ตอนที่ 209-1 การพิพากษาของตระกูลจี
ยามฟ้าสาง แสงอรุณสายน้อยส่องทะลุชั้นเมฆบางตกต้องชายหลังคาปลายงอนของเรือนสี่ประสาน
เรือนสี่ประสานเริ่มทำงานวุ่นวาย พ่อครัวหยางต้มน้ำในหม้อจนเดือด แล้วหยิบไป่เหอกับเม็ดบัวใส่ลงไปในถ้วย
ยวนยานรดน้ำดอกไม้ เชวี่ยเอ๋อร์ปัดกวาดเช็ดถู ทุกคนล้วนทำงานอย่างผ่อนคลาย บางครั้งก็สบตากันหนหนึ่งแล้วมองเห็นรอยยิ้มในดวงตาของอีกฝ่าย
ยวนยางแอบชี้ไปยังเรือนตะวันออกแล้ววาดมือวาดไม้
เชวี่ยเอ๋อร์ลอบหัวเราะ ส่ายหน้าแล้วก็วาดมือวาดไม้บ้าง
ยวนยางมองตัวเลขสามในมือของตนเอง แล้วมองเลขสองในมือของเชวี่ยเอ๋อร์ จากนั้นอ้าปากกว้างอย่างตกตะลึงยิ่งนัก
ลี่ว์จูเดินออกมาจากเรือนใต้ ขอบตาเป็นวงดำคล้ำ กระแอมเบาๆ
ยวนยางกับเชวี่ยเอ๋อร์รีบวางมือลง เอ่ยทักทายพี่ลี่ว์จูเสียงเบา เห็นนางหน้าตาซีดเซียว บนศีรษะแทบจะมีควันลอยออกมา จึงถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่านางนอนหลับสนิทดีหรือไม่
แน่นอนว่าย่อมหลับไม่สนิท เด็กซนทั้งสองคนตอนเย็นกินมากเกินไป พลังจึงล้นเหลือประหนึ่งฉีดเลือดไก่มา พวกเขากระโดดโลดเต้นไปมาบนเตียง วิ่งไปมาบนพื้น ต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋ก็ตะลุมบอนสู้กัน พอบอกให้นอนก็เรียกหามารดา ลี่ว์จูไม่กล้าไปเรียกให้ จึงต้องปล่อยให้เจ้าตัวน้อยทั้งสี่วิ่งวุ่น วุ่นวายจนสุดท้ายทุกคนก็หลับกองอยู่บนพื้น
ลี่ว์จูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าตัวน้อยทั้งสี่หลับไปตั้งแต่เมื่อใด ตัวนางเองทนไม่ไหวคอพับหลับอยู่บนเก้าอี้ไปก่อนแล้ว พอลืมตาขึ้นมาเจ้าตัวน้อทั้งสี่ก็นิ่ง ในห้องระเนระนาดเหมือนถูกปล้น เสี่ยวไป๋หมอบอยู่บนหน้าอกของนาง กรนไปพลางก็น้ำลายไหลย้อยไปด้วย ต้าไป๋ จิ่งอวิ๋น วั่งซูนอนพาดเกะกะอยู่บนพรมนุ่มบนพื้น ไม่ห่มผ้ากันสักคนแต่กลับไม่หนาวจนแข็ง ร่างกายยอดเยี่ยมนัก!
ลี่ว์จูอุ้มจิ่งอวิ๋นมาวางบนเตียง แต่ตอนจะอุ้มวั่งซูกลับพบว่าตนเองอุ้มนางไม่ขึ้นแม้แต่น้อย!
สุดท้ายของสุดท้ายก็ต้องปลุกพ่อครัวหยางขึ้นมา สองคนร่วมแรงกันจึงแบกลูกตุ้มน้อยขึ้นไปไว้บนเตียงสำเร็จ
หลังจากแบกเสร็จแล้ว แขนครึ่งท่อนของทั้งสองคนก็แทบจะพิการ…
“ข้าจะไปดูสักหน่อยว่าเจ้านายตื่นกันหรือยัง” ลี่ว์จูหาวหวอด เดินสะโหลสะเหลไปทางเรือนตะวันออก
ภายในเรือนตะวันออก เฉียวเวยสะลึมสะลือตื่นจากห้วงฝัน เพราะจำลูกน้อยสองคนได้ ดังนั้นต่อให้ง่วงจนแทบร้องขอชีวิตก็ยังถูกนาฬิกาชีวิตปลุกขึ้นมา
ระหว่างครึ่งหลับครึ่งตื่น เฉียวเวยฝันเรื่องหนึ่ง ฝันว่านางตื่นขึ้นมาแล้วขยับตัว แต่ต้องตกใจเมื่อพบว่าทั่วทั้งตัวเหมือนถูกล้อรถบดขยี้ ปวดร้าวจนนางรู้สึกเหมือนไม่ใช่ร่างกายของตนเอง
แน่นอนว่านั่นคือความฝัน ความจริงก็คือนางง่วงจนอยากร้องขอชีวิตก็จริง แต่นางไม่ปวดเอวไม่ปวดหลังสักนิด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง
ตอนนี้นางต่อยเสือร้ายให้ตายได้ด้วยมือเดียว
ใบหน้าของเจ้าสำนักเฉียวแดงระเรื่อกว่าเดิม
“ยังไม่อิ่มหรือ เจ้าสำนักเฉียว”
น้ำเสียงทุ่มต่ำทรงเสน่ห์ดังขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมกับรอยยิ้มหยอกล้อบางๆ เฉียวเวยได้ยินทั้งร่างก็หยุดชะงัก ดวงตาโตกะพริบแรงๆ สองสามทีแล้วหลับตาลง แสร้างทำเป็นหลับ
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ ตั้งแต่พริบตาที่นางลืมตาขึ้นมา เขาก็ตื่นแล้ว แอบเอาเปรียบเขาตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนนี้กลับคิดแกล้งทำเป็นหลับหรือ
ยิ่งไปกว่านั้นเขาอดกลั้นมานานถึงเพียงนี้ คืนเดียวจะชดเชยพอได้อย่างไรเล่า
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ!”
เสียงประหนึ่งมารร้ายดังขึ้นที่ประตู จีหมิงซิวชะงัก โน้มตัวลงมาห่มผ้าห่มให้เฉียวเวยจนมิด จากนั้นหยิบหน้ากากขึ้นมาสวม
วั่งซูวิ่งเท้าเปล่าเข้ามา นางตื่นขึ้นมาเพราะปวดฉี่ ตอนฉี่ก็นึกถึงถังหูลู่ที่ท่านพ่อสัญญาไว้ขึ้นมาได้ จึงหลับไม่ลงแล้ว “ท่านพ่อ! พี่สือชีกลับมาแล้วหรือยังเจ้าคะ ถังหูลู่ของข้าเล่า”
จีหมิงซิวตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “พี่สือชีออกไปซื้อแล้ว ประเดี๋ยวก็กลับมา เจ้ากลับไปห้องให้ลี่ว์จูเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวจะหนาว”
วั่งซูรู้สึกหนาวอยู่เล็กน้อยจริงๆ จึงคิดจะปีนเข้าไปในผ้าห่มของท่านพ่อท่านแม่อย่างที่ทำเป็นประจำ จีหมิงซิวรีบดึงนางไว้ “เมื่อคืนท่านแม่หลับไม่ค่อยสนิท อย่าเพิ่งปลุกนางเลย เจ้าไปหาพี่ชายเถอะ”
“ท่านพี่ยังหลับอยู่เลย!” วั่งซูพึมพำ เห็นท่านแม่นอนหลับสบายอยู่ในอ้อมแขนของท่านพ่อ ดวงตาก็เบิกโต “ท่านแม่เป็นผู้ใหญ่แล้วเหตุใดท่านจึงยังกอดท่านแม่นอนอีกเล่า”
“เพราะว่า…”
“เพราะท่านชอบท่านแม่มากใช่หรือไม่” วั่งซูขัดคำพูดของบิดา
จีหมิงซิวพยักหน้าอย่างรักใคร่
วั่งซูอิจฉานิดๆ เอียงศีรษะแล้วว่า “ท่านพ่อก็เคยกอดข้านอน ท่านพ่อชอบข้ามากเหมือนกันใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวลูบศีรษะน้อยของนาง “แน่นอน”
วั่งซูเบิกบานใจขึ้นมาอีกหน
อีกด้านหนึ่งลี่ว์จูเข้ามาในเรือนตะวันออก เห็นเจ้าตัวน้อยมายืนอยู่ที่นี่ ก็ตกใจจนหัวใจแทบจะเด้งออกมาจากคอ นางรีบร้อนกล่อมให้เจ้าตัวน้อยออกมา
เด็กๆ ตื่นแล้ว ทั้งสองคนอยากจะทำอะไรๆ กันอีกแทบจะเป็นไปไม่ได้
จีหมิงซิวปล่อยนางทั้งที่ยังรู้สึกไม่อิ่มหนำ เขาลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า ตอนที่อาบน้ำในห้องด้านข้างเสร็จเดินออกมา เฉียวเวยก็สวมอาภรณ์ด้วยความเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางวางหน้าขึงขังกล่าวอรุณสวัสดิ์ ตีหน้าเคร่งเดินเข้าไปในห้องด้านข้าง จากนั้นทำหน้าจริงจังเดินไปยังเรือนทิศใต้
จีหมิงซิวหลุดหัวเราะ
นอกห้องเยี่ยนเฟยเจวี๋ยมาถึงก็ส่งสายตาให้
จีหมิงซิวเข้าใจความหมายจึงก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ
ทั่วทั้งร่างของเขาแผ่ความรู้สึกปลอดโปร่งอารมณ์ดีออกมา เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอดไม่ไหวมองเขาเพิ่มสองสามหน เมื่อคืนวานใครบางคนคงจะสุขสมอารมณ์หมายจนหายอยากแล้ว ดวงตามีแต่ความรักหวานชื่น
จีหมิงซิวนั่งลง น้ำเสียงนิ่งสงบเย็นชาดังเช่นปกติ “เป็นเช่นไร สืบพบหรือไม่ว่าเป็นผู้ใด”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสำรวมสีหน้าแล้วตอบว่า “เจ้าหมอนั่นเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก อาวุธลับธรรมดาทำอันใดเขาไม่ได้ สือชีประมือกับเขา…ก็ยังปล่อยให้เขาหนีไปได้”
ความจริงบอกว่าหนีก็กล่าวเกินจริงไปเล็กน้อย คนผู้นั้นไม่เหมือนเผ่นหนีไปเพราะตกที่นั่งลำบาก แต่เหมือนจะไม่อยากตอแยกับพวกเขาแล้ว ดังนั้นจึงรีบผละตัวจากไปเสียมากกว่า
จีหมิงซิวเอ่ยว่า “คนที่หนีไปจากมือของสือชีได้มีไม่มาก เจ้าท่องอยู่ในยุทธภพมานานหลายปี มองออกหรือไม่ว่าวิชาที่เขาใช้เป็นวรยุทธ์ของพรรคใดสำนักใด”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยส่ายหน้า “ไม่ขอรับ”
จีหมิงซิวว่าหน้าตาย “ประสบการณ์ในยุทธภพไม่มากพอนะ จอมยุทธ์เยี่ยน”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเป่าหนวดถลึงตา หากมีหนวดล่ะก็นะ “ประสบการณ์ในยุทธภพของข้าไม่พอหรือ ท่านก็เรียกจีอู๋ซวงไปดูสิ ท่านลองดูว่าเขาจะช่วยท่านมองที่มาอะไรออกได้หรือไม่”
ความจริงแล้วเขาให้สือชีสาธิตกระบวนท่าที่คนผู้นั้นใช้ให้จีอู๋ซวงดูแล้ว แต่จีอู๋ซวงก็บอกที่มาของอีกฝ่ายไม่ถูกเช่นกัน เขากับจีอู๋ซวงรวมกัน แม้จะไม่อาจกล่าวได้ว่ารู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับวรยุทธ์ในยุทธภพ แต่แนวทางวรยุทธ์ของพรรคและสำนักต่างๆ ก็ไม่มีทางจำไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดฝีมือที่เหนือกว่าสือชีก็ยิ่งสมควรมาจากสำนักที่โดดเด่น ตัวอย่างเช่นสมาคมกระบี่ สำนักซู่ซินจงทำนองนั้น แต่แนวทางของสำนักใหญ่ในยุทธภพเหล่านี้ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรู้จักดีจนมิอาจจดีกว่านี้ได้อีกแล้ว ต่อให้หลับตาก็เดาที่มาได้
ทว่าคนชุดดำผู้นั้น ไม่มีร่องรอยกระบวนท่าจากสำนักที่พวกเขาสองคนคุ้นเคยแต่อย่างใด
“นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เขาไม่ใช่คนต้าเหลียงเสียหน่อย” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหาบันไดลงให้ตนเอง
“หนานฉู่” นิ้วมือของจีหมิงซิวที่วางอยู่บนโต๊ะเคาะเบาๆ “เจ้าติดต่ออี้เชียนอินสักหน่อย”
สำนักมารของอี้เชียนอินอยู่ที่หนานฉู่ หากอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือของหนานฉู่จริง อี้เชียนอินก็น่าจะมองที่มาออก
กลัวก็แต่ เขาจะไม่ใช่คนหนานฉู่เช่นกัน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคิดถึงเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ตามหลักแล้วอีกฝ่ายเป็นองครักษ์ของแม่ทัพน้อยมู่ก็สมควรเป็นยอดฝีมือจากหนานฉู่อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว แต่ไยต้องให้อี้เชียนอินตรวจดูซ้ำอีกรอบด้วยเล่า หากไม่ใช่เพราะนายน้อยกำลังตัดความเป็นไปได้ที่เขาจะเป็นคนหนานฉู่
“นายน้อย ท่านสงสัยว่าเขาไม่ใช่คนหนานฉู่หรือ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถาม
แววตาของจีหมิงซิวนิ่งสงบ “สำนักซู่ซินจงเหนือเชื่อมกับต้าเหลียง ใต้ติดกับหนานฉู่ พวกเขามีตำแหน่งสำคัญพอตัวในทั้งสองแคว้น นอกจากผู้อาวุโสสองสามคนในสำนักซู่ซินจงแล้ว ข้าก็คิดไม่ออกว่ายังจะมีผู้ใดสู้กับสือชีได้อีก”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเข้าใจในทันใด “อ้อ ท่านจะบอกว่าผู้อาวุโสสองสามคนนั้นออกจากการเก็บตัวฝึกฝนก่อนกำหนดหรือ”
จีหมิงซิวหันไปมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอย่างหมดคำจะพูด
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยผายมือ “ท่านไม่ได้หมายความเช่นนั้นหรือ”
จีหมิงซิวมองไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาเฉยชา “จวนเทพสงครามของหนานฉู่ติดต่อคบหากับชนเผ่าลึกลับ หนนี้ยังได้เพียงพอนเมฆาของชนเผ่าลึกลับมาตัวหนึ่ง เจ้าว่าเพียงพอนตัวนั้นผู้ใดเป็นคนมอบให้เขาเล่า”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองจีหมิงซิวอย่างโง่งม “ท่านก็บอกว่าชนเผ่าลึกลับไม่ใช่หรือ”
จีหมิงซิวใกล้จะถูกสติปัญญาของจอมยุทธ์เยี่ยนทำให้โมโหจนเลิกโมโหแล้ว “ผู้ใดในชนเผ่าลึกลับเล่า”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบหน้าซื่อ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ข้าไม่ใช่คนของจวนเทพสงครามสักหน่อย”
จีหมิงซิวไม่อยากคุยกับเขาแล้ว
“คงไม่ใช่คนชุดดำคนนั้นกระมัง” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโบกมืออย่างขบขัน ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ชะงักค้าง “เป็นเขาจริงหรือ เขามาต้าเหลียงทำอะไร แล้วยังมาตามสังหารท่านอีก”
คนชุดดำปรากฏตัวทั้งหมดสองหน แต่ละหนจีหมิงซิวล้วนบังเอิญอยู่ด้วย นั่นย่อมทำให้คนคิดว่าเขามาเพราะจีหมิงซิว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยฉงน “เหตุใดท่านจึงไปมีอริเป็นชนเผ่าลึกลับได้เล่า”
นี่ก็เป็นเรื่องที่จีหมิงซิวฉงนงงงวยเช่นกัน เขาทราบว่าตนเองมีศัตรูมากมาย แต่เขาไม่เคยไปหาเรื่องคนของชนเผ่าลึกลับมาก่อน หากจะบอกว่าเป็นกำลังเสริมที่จวนเทพสงครามเชิญมาก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่เงื่อนไขของการทำเช่นนี้ก็คือหนานฉู่คิดจะกลืนต้าเหลียง จึงลงมือกับขุนนางทรงอำนาจของต้าเหลียงก่อน เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะขนกำลังพลเช่นนี้ออกมาเพียงเพราะความขัดแย้งระหว่างสตรีสองนาง ศิษย์น้องรองไม่สำคัญถึงเพียงนั้น
หากต้องการจะลงมือกับเขาจริง หนทางที่ดีที่สุดคือลอบสังหาร แล้วถ้าคิดจะลอบสังหารเขาให้สำเร็จ ก็จำเป็นต้องสังหารสือชีกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก่อน แต่ดูจากสถานการณ์ที่เขากับทั้งสองคนประมือกันแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มีแผนการเช่นนั้น
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้เขายังไม่คิดจะสังหารตน
ไม่คิดจะสังหารตนแล้วเหตุใดจึงสะกดรอยตนเล่า คนที่เขาสะกดรอยใช่ตนหรือไม่
หากใช่ตน อีกฝ่ายมีจุดประสงค์อันใด
หากไม่ใช่ตน คนที่อีกฝ่ายสะกดรอยก็คือเฉียวเวยอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งแปลกเข้าไปอีก
เบื้องหลังเขาดีเลวก็ยังมีตระกูลจี คุณหนูตระกูลเฉียวคนหนึ่ง มีค่าอันใดให้ชนเผ่าลึกลับใส่ใจ
จีหมิงซิวตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจเอ่ยว่า “น่าเสียดายไห่สือซานไม่อยู่ ถ้าเขาอยู่ก็ดี ว่าแต่ว่าเขาไปนานขนาดนี้ เหตุไฉนยังไม่ส่งข่าวกลับมาอีก คงไม่ใช่ว่ามีข่าวมาแล้ว แต่พวกท่านปิดบังข้าหรอกกระมัง”
จีหมิงซิวมองเขาอย่างเฉยเมย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแค่นเสียงขึ้นจมูก “เหตุใดมองข้าเช่นนั้น พวกท่านไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้นครั้งแรกเสียหน่อย!”
เรื่องอะไรก็ปิดบังเขา แม้แต่ตอนนายน้อยไปหลับนอนกับผู้อื่นก็ปิดบังเขา!
นายน้อยรู้ความจริงเรื่องลูกแล้วก็อุบเงียบไม่บอกเขา!
ไม่ลองคิดดูเสียบ้างว่า หากไม่ใช่เพราะเขาหลุดปากไปตอนนั้น นายน้อยจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองไปไข่ทิ้งไว้ข้างนอก!
เจ้าพวกไม่รู้จักบุญคุณคน!
หนนี้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยใส่ร้ายจีหมิงซิวแล้ว จีหมิงซิวไม่ได้ข่าวจากไห่สือซานมานานแล้วจริงๆ หนสุดท้ายที่ได้ข่าวจากไห่สือซานก็คือก่อนหนานฉู่มาเยือนต้าเหลียงไม่นาน เขาทราบว่าไห่สือซานเดินทางออกทะเลไป แต่จวบจนวันนี้ผ่านมาครึ่งเดือนกลับเงียบหายไร้ข่าวคราว
“คงไม่ได้ถูกผู้อื่นจับไปแล้วหรอกนะ…” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลูบปลายคาง
จีหมิงซิวตวัดสายตาเย็นเฉียบไปหาทันควัน
ปากอัปมงคลของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเป็นที่เลื่องลือในยุทธภพ พูดเรื่องดีไม่เคยเป็นจริง พูดเรื่องร้ายเป็นจริงตลอด
เคยมีสำนักใหญ่ในยุทธภพแห่งหนึ่งเสียเงินทองมากมายสร้างหอชมจันทร์ขึ้นมาหลังหนึ่ง เขายืนอยู่บนหอ พูดออกมาลอยๆ ว่าหอหลังนี้แข็งแรงหรือไม่ วันใดวันหนึ่งคงไม่ถล่มลงมาหรอกนะ ผลปรากฏว่าไม่กี่วันต่อมาหอชมจันทร์ก็ถล่มลงมาจริงๆ
แล้วยังมีอีกหนหนึ่งเฟิ่งชิงเกอไปเปิดกิจการหอคณิกาที่หยางโจว เฟิ่งชิงเกอฝึกปรือวิชาเสน่ห์จนถึงขั้นล้ำเลิศแล้ว ผู้คนเรียกขานนางว่าเทพธิดาเม่ยอิน แม่นางที่ถูกสั่งสอนผ่านมือนาง แทบจะไม่มีผู้ใดไม่ทำให้บุรุษลุ่มหลงจนหัวทิ่มหัวตำ หอคณิกาของนางเปิดกิจการที่ใด กิจการเดียวกันที่นั่นล้วนต้องปิดตัว ไม่มีข้อยกเว้น ตอนหอคณิกาที่หยางโจวแห่งนั้นเปิดกิจการ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็เดินทางไปอุดหนุนด้วย พอเข้าประตูมาปุ๊บ เขาก็พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “แถวนี้มีแต่หอคณิกาทั้งนั้น เจ้ามาเปิดหอคณิกากองกันอยูที่นี่ไม่กลัวค้าขายไม่ได้หรือไร”
ล้อเล่นหรืออย่างไร หอคณิกาของเฟิ่งชิงเกอมีหรือจะค้าขายไม่ได้ ทุกครั้งนางก็เปิดกิจการกลางดงหอคณิกาทั้งนั้น แล้วทุกครั้งก็บีบจนผู้อื่นค้าขายไม่ได้ทุกครั้งไป ทว่าหนนี้ ไม่รู้ว่าเกิดโชคร้ายอันใดขึ้น หยางโจวเกิดโรคระบาด แม่นางคนหนึ่งในหอของนางติดโรคเข้า แต่ข่าวปิดไม่มิด เล็ดลอดออกไป หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีผู้ใดกล้ามาหอคณิกาของนางจริงๆ
เฟิ่งชิงเกอเปิดหอคณิกามาเนิ่นนานปานนี้ไม่เคยโชคร้ายเช่นนี้มาก่อน นางแค้นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยแทบตาย!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทราบว่าคนในยุทธภพรียกขานเขาว่าราชาแห่งองครักษ์เงา แต่กลับมิทราบว่าเทียบกับฉายาราชาแห่งองครักษ์เงา คนมากมายกว่านั้นเรียกขานเขาว่าเยี่ยนปากซวย
เยี่ยนปากซวยจะปากซวยอีกหนแล้ว จีหมิงซิวอยากไล่เขาออกไปจริงๆ
…
ในมหาสมุทรอันไกลโพ้น หมอกหนาเวิ้งว้าง ไห่สือซานนำกองเรือแล่นฝ่าหมอกพร่ามัว เขาสืบอยู่นานจนในที่สุดก็สืบพบว่าร่องรอยของคนผู้นั้นในตอนนั้น คนผู้นั้นล่องแม่น้ำออกมายังทะเล ไห่สือซานค้นหาตามเกาะแต่ละแห่ง เรื่อยมาจนถึงชายแดนของต้าเหลียง หากพ้นจากเกาะแห่งนี้ไป ถัดไปด้านนอกอีกก็ไม่ใช่เขตทะเลของต้าเหลียงแล้ว
โจรสลัดในทะเลมีมากมาย ไห่สือซานจ้างวานทหารเรือที่เก่งกาจมากองหนึ่ง
ระหว่างทางพบโจรสลัดอยู่หลายหนจริงดังคาด แต่พวกเขาล้วนถูกกองเรือไล่กระเจิงไป
ทว่าแม่ทัพของกองเรือก็สละชีพอย่างมีเกียรติในการต่อสู้หนหนึ่งกับโจรสลัดที่มาโจมตีไปเสียแล้ว คนที่เหลืออยู่ล้วนมีแต่พวกโง่เขลากล้ามเนื้อใหญ่โตแต่สมองลีบ แม้แต่ทิศทางในทะเลยังแยกไม่ออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการบอกเขาว่าด้านหน้าเป็นเกาะอะไร
ไห่สือซานดันทุรังขึ้นเกาะ แต่เดิมคิดว่าจะถือโอกาสพูดคุยกับคนสักหน่อย เขาเพียงมาสืบข่าวเท่านั้น ไม่ได้มาจุดไฟปล้นชิง ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ ผู้คนบนเกาะไม่รู้ว่าพูดภาษาอันใด ไห่สือซานผู้ชำนาญภาษาถิ่นหลายสิบภาษายังมึนงงฟังไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว!
คนกลุ่มนั้นเห็นไห่สือซานพาทหารเรือผู้สวมชุดเกราะเต็มยศมาด้วยกองหนึ่ง ก็คิดว่าไห่สือซานจะมาปล้นเกาะ จึงพากันตะโกนโหวกเหวกเรียกพรรคพวกมาสังหารไห่สือซาน
ทหารเรือของไห่สือซานมิใช่พวกกินผักหญ้า พวกเขาตีชาวบ้านเจ้าของเกาะกลุ่มนั้นจนแตกกระเจิง
ตอนที่ไห่สือซานคิดว่าตนเองชนะแน่แล้วนั่นเอง ทันใดนั้นก็มีเรือเล็กลำหนึ่งมาเทียบชายฝั่ง นักรบหญิงร่างกายกำยำ ไหล่หนาเอวล่ำ สวมเสื้อหนังสัตว์ เท้าหุ้มด้วยรองเท้าหนัง ไว้ผมยาวห้าคนกระโดดลงมาจากบนเรือ
นักรบหญิงวิ่งตึงตังมาทางด้านนี้
บนผืนดินต่อสู้ตะลุมบอน วิหคตกใจหนีกระเจิง น้ำทะเลคลื่นโถมบ้าคลั่ง พสุธาสั่นไหวขุนเขาโยกคลอน สายลมกรีดร้อง เกลียวคลื่นครวญคราง มหาสมุทรประหนึ่งจะสะเทือนไหว กองทัพเรือทั้งกองถูกตีจนล้มระเนระนาด!
ไห่สือซานเห็นสถานการณ์ท่าจะแย่จึงชักเท้าวิ่งหนี!
เขาวิ่งขึ้นมาบนเรือเล็กที่ใช้ในยามฉุกเฉินลำหนึ่ง เรือเล็กลำนี้ถูกออกแบบมาพิเศษยิ่งนัก ใบพายหนึ่งใบเทียบได้กับแรงของสามใบพาย ตามหลักแล้วสมควรหนีรอด
ทว่าในเวลานี้เอง ผิวทะเลกลับมีลมอัปมงคลสายหนึ่งพัดมา พัดจนไห่สือซานจามฮัดชิ้วอย่างแรง!
จามหนนี้รุนแรงนัก ร่างของไห่สือซานสะท้านจนเรือเอนวูบ จากนั้นพลิกคว่ำลงกลางทะเล…
พริบตาที่ถูกนักรบหญิงลากขึ้นมาบนฝั่ง ไห่สือซานคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “เยี่ยนเฟยเจวี๋ย เจ้าคนบัดซบเจ้ากำลังแช่งข้าอยู่ใช่หรือไม่…”
…