแลไป๋ชิงเหยียนด้วยตัวเอง

เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูของเสิ่นชิงจู๋ แสงไฟในห้องของเรือนชิงฮุยจึงสว่างขึ้น สาวใช้ทำความสะอาดเดินไปหยุดอยู่ริมหน้าต่าง “คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง แม่นางเสิ่นมาเจ้าค่ะ”

“ให้ชิงจู๋เข้ามาได้” เสียงของไป๋ชิงเหยียนดังออกมาจากในห้อง

“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำ จากนั้นวิ่งออกไปเปิดประตูให้เสิ่นชิงจู๋

ไป๋จิ่นซิ่วสวมเสื้อคลุมให้เรียบร้อย เมื่อเตรียมเข้าไปช่วยพยุงไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้นก็เห็นพี่หญิงใหญ่ลุกขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว

เสิ่นชิงจู๋แหวกม่านเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็ว หญิงสาวขี่ม้ามาตลอดทางจึงมีไอเย็นทั้งร่าง ดังนั้นนางจึงเดินไปอุ่นร่างกายก่อนเพราะกลัวไอเย็นจะแผ่ไปโดนคุณหนูใหญ่ เมื่อหญิงสาวเดินไปหยุดอยู่หน้าฉากกั้นจึงหยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมาจากอกอย่างระมัดระวัง จากนั้นกล่าวขึ้น “คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง จี้ถิงอวี๋ส่งจดหมายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

ไป๋จิ่นซิ่วสบตากับไป๋ชิงเหยียนแวบหนึ่ง จากนั้นเดินออกมารับจดหมายจากเสิ่นชิงจู๋ที่นอกฉากกั้นพลางกล่าวกับเสิ่นชิงจู๋ “บนเตาผิงมีชาร้อนวางอยู่ เจ้าดื่มน้ำชาและของว่างรองท้องก่อน”

เสิ่นชิงจู๋พยักหน้า

เร่งขี่ม้าเร็วมาตลอดทาง เสิ่นชิงจู๋ไม่กล้าแม้แต่จะหยุดพักดื่มน้ำเพราะกลัวจะเสียเวลา

ตอนนี้เสิ่นชิงจู๋ไม่มีเวลาสนใจเสื้อผ้าที่ไม่สะอาดของตัวเอง หญิงสาวรินน้ำชาลงในถ้วยชา เป่าไอร้อนจากนั้นยกขึ้นดื่ม

ไป๋ชิงเหยียนเทจดหมายที่อยู่ในกระบอกไม้ไผ่ออกมา คลี่กระดาษแผ่นเล็กออกอ่าน ด้านในมีเพียงประโยคเดียว ‘เยี่ยนว่อประสบภัยหนาวจากหิมะ หุบเขาหู่เวยขาดแคลนเสบียง’

ไป๋ชิงเหยียนกำหมัดแน่น หุบเขาหู่เวยอยู่ระหว่างหูสุ่ยและเยี่ยนว่อ

จี้ถิงอวี๋ขาดแคลนเสบียงเพราะต้องการนำเสบียงไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบภัยในเยี่ยนว่อ

สองปีมานี้เยี่ยนว่อเผชิญกับภัยพิบัติมากมายจริงๆ

เดือนเจ็ดปีที่แล้วเยี่ยนว่อประสบภัยแล้ง ฤดูหนาวประสบภัยหนาวจากหิมะ เดือนสามปีนี้ฝนตกหนักติดต่อกันจนเกิดภัยน้ำท่วม ที่นาถูกน้ำท่วมจนเสียหาย ชาวบ้านเยี่ยนว่อกลายเป็นชาวบ้านเร่ร่อน

ปีที่แล้วจี้ถิงอวี๋ขโมยทหารเกณฑ์ใหม่มาจากสามที่ ทางการส่งคนออกค้นหาไปทั่วดังนั้นเขาจึงต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก ต่อมาคนของจี้ถิงอวี๋กระจายข่าวลือไปทั่วว่าผีสางเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทางการแต่ละท้องที่จึงไม่กล้าสืบเรื่องนี้ต่ออีก ข่าวมาถึงเมืองหลวงในช่วงปลายของเดือนสิบ ราชสำนักยังไม่ทันส่งคนไปสืบเรื่องนี้ก็เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายที่ประตูอู่เต๋อขึ้นมาเสียก่อน

ต่อมาเมื่อเหตุการณ์ความวุ่นวายสงบลง เมืองหลวงกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง องค์รัชทายาทจึงส่งขุนนางไปสำรวจพื้นที่ทั้งสามแห่งในเดือนสิบเอ็ด ทว่า ขุนนางทั้งสามต่างหวาดกลัวภูตผีและวิญญาณจึงไม่กล้าลงมือสืบอย่างละเอียดเช่นเดียวกัน

เรื่องนี้ยืดเยื้อไปถึงสิ้นปี ชาวบ้านเริ่มพากันหวาดกลัว ครอบครัวใดที่บุตรชายหรือสามีถูกเรียกไปเกณฑ์ทหารต่างพากันไปอาละวาดที่หน้าจวนว่าราชการ องค์รัชทายาทกลัวว่าหากยื้อเรื่องนี้นานกว่านี้อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้

ประกอบกับที่อื่นไม่เคยมีทหารหายตัวไป องค์รัชทายาทปรึกษากับฟางเหล่าแล้วพบว่าทหารที่หายตัวไปมีจำนวนไม่มาก ดังนั้นพวกเขาจึงแสร้งประกาศออกไปว่าพบตัวทหารเหล่านั้นแล้ว เช่นนี้เบี้ยเลี้ยงของทหารเหล่านั้นก็จะเข้ามาในถุงเงินขององค์รัชทายาทโดยปริยาย องค์รัชทายาทสามารถนำเงินเหล่านั้นมาใช้ประจบฮ่องเต้ได้

องค์รัชทายาทสามารถหาข้ออ้างปกปิดเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดายเพราะตอนนี้กองทัพไป๋คือคนขององค์รัชทายาท องค์รัชทายาทสามารถส่งสารลับไปให้เสิ่นคุนหยาง บอกว่าเขาส่งทหารเหล่านี้ไปยังหนานเจียงแล้ว ให้เสิ่นคุนหยางยอมรับตามนั้น เช่นนี้ชาวบ้านจะได้เลิกหวาดกลัว

ตอนนี้ฮ่องเต้มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับยาวิเศษที่จะทำให้อายุยืนยาว ไม่มีเวลาสนใจเรื่องเหล่านี้ องค์รัชทายาทจึงกล้าตัดสินใจทำเช่นนี้

องค์รัชทายาทประกาศราชโองการว่าเขาส่งทหารใหม่เหล่านั้นไปยังหนานเจียง เมื่อคำสั่งลับส่งไปถึงเสิ่นคุนหยาง เรื่องทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้ว ตอนที่เสิ่นคุนหยางส่งจดหมายมารายงานไป๋ชิงเหยียนที่ซั่วหยาง ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้กล่าวสิ่งใด กล่าวเพียงว่าเสิ่นคุนหยางสามารถนำหทารของไป๋ชิงเจวี๋ยเข้าไปฝึกในค่ายได้อย่างเปิดเผยโดยอ้างว่าเป็นทหารใหม่ที่องค์รัชทายาทส่งมาได้

“เยี่ยนว่อเกิดภัยพิบัติอย่างนั้นหรือ” ไป๋จิ่นซิ่วตกตะลึง “เมืองหลวงไม่รู้ข่าวนี้เลย”

“คราวที่แล้วเยี่ยนว่อเกิดภาวะขาดแคลน หากไม่ใช่เพราะเรื่องทุจริตการสอบขุนนางถูกเปิดโปงขึ้น หลี่เม่าคงไม่ยอมแพร่งพรายเรื่องนี้ออกมาหรอก บัดนี้ภัยหิมะในเมืองเยี่ยนว่อคงยังพอปิดข่าวได้อยู่” ไป๋ชิงเหยียนขมวดคิ้วครุ่นคิดเรื่องเสบียงอาหาร

“พี่หญิงใหญ่ ข้าจะจัดการเรื่องเสบียงอาหารให้เองเจ้าค่ะ ซั่วหยางกำลังฝึกฝนทหาร ข้าคือสตรีของตระกูลไป๋ การซื้อเสบียงอาหารส่งไปยังซั่วหยางไม่ถือเป็นเรื่องแปลกอันใด ทว่า ปัญหาคือจะส่งไปถึงมือจี้ถิงอวี๋อย่างไรนี่สิเจ้าคะ” ไป๋จิ่นซิ่วกล่าว

“หากเจ้าทำเรื่องนี้จะเป็นที่สะดุดตาเกินไป พี่จะจัดการเอง” ไป๋ชิงเหยียนเคาะนิ้วลงบนโต๊ะไม้อย่างใช้ความคิด “หวาหยางและฉินไหวประสบปัญหาเรื่องโรคระบาด เยี่ยนว่อดันเกิดภัยหนาวจากหิมะขึ้นอีก หากตระกูลไป๋ยินดีบริจาคเงินส่วนตัวของเราซื้อเสบียงอาหารไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย องค์รัชทายาทคงยินดีมากแน่ๆ”

ไป๋ชิงเหยียนนึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา…เจ้าเมืองของซั่วหยางเสิ่นเทียนจือ

ในเมื่อเสิ่นเทียนจือกล่าวว่าเขาคือทางรอดที่ท่านพ่อของนางเตรียมไว้ให้ตระกูลไป๋ที่ซั่วหยาง เช่นนั้นครั้งนี้นางก็จะลองใช้เขาดู

เยี่ยนว่อถือเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ของแคว้นต้าจิ้น ดินบริเวณเยี่ยนว่อมีความสมบูรณ์มาก สามารถปลูกผลผลิตได้มากมาย ดินแดนตรงนั้นจึงถูกเรียกว่าเยี่ยนว่อในสมัยของจีโฮ่วและเรียกสืบมาจนถึงทุกวันนี้