“ใครจะไปรู้ล่ะ” มีคนส่ายหัว
มีคนอิจฉาขั้นสุดด้วย “ชีวิตหลังจากนี้ของคนบ้านหลังนั้น ไม่กล้าคิดเลยจริงๆ”
“ไม่แน่เขาอาจจะไม่ได้มาหาแฟน แค่มาเยี่ยมญาติก็เป็นได้ หากเป็นแบบนี้ ฉันก็จะไปจับคู่ผู้หญิงคนนี้แทนลูกชายฉันหน่อย” จู่ๆ ป้าคนนั้นก็พูดขึ้น
จากนั้นก็ถูกคนอื่นๆ หัวเราะเยาะแล้ว
“เลิกแล้วกันไปเถอะ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีแฟน ก็ไม่ถึงขั้นคบกับลูกชายเธอ ลูกชายเธอเป็นยังไง ใช่ว่าพวกเราจะไม่รู้ คู่ควรกับผู้หญิงคนนี้เหรอ?”
“นั่นสิ หน้าด้านจริงๆ เลยเธอ”
เสียงนินทานี้ไม่ได้ดัง วารุณีรู้เพียงแค่ว่าพวกเขากำลังวิพากษ์เธอ ทว่าวิพากษ์อะไร เธอก็ไม่รู้แล้ว
แต่ว่าเธอไม่ใส่ใจ หลังจากที่ยิ้มกับคนพวกนี้แล้ว ก็ยื่นถุงสองสามถุงในมือให้กับบอดี้การ์ด
หลังจากที่บอดี้การ์ดรับมาแล้ว ก็เดินตามหลังเธอ ตรงเข้าไปในหมู่บ้าน
เดินไปด้วย วารุณีพลางเปิดโทรศัพท์ หาตำแหน่งที่ชัดเจนของบ้านจิรดำรงค์
ก่อนหน้านี้ปาจรีย์เคยให้เธอมาอันหนึ่ง แต่ว่าเธอไม่ได้จำไว้ ดังนั้นตอนนี้เธอไม่รู้จริงๆ ว่าหลักๆ แล้วบ้านจิรดำรงค์อยู่อาคารไหน
แต่โชคดีที่ในไม่ช้า วารุณีก็หาตำแหน่งที่ตั้งเจอแล้ว เห็นตึกข้างบนที่ชัดเจน เธอยิ้ม แล้วเดินตรงไปข้างหน้า
เดินไปถึงหน้าอาคารแปด เธอวางโทรศัพท์ลง “คือที่นี่แหละ ชั้นสิบสอง”
“ได้ครับคุณหญิง” บอดี้การ์ดพูดไปประโยคหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไปก่อน กดลิฟต์ให้วารุณี
โชคดีที่ไม่มีใครรอลิฟต์ ดังนั้นในไม่ช้าก็ไปถึง
บอดี้การ์ดรอให้วารุณีเข้าไปแล้ว จึงจะตามเข้าไป แล้วกดชั้นสิบสอง
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เสียงลิฟต์ดังขึ้น
เปิดประตูออก วารุณีก็ยกเท้าเดินออกไปก่อน จากนั้นก็หันขวาเดินไปประมาณสิบกว่าเมตร หยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องหนึ่ง
บอดี้การ์ดเข้าใจว่าคือบ้านนี้แหละ รีบยกมือขึ้นเคาะประตู
ในไม่ช้า ข้างในก็มีเสียงดังออกมา “มาแล้ว ใครคะ”
วารุณีตั้งใจไม่ตอบ อยากจะเซอร์ไพรส์คนข้างไหน
คนข้างในไม่ได้รับการตอบกลับ เปิดประตูออกด้วยความสงสัย “ใครเนี่ย?”
“คุณน้า” วารุณีมองดูหญิงสาวที่มาเปิดประตู ยิ้มและเรียกไปทีหนึ่ง
คำว่าคุณน้า ทำให้คุณแม่ปารวีอึ้งไปเลย
แต่ว่าในไม่ช้า คุณแม่ปารวีก็มีการตอบสนองแล้ว มองวารุณีด้วยความดีใจ “วารุณี? นี่คือวารุณีไม่ใช่เหรอ?”
“คุณน้า หนูเองค่ะ หนูมาเยี่ยมท่านกับคุณอา คุณน้าต้อนรับไหมคะ?” วารุณีพยักหน้าถาม
คุณปารวีเช็ดมือที่ผ้ากันเปื้อนอย่างดีใจ จากนั้นก็จึงมือของเธออย่างเป็นมิตร “ต้อนรับ จะไม่ต้องรับได้ไง หนูสามารถมาได้ น้าดีใจมากๆ เลย”
พูดจบ เธอก็หันไปตะโกนทางห้องรับแขกว่า “สิทธิ์ นายมาดูสิซิว่าใครมาแล้ว”
“ใครเหรอ?” ห้องรับแขกมีเสียงของชายวัยกลางคนดังผ่านมา ตามด้วยเสียงเหยียบพื้นของรองเท้าแต่ ใกล้ขึ้นเรื่องๆ
ผ่านไปไม่กี่วิ ก็มีเงาๆ หนึ่งปรากฏอยู่ข้างหลังคุณแม่ปารวี คุณพ่อประสิทธิ์มองวารุณีทางนอกประตูผ่านคุณแม่ปารวี ก็อึ้งไปเช่นกัน จากนั้นก็หัวเราะอย่างดีใจ “วารุณี!”
“คุณอา” วารุณีเรียกด้วยเสียงหวาน
คุณพ่อประสิทธิ์ตอบกลับอย่างดีใจ “วารุณี หนูมาได้ยังไง?”
“หนูมาเยี่ยมท่านกับคุณน้าค่ะ” วารุณีพูด
คุณพ่อประสิทธิ์รีบเตือนคุณแม่ปารวี “ยายแก่ เธอขวางอยู่ที่ประตูทำไม ยังไม่รีบให้วารุณีเข้ามาอีก”
คุณแม่ปารวีถูกเตือนแล้ว จึงจะนึกขึ้นว่าตนเองยังไม่ได้ให้วารุณีเข้าบ้าน อดไม่ได้ที่จะตบหน้าผากของตนเอง “ดูฉันสิ พอฉันดีใจขึ้นมาก็ลืมให้วารุณีเข้าบ้านแล้ว โทษทีนะวารุณี น้า……”
“หนูเข้าใจค่ะคุณน้า หนูไม่โทษคุณน้าค่ะ” วารุณีพูด
คุณแม่ปารวีจูงมือเธอ “งั้นก็ดีงั้นก็ดี โอเควารุณี รีบเข้าบ้านเถอะ เออ คนนี้คือ……”
ขณะนี้ คุณแม่ปารวีเห็นบอดี้การ์ดข้างหลังของวารุณีแล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
ผู้ชายคนนี้ดูแล้วสูงใหญ่ หรือว่าเป็นสามีของวารุณี?
แต่ว่าดูจากบุคลิกแล้วไม่ค่อยเหมาะกับวารุณี ยืนกับวารุณี ไม่เหมือนสามีภรรยาเลย กลับเหมือนบอดี้การ์ด
ถึงแม้ว่าจะคิดอย่างนี้ แต่คุณแม่ปารวีก็ไม่กล้าพูดการคาดเดาของตนเองออกมา เพราะเธอไม่แน่ใจว่าวารุณีกับผู้ชายคนนี้เป็นอะไรกันแน่
หากพูดผิดไป ก็เขินอายแย่
วารุณีพูดแนะนำ “นี่คือบอดี้การ์ดที่สามีหนูจัดมาให้ค่ะ”
“บอดี้การ์ด!” คุณแม่ปารวีมองบอดี้การ์ดอย่างตกใจ
ที่แท้ก็คือบอดี้การ์ดจริงๆ ด้วย
โชคดีโชคดี โชคดีที่เธอไม่ได้พูดว่านี่คือสามีของวารุณี
ไม่เช่นนั้นก็ขายขี้หน้าแล้ว
ในตอนที่คุณแม่ปารวีอยากจะเชิญบอดี้การ์ดเข้ามา จู่ๆ บอดี้การ์ดก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณหญิง ผมรอท่านอยู่ที่ฝ่ายนิติบุคคลนะครับ ถ้าท่านทำธุระเรียบร้อยแล้ว หรือมีเรื่องอะไร ก็โทรหาผมนะครับ”
“แบบนี้ก็ดี” วารุณีพยักหน้า
ตอนแรกเธอก็คิดอยู่ว่าให้บอดี้การ์ดจากไปก่อน ไม่ว่ายังไงแล้วหากให้บอดี้การ์ดเข้าไปจริงๆ งั้นพวกคุณอากับคุณน้าจะต้องรู้สึกเกรงต่อบอดี้การ์ดแน่นอน
ดังนั้นนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงพาบอดี้การ์ดมาคนเดียว ให้อีกสามคนรออยู่ที่ห้องโรงแรม
“คุณหญิง นี่ครับ” บอดี้การ์ดนำถุงที่อยู่ในมือมอบให้วารุณี
วารุณีถือมา บอดี้การ์ดเดินตรงเข้าไปทางลิฟต์
คุณแม่ปารวีเอ่ยขึ้นว่า “วารุณี ให้เขาเข้ามาด้วยก็ไม่เป็นไรนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณน้า ให้เขาไปรอหนูที่ข้างนอกดีกว่าค่ะ” วารุณียิ้มแล้วพูด
คุณแม่ปารวีเห็นเธอพูดแบบนี้แล้ว ยังจะพูดอะไรได้อีก จูงมือของเธอแล้วเข้าไปในบ้าน
ส่วนคุณพ่อประสิทธิ์นั้น ปิดประตูแล้วเดินอยู่คนสุดท้าย
มาถึงห้องรับแขก วารุณียื่นถุงออกไป “คุณอาคุณน้า นี่คืออาหารเสริมที่หนูซื้อให้ทั้งสองท่านค่ะ”
“ไม่ได้นะ ไม่ได้!” คุณแม่ปารวีรีบโบกมือ แสดงออกว่าไม่เอา
คุณพ่อประสิทธิ์ก็พูดว่า “ใช่แล้ววารุณี ก่อนหน้านี้ปาจรีย์กลับมา ก็นำของมาเยอะมาก บอกว่าหนูซื้อให้เราสองคน ของครั้งที่แล้วพวกเรารับไว้ ครั้งนี้ ไม่ว่ายังไงก็ห้ามรับ หนูเอากลับไปเถอะ”
วารุณีเดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าสองสามีภรรยาจะปฏิเสธ “คุณอาคุณน้า นี่คือน้ำใจของหนูค่ะ พวกท่านต้องรับไว้นะคะ”
“ไม่ได้ไม่ได้ พวกเรารับไม่ได้จริงๆ แพงเกินไปแล้ว” คุณแม่ปารวีพูดอย่างหนักใจ
สองสามวันก่อนตอนที่ปาจรีย์นำของมาให้ ตอนแรกพวกเขายังไม่รู้ราคา รพีเป็นคนบอกราคากับพวกเขาเอง
พอรู้ว่าของที่วารุณีให้ปาจรีย์นำกลับมา ราคาหลายแสน พวกเขาต่างก็ตะลึงไปหมด
สิ่งของพวกนี้ ราคาก็ต้องไม่ถูกแน่นอน ดังนั้นพวกเขาห้ามรับเด็ดขาด
วารุณีเห็นท่าทีที่ยืนหยัดของคุณแม่ปารวีและคุณพ่อประสิทธิ์ ก็วางถุงลงบนโต๊ะชา “คุณอาคุณน้า หนูเข้าใจความหมายของพวกท่านค่ะ แต่ว่าของพวกนี้สำหรับหนูแล้วไม่แพงจริงๆ ค่ะ อีกอย่างไม่ใช่หนูให้พวกท่านคนเดียวค่ะ มีสามีหนูด้วย สามีหนูขอบคุณพวกท่านที่รักหนูเอ็นดูหนูขนาดนี้ ดังนั้นก่อนที่หนูมาเขาก็บอกแล้วว่า ต้องให้พวกท่านรับไว้ อีกอย่างหนูเอากลับไปก็ยากใช่ไหมคะ?”
“นี่……” คุณพ่อประสิทธิ์และคุณแม่ปารวีฟังคำพูดของเธอแล้ว ก็สบตากัน
สุดท้ายคุณพ่อประสิทธิ์พยักหน้า ยิ้มกับวารุณี “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นของพวกเราก็รับไว้ วารุณี ขอบใจสองสามีภรรยาหนูมากนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะคุณอาคุณน้า หนูกับลูกสองคน และแม่หนู คงมีชีวิตอยู่ไม่รอดแน่นอนค่ะ” นัยน์ตาของวารุณีมีความคิดถึงผ่านไป
ไม่ทันได้รู้ตัวคุณแม่ก็เสียชีวิตไปครึ่งปีแล้ว
“ไม่ใช่เรื่องอะไรเลย นี่ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเราควรทำ คนเกิดมาบนโลก ก็ต้องช่วยเหลือกัน” คุณแม่ปารวีนั่งลง
วารุณีพยักหน้า “คุณน้าพูดถูกค่ะ”
“พอแล้วตาเฒ่า ไปหั่นผลไม้ให้วารุณี” คุณแม่ปารวีตบไหล่ของคุณพ่อประสิทธิ์แล้วพูด
คุณพ่อประสิทธิ์ตอบกลับ หันหลังแล้วเข้าไปในครัว
วารุณีมองสำรวจห้องรับแขก ถามขึ้นว่า “จริงด้วยค่ะคุณน้า ปาจรีย์ล่ะคะ? เธอไม่อยู่บ้านเหรอคะ?”
คุณแม่ปารวีเติมชาให้เธอ “เธอออกไปเดินตลาดกับรพีแล้ว”
“รพี?” วารุณีสงสัย “คือใครคะ?”
คุณแม่ปารวียิ้ม “คือเด็กเพื่อนบ้านของบ้านจิรดำรงค์เราเมื่อยี่สิบปีก่อน ยัยเด็กนั่นชอบปาจรีย์ ดังนั้นจึงตั้งใจมาหาปาจรีย์”
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง” วารุณีพยักทันที