บทที่ 763 อายุเก้าแสนปี

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 763 อายุเก้าแสนปี

ณ แดนต้องห้ามอันธการ บนเกาะโดดเดี่ยวที่ล่องลอยอย่างสงบแห่งหนึ่ง

บนเกาะมีนักพรตเต๋าห้าคนนั่งสมาธิอยู่ ในกลุ่มนั้นมีมนุษย์ถ้ำชิงเฟิงที่เคยไปเยือนมรรคาสวรรค์มาก่อนหน้านี้ด้วย

มนุษย์ถ้ำชิงเฟิงลืมตาขึ้น เอ่ยว่า “ทุกท่าน พวกเราจากไปกันเถอะ อยู่ที่มรรคาสวรรค์ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์”

นักพรตเต๋าที่เหลือลืมตาขึ้น

นักพรตเต๋าคนหนึ่งแค่นเสียงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าบอกไปแต่แรกแล้ว ไม่ควรมาเลย มรรคาสวรรค์มีเทพมารฟ้าบุพกาลนั่งแท่นปกครองอยู่ เทพมารอนธการและเทพมารฟ้าบุพกาลเป็นศัตรูกันตามธรรมชาติ หากถือกำเนิดขึ้น ต้องถูกเทพมารฟ้าบุพกาลตนนั้นที่อยู่ในมรรคาสวรรค์เพ่งเล็งแน่ เมื่อถึงเวลานั้นต้องเกิดความเคลื่อนไหวแน่นอน จำเป็นต้องให้พวกเราจับตามองตลอดเสียที่ไหน”

นักพรตเต๋าคนอื่นๆ ก็เปิดปากเอ่ยขึ้นเช่นกัน

“ใช่แล้ว! เทพมารฟ้าบุพกาลตนนั้นจัดการดวงจิตมหามรรคต่อเนื่องกันถึงสองราย ซ้ำยังสังหารอริยะมหามรรคไปสิบสี่ราย เรียกได้ว่าเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลที่แข็งแกร่งที่สุด”

“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ พวกเราไปตั้งอาณาเขตเต๋าของตัวเองได้พอดี ไม่จำเป็นต้องกลับไปที่แดนบรรพกาลอีก”

“ถูกต้อง ดวงจิตปฐมภพถูกบรรพชนเต๋าข่มขวัญจนใจฝ่อ ระแวงเกินไป พวกเราไม่ต่างไปจากตัวหมากของเขาเลย เป็นตัวหมากที่เขาส่งมาหยั่งเชิงมรรคาสวรรค์”

“จะล่วงเกินดวงจิตปฐมภพเข้าหรือไม่”

“กลัวอันใดเล่า! บรรพชนเต๋าเพียงหายตัวไป มิได้ดับสูญ คาดว่าดวงจิตปฐมภพคงไม่กล้าหนีออกมาจากแดนบรรพกาลหรอกกระมัง”

เหล่านักพรตเต๋าพูดคุยกัน ความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ล้วนต้องการจากไป

กิตติศัพท์การต่อสู้ของหานเจวี๋ยเกรียงไกรเกินไป ว่ากันตามจริงแล้ว พวกเขาไม่ได้กล้าไปยั่วยุเลย นี่คือสาเหตุที่พวกเขาลังเลไม่กล้าแทรกซึมเข้าสู่มรรคาสวรรค์

นักพรตเต๋าร่างสูงใหญ่ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มจ้องมองมนุษย์ถ้ำชิงเฟิง เอ่ยถามว่า “ลองเอ่ยมุมมองที่เจ้ามีต่อเทพมารฟ้าบุพกาลตนนั้นมาหน่อยเถอะ”

มนุษย์ถ้ำชิงเฟิงเอ่ยว่า “คนผู้นี้เหี้ยมโหด ทว่าไม่กระหายเลือด เขามีทีท่าเป็นอริต่อฟ้าบุพกาลอย่างแรงกล้า ข้าเพิ่งไปถึงได้ไม่นานก็ถูกเขาขับไล่แล้ว อีกอย่างหนึ่งเขาเคารพยกย่องบรรพชนเต๋าอย่างยิ่ง ยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้อีกข้อหนึ่งว่าบรรพชนเต๋าจะเป็นผู้สนับสนุนของเขา

“ในช่วงที่ผ่านมานี้ ข้ารับตัวผู้บำเพ็ญมรรคาสวรรค์ไว้ตลอด ทำความเข้าใจพัฒนาการในช่วงหลายแสนปีที่ผ่านมาของมรรคาสวรรค์ พบว่าหลังจากบรรพชนเต๋าหายตัวไป มรรคาสวรรค์เริ่มล่มสลาย ถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเล่นงานบงการได้ง่ายๆ จนกระทั่งอริยะสวรรค์เกรียงไกรผงาดขึ้นมา เกรงว่าเทพมารฟ้าบุพกาลตนนี้จะถูกบรรพชนเต๋าส่งมาพิทักษ์มรรคาสวรรค์

“ทันทีที่พวกเราแทรกซึมเข้าไป อาจมิได้ล่วงเกินเพียงอริยะสวรรค์เกรียงไกรรายนั้น แต่รวมถึงบรรพชนเต๋าด้วย”

สีหน้าของนักพรตเต๋าร่างสูงใหญ่เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวคล้ำสลับกันไปมา

ผ่านไปสักพัก

นักพรตเต๋าร่างสูงใหญ่เอ่ยขึ้นว่า “ตกลง เช่นนั้นก็ล่าถอยเถิด พวกเราเก้าพรตพยับม่วง มิใช่สุนัขรับใช้ของดวงจิตปฐมภพ ไม่จำเป็นต้องรนหาที่ตายเพื่อดวงจิตปฐมภพ”

อริยะคนอื่นๆ โล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก

พวกเขาจากไปทันที

….

นับตั้งแต่ใช้หนังสือยอดชะตา หานเจวี๋ยพยายามฝึกบำเพ็ญอย่างสุดกำลัง หวังช่วงชิงอายุขัยที่เสียไปกลับมาอย่างเต็มที่

ขอเพียงเขาทะลวงขั้นได้ อายุขัยที่เสียไปก็ไม่นับว่าเป็นอันใดเลย

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หนึ่งแสนปีต่อมา

[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุครบเก้าแสนปีบริบูรณ์ ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง ออกจากการปิดด่านทันที ประกาศศักดาแห่งเทพมารอนธการ ปลุกปั่นให้เกิดมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ จะได้รับโอกาสในการยกระดับอาณาเขตเต๋าหนึ่งครั้ง]

[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ หลีกห่างจากข้อพิพาท จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]

เป็นแบบเดียวกับตอนอายุครบแปดแสนปี ตัวเลือกแรกล้วนเป็นการยกระดับอาณาเขตเต๋า

หานเจวี๋ยแลกเปลี่ยนอายุขัยเพื่อทำให้สรรพสิ่งคิดว่าเขาคือเทพมารฟ้าบุพกาล แล้วจะออกไปประกาศศักดาเทพมารอนธการได้อย่างไร

เขาเลือกตัวเลือกที่สองอย่างเงียบเชียบ

ครั้งนี้จะมียอดสมบัติชั้นเลิศโผล่ออกมาอีกหรือไม่

[ยินดีด้วยท่านได้รับยอดสมบัติฟ้าบุพกาล…มุกหทัยอวโลกิเตศวร]

[มุกหทัยอวโลกิเตศวร: ยอดสมบัติฟ้าบุพกาล ยอดสมบัติที่ถือกำเนิดขึ้นหลังจากปรากฏโลกนับพันในฟ้าบุพกาล เป็นยอดสมบัติดวงชะตาที่รวบรวมพลังจากโลกา สามารถป้องกันการโจมตีจากระดับมหามรรคได้

ยอดสมบัติสายป้องกันอีกแล้วหรือ

ถึงแม้หานเจวี๋ยจะมิได้ตื่นเต้นยินดี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวัง

เขานำมุกหทัยอวโลกิเตศวรออกมาเริ่มตีตรามันทันที

มุกหทัยอวโลกิเตศวรมีทั้งหมดสิบแปดเม็ด สีสันก็แตกต่างกันไป เชื่อมต่อร้อยเรียงกันเป็นวง

แปดสิบปีต่อมา เขาทำให้มันจดจำเจ้าของได้สำเร็จ

มุกหทัยอวโลกิเตศวรสิบแปดเม็ดแยกตัวออกจากกัน บินว่อนอย่างรวดเร็ว หมุนวนรอบตัวหานเจวี๋ย บางครั้งก็เชื่อมต่อกันเป็นวงกลม บางครั้งก็แปรเป็นผังภาพอย่างอื่น ราวกับการเปลี่ยนแปลงของโลกา

หานเจวี๋ยนำศิลาก่อวิญญาณออกมา คัดเลือกปราณเทพมารมากลุ่มหนึ่งแล้วเริ่มผสานรวม

หลังจากนั้น หานเจวี๋ยมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง ปล่อยเทพมารวารีแช่มช้อยที่สร้างขึ้นเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนออกมา ให้มู่หรงฉี่มารับตัวไป

อู้เต้าเจี้ยนมองหานเจวี๋ย ถามด้วยความอยากรู้ “เหตุใดท่านถึงสร้างเทพมารฟ้าบุพกาลขึ้นได้อย่างต่อเนื่องเช่นนี้”

หานเจวี๋ยเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ไม่เอ่ยตอบ

ลี่เหยากล่าวขึ้นมา “อย่าถามเรื่องที่ไม่สมควรถาม”

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ถูกต้อง รู้มากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีต่อตัวเจ้า บางครั้งต่อให้เจ้าไม่อยากพูด แต่ตัวตนเหนือชั้นเหล่านั้นก็สามารถจับความทรงจำในสมองของเจ้าได้ เจ้าคงไม่อยากถูกบังคับให้ต้องทรยศข้าในภายภาคหน้ากระมัง”

อู้เต้าเจี้ยนส่ายหน้าทันที

หานเจวี๋ยหัวเราะ จากนั้นก็กลับไปที่อาณาเขตเต๋าหลัก

อู้เต้าเจี้ยนร้องจุ๊ๆ พลางกล่าวขึ้นมา “บนตัวนายท่านมียอดสมบัติมากมายนัก ไม่ทราบเช่นกันว่าไปได้มาจากไหน มิใช่ว่าเขาไม่ออกไปไหนเลยหรอกหรือ”

มุกหทัยอวโลกิเตศวรมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา

ลี่เหยาเอ่ยอย่างสงบราบเรียบ “เจ้าแค่คิดว่าไม่ออกไปเท่านั้น ตัวตนระดับเขา ไม่จำเป็นต้องออกโรงเองเลย มีวิธีการมากมายที่สามารถออกสู่ฟ้าบุพกาลเพื่อเสาะหาสมบัติวิเศษโดยตรงได้”

อู้เต้าเจี้ยนได้ฟังก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล

….

หานเจวี๋ยนั่งบนแท่นบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา

สมบัติวิเศษที่เขาได้มาในกาลก่อนเก็บไว้ในระบบก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ มิสู้มอบให้ศิษย์ไปจะดีกว่า

อืม ต่อไปค่อยหาโอกาสมอบให้แล้วกัน

หานเจวี๋ยคิด จากนั้นหลับตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อ

เขาเริ่มตั้งตารอรางวัลทางเลือกเมื่ออายุครอบหนึ่งล้านปีแล้ว

เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า

เจ็ดหมื่นปีผ่านไปในชั่วพริบตา

ในวันนี้ เสียงของจอมอริยะเสวียนตูแว่วเข้าสู่หูหานเจวี๋ย “สหายเต๋าหานโปรดมาที่ตำหนักเอกภพด้วย”

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น กวาดจิตศักดิ์สิทธิ์ออกไปยังชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ไม่มีกลิ่นอายของศัตรูผู้แข็งแกร่ง

เขาไปที่ตำหนักเอกภพ

เป็นเช่นเดียวกับที่ผ่านมา หลังจากหานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้น จอมอริยะเสวียนตูถึงได้ถ่ายทอดเสียงหาอริยะมรรคาสวรรค์รายอื่นๆ

เทพสูงสุดหนานจี๋ เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย มหาจักรพรรดิเซียว เทพสูงสุดอู๋ฝ่า ฉิวซีไหล ฟางเหลียง หวงจุนเทียน จิ้นเสิน ผานซิน สวีตู้เต้า ซูฉี หลี่ไท่กู่ บรรพชนพุทธเบิกนภา จั้งกูซิงและหลงเฮ่าทยอยมาถึง

“เรื่องแรกที่จะพูดคือ มรรคาสวรรค์มีตำแหน่งอริยะเพิ่มมาอีกหนึ่งที่ พวกท่านคิดเห็นว่าอย่างไร” จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยถาม

ถึงแม้จะไม่จำเป็นต้องใช้ปราณม่วงอนธการแล้ว แต่หากครึ่งอริยะระยะสมบูรณ์คิดจะสำเร็จเป็นอริยะก็ยังคงยากเย็นยิ่งกว่าปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าอริยะ ดังนั้นอำนาจตัดสินใจจึงอยู่ในมืออริยะ

เหล่าอริยะต่างเริ่มแนะนำคนของตน

หานเจวี๋ยเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู

[จอมเทพข่งเซวี่ยสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทพมารต้องสาปศัตรูคู่อาฆาตของท่าน]

[หานทั่วบุตรชายของท่านได้ครอบครองอาวุธเทพฟ้าบุพกาล พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[ฉู่ซื่อเหรินศิษย์ของท่านเข้าสู่แม่น้ำดวงชะตาฟ้าบุพกาล พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[หานอวี้เชื้อสายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

[หวงจุนเทียนสหายของท่านข้ามผ่านห้วงกาลเวลา เผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

[เจ้าชะตาอันธการศัตรูคู่อาฆาตของท่านฝึกฝนพลังวิเศษแห่งกรรม]

….

หานเจวี๋ยเหลือบมองหวงจุนเทียน คนผู้นี้ดูไม่เหมือนคนได้รับบาดเจ็บสาหัสเลย

กลับเป็นผานซินที่ท่าทางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เมื่อไล่อ่านลงไป พบว่าเจ้าชะตาอันธการเรียนรู้พลังวิเศษแห่งกรรม คงมิใช่ว่าทำไปเพื่อซุ่มสาปแช่งกระมัง

………………………………………………………………