บทที่ 611-2 เผยธาตุแท้ (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 611-2 เผยธาตุแท้ (2)

ครู่ต่อมา ประตูห้องของนางก็ถูกผลักเปิดออก ปรากฏเงาดำปริศนาพุ่งเข้ามา!

กู้จิ่นอวี๋สะดุ้งลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วมองอีกฝ่ายด้วยความหวาดกลัว “เจ้าเป็นใคร”

อีกฝ่ายไม่พูดอะไร ก่อนจะขยับร่างออกไปทางด้านข้างเพื่อเปิดตัวคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“ข้าเอง”

เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น

“เหยียนเอ๋อร์ ดึกป่านนี้แล้ว เจ้าพาคนมาที่ห้องของข้าด้วยเหตุใด” กู้จิ่นอวี๋ยืนตะลึงพร้อมกับเอ่ยทักทายคนคุ้นเคย

ดูเหมือนร่างกายของเขาจะฟื้นฟูได้ดีขึ้นมาก ไม่เพียงแต่รอดพ้นจนผ่านอายุสิบห้ามาได้ แถมยังดูกระปรี้กระเปร่ามากกว่าแต่ก่อน

กู้เหยี่ยนเลิกคิ้วและมองไปที่กล่องและกล่องเครื่องประดับในห้องแล้วเอ่ย “ครั้งหนึ่งข้ากับเจ้าเคยเป็นพี่น้องกัน ข้าจะมาช่วยเหลือเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะได้ไม่มากล่าวหาข้าว่าเอาแต่เข้าข้างเจียวเจียว”

กู้จิ่นอวี๋มองเขาด้วยสีหน้ามึนงง

กู้เหยี่ยนยกนิ้วส่งสัญญาณให้องครักษ์คนแรกที่ยืนอยู่ด้านหลังกับองครักษ์อีกคนที่เฝ้าประตู แล้วเอ่ย “เดี๋ยวพวกเจ้าพาพี่สาวข้าเดินทางออกนอกเมือง แสดงตรานี้ที่ไทเฮาให้มาเพื่อผ่านประตูเมือง”

กู้จิ่นอวี๋ตกใจกับประโยคแรกจนไม่ทันได้ตกใจกับประโยคที่สองที่เขามีตราของไทเฮาอยู่ในมือ

“เจ้า…”

“อะไรกัน ดีใจจนพูดไม่ออกเหรอ อย่าเป็นแบบนี้นะ ข้าเคยรังแกเจ้ามาตลอด มันเป็นความผิดข้าเอง วันนี้ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อชดเชยให้เจ้า แถมข้ายังเตรียมเบี้ยไว้ให้เจ้าด้วย ถ้าเจ้ารู้จักใช้มันอย่างประหยัดก็น่าจะรอดไปจนถึงชายแดนได้”

ขณะที่เขาพูดก็หยิบเงินห้าสิบตำลึงออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้องครักษ์คนแรก

องครักษ์รับเบี้ยมาจากนั้นยัดลงในกล่องเครื่องประดับของกู้จิ่นอวี๋อย่างชาญฉลาด

ห้าสิบตำลึง…เงินเท่านี้สำหรับกู้จิ่นอวี๋ยังซื้อผ้าผืนนึงไม่ได้ด้วยซ้ำ

“เหยี่ยนเอ๋อร์ นี่เจ้า…” กู้จิ่นอวี๋เอ่ยด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ

กู้เหยี่ยนเห็นดังนั้นจึงเอ่ยเร่งนางอย่างเหลืออด “เร็วเข้าสิ ยาสลบออกฤทธิ์ได้ไม่นานหรอกนะ ประเดี๋ยวพวกเขาคงจะตื่นแล้ว หากท่านพ่อรู้เรื่องเข้าเจ้าจะหนีออกไปไม่ได้แล้วนะ!”

“ขอรับ!”

องครักษ์คนแรกเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ากู้จิ่นอวี๋ “คุณหนูรอง ขออภัยด้วยขอรับ!”

“พวกเจ้าจะทำอะไรน่ะ” กู้จิ่นอวี๋หน้าซีด

ไม่พูดพร่ำทำเพลง องครักษ์ก็ช้อนร่างกู้จิ่นอวี๋ขึ้นมาพาดไว้ที่หัวไหล่

ส่วนองครักษ์อีกคนก็รับหน้าที่ถือกล่องสัมภาระ

“เหยี่ยนเอ๋อร์! เหยี่ยนเอ๋อร์!” กู้จิ่นอวี๋ร้องเสียงหลง

“วางใจเถอะน่า องครักษ์ของข้าฝีมือดีกันทุกคน ไม่ถูกทหารยามของจวนจับได้อย่างแน่นอน เจ้าหนีออกไปกับพี่เขยรองได้อย่างสบายใจแล้วนะ” กู้เหยี่ยนเอ่ยพลางคลี่ยิ้ม

“เหยี่ยนเอ๋อร์!” กู้จิ่นอวี๋ร้อง

“เจ้าหยุดเรียกข้าได้แล้ว เดี๋ยวท่านพ่อก็ได้ยินเอาหรอก หรือเจ้าจะเอาแบบนั้น จะเรียกท่านพ่อมาอย่างนั้นรึ แย่จัง ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้จริงจังกับพี่เขยรองเลยสินะ”

กู้จิ่นอวี๋อธิบาย “หากท่านพ่อรู้เข้า…เขาจะลงโทษเจ้า…ข้าน่ะไม่เป็นไรหรอก…แต่เจ้า เจ้าจะทำอย่างไร ข้าไม่อยากให้เจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้…บอกพวกเขาให้วางข้าลงซะเถอะ…เดี๋ยวข้าหาทางออกเอง…”

“คนที่ท่านพ่อทำร้ายไม่ลงมากที่สุดก็คือข้านะ คนอย่างเขาน่ะต่อให้ลงโทษเสี่ยวเป่าได้ก็ไม่มีทางทำร้ายข้าได้เด็ดขาด เพราะอะไรรู้ไหม” กู้เหยี่ยนเลิกคิ้วขึ้น “เพราะข้าป่วยยังไงล่ะ”

กู้จิ่นอวี๋ “…”

“นั่นใคร!”

ทันใดนั้น เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากที่ไม่ไกลนัก

“เหยี่ยนเอ๋อร์ รีบหนีไป! ท่านพี่รองกำลังมาที่นี่แล้ว!” กู้จิ่นอวี๋พลันรู้สึกใจชื้นพลางรีบตะโกนบอกกู้เหยี่ยน

เสียงนั้นแทบจะดังไปถึงจวนของฮูหยินใหญ่แล้วด้วยซ้ำ

กู้เฉิงเฟิงเร่งฝีเท้าเข้ามาใกล้ พ่วงด้วยกู้เฉิงหลิน

สองพี่น้องพอได้เจอกับกู้เหยี่ยนและองครักษ์ของเขาที่กำลังแบกร่างของกู้จิ่นอวี๋ไว้บนบ่าก็ออกอาการตกใจ

“พวกเจ้ากำลังทำอะไรรึ” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยถาม

กู้จิ่นอวี๋รีบชิงตอบก่อนกู้เหยี่ยน “ท่านพี่รอง ช่วยพูดกับเหยี่ยนเอ๋อร์ที เขาต้องการพาข้าหนีออกจากจวน แต่ข้าไม่อยากให้เขาต้องลำบาก”

“หนีออกจากจวนงั้นรึ เกิดอะไรขึ้นเล่า” กู้เฉิงเฟิงมองไปทางกู้เหยี่ยนพลางทำท่าเหงื่อตก

“ก็พี่เขยรองเขาออกปากชวนนางไปที่ชายแดน ในเมื่อพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน ซ้ำนางไม่อยากละทิ้งเขาให้อยู่ตามลำพัง ก็เลยตัดสินใจหนีออกไปด้วย แล้วค่อยจัดงานแต่งกันที่ชายแดนในภายหลัง”

โดยปกติแล้วคนทั่วไปไม่อาจทำสิ่งที่เรียกว่าการหนีตามกันไปได้ จะทำให้ครอบครัวต้องอับอายและจะส่งผลอย่างมากต่อการแต่งงานของลูกหลานคนอื่นๆ

กู้เฉิงเฟิงขมวดคิ้วและคิดอยู่ครู่หนึ่ง “กู้เหยี่ยน สิ่งที่เจ้าทำนั้นไม่เหมาะสมจริงๆ ”

กู้จิ่นอวี๋ได้ยินยังนั้นก็เริ่มโล่งอก

ท่านพี่รองคงไม่เห็นด้วยสินะ

“เอาละ วางจิ่นอวี๋ลงเสีย” กู้เฉิงเฟิงสั่งองครักษ์

องครักษ์จึงหันไปขอความช่วยเหลือกับนายน้อย

พอเห็นนายน้อยพยักหน้า องครักษ์ก็ทำตามคำสั่งจากนั้นวางร่างของกู้จิ่นอวี๋ลงบนพื้น

ทันใดนั้น กู้เฉิงเฟิงก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อน “ในเมื่อพวกเราเป็นพี่น้องกัน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเองดีกว่า ข้าจะพาเจ้าออกจากเมืองเอง”

กู้จิ่นอวี๋ “…!!”

“ข้าเองก็อยากออกนอกเมืองเหมือนกันนี่นา” กู้เฉิงหลินเอ่ย

“เจ้าจะออกไปทำไม ดูตัวเองเสียก่อน เส้นผมงอกออกมาแล้วหรือไง” กู้เฉิงเฟิงเอ็ดคนเป็นน้องอย่างไม่สบอารมณ์

กู้เฉิงหลินถึงกับยกมือลูบศีรษะโล้นๆ ของเขาอย่างเศร้าใจ

“ท่านพี่รอง คือข้า…” กู้จิ่นอวี๋พูดในลำคอ

“เอาน่า ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว รีบไปกันเถอะ” กู้เฉิงเฟิงรีบตัดบท

ดวงตาของกู้จิ่นอวี๋เป็นประกายพร้อมกับเอ่ยขึ้น “พี่รอง…คือข้า… ข้าจะทำให้ท่านต้องตกที่นั่งลำบาก … ข้าเห็นแก่ตัวไม่ได้ … ข้าจะไปเอง … ข้าหาวิธีได้ …”

กู้เฉิงเฟิงเหลือบมองไปที่นาง พลางเอ่ย “น่าแปลกเสียจริงที่เจ้าดันมาคิดเป็นห่วงพวกเราในเวลานี้ ดูเหมือนว่าข้าคงมองเจ้าผิดมาโดยตลอด เจ้าไม่ใช่คนใจร้ายอย่างที่ข้าคิดเลยนี่นา วางใจเถอะ วิชาตัวเบาของข้าดีกว่าองครักษ์ของกู้เหยี่ยนแน่นอน ไม่มีใครจับได้อยู่แล้ว”

นี่เป็นประโยคที่ออกมาจากใจจริงของกู้เฉิงเฟิง

จากนั้นเขาก็คว้าเข้าไปที่ข้อแขนของกู้จิ่นอวี๋

“ไม่ใช่อย่างนั้น…ท่านพี่รอง…” คราวนี้กู้จิ่นอวี๋กำลังจะร้องไห้จริงๆ

“ท่านพี่รอง…ท่านพี่รอง…ท่านพี่ใหญ่!”

กู้จิ่นอวี๋เหลือบไปเห็นกู้ฉังชิงที่เพิ่งกลับเข้ามาที่จวนพอดี

“ท่านพี่ใหญ่มาที่นี่ได้อย่างไร” กู้เฉิงเฟิงย่นคิ้วแน่น

กู้ฉังชิงควบม้าเข้าไปใกล้พวกเขา สายตาของเขาจ้องมองไปทางจิ่วอวี๋ที่กำลังร้องไห้ไม่หยุด ก่อนจะเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น”

แล้วกู้เหยี่ยนก็จัดแจงเล่าเรื่องอีกครั้ง

กู้จิ่นอวี๋สะอื้นร่ำไห้พร้อมกับขอร้อง “ท่านพี่ใหญ่ พวกเขาไม่ได้ตั้งใจ ข้าจะไม่หนีไปแล้ว! ข้าจะเชื่อฟังท่านพ่อ! ท่านพี่อย่าโกรธพวกเขา! และได้โปรดอย่าบอกเรื่องนี้กับท่านปู่และท่านพ่อ ข้าเกรงว่าพวกเขาจะโดนลงโทษไปด้วย!”

ไม่มีใครกล้าทำอะไรกู้เหยี่ยนอยู่แล้ว ขณะที่กู้เฉิงเฟิงมักถูกลงโทษเป็นประจำ

“ท่านพี่รอง ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ!” กู้จิ่นอวี๋พูดทั้งน้ำตา “อย่าทำเรื่องโง่ๆ เพื่อข้าเลย! เอาเป็นว่าวันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย! ท่านพี่กลับไปพร้อมกับพี่ใหญ่เถิด! ข้า…ข้าทำไม่ลง ข้าไม่ควรลากพวกท่านมาลำบากเพื่อตัวเอง แม้ข้าจะไม่ใช่ลูกทางสายเลือด แต่ข้ารู้ดีว่ากินผลต้องรู้สำนึกบุญคุณของผู้ปลูก! พวกท่านพี่ทำดีกับข้ามาโดยตลอด จิ่นอวี๋ไม่มีอะไรจะตอบแทน เช่นนั้นข้าขอเลือกที่จะไม่ให้พวกท่านพี่ต้องตกที่นั่งลำบาก!”

กู้ฉังชิงขมวดคิ้วและมองไปที่ดวงตาบวมช้ำของกู้จิ่นอวี๋ “เจ้าเต็มใจที่จะติดตามจวงอวี๋เหิงไปยังชายแดนหรือไม่”

กู้จิ่นอวี๋สะดุ้งอีกครั้งพร้อมกับลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้นในใจ

“ขอแค่ได้เจอรักเดียว ที่จะไม่พรากจากไปไหน” กู้ฉังชิงไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ นานครั้งที่เขาจะเปิดเผยด้านที่อ่อนโยนออกมา กู้ฉังชิงถอนหายใจช้าๆ แล้วเอ่ย “เอาเถิด จวงอวี๋เหิง เป็นคนใจดี ซื่อสัตย์ เขาเป็นคนที่เจ้าสามารถไว้วางใจได้ตลอดชีวิต หากเจ้ายืนกรานที่จะแต่งงานก็จงอดทนหยัดต่อไปเถิด ส่วนข้าจะอธิบายให้ท่านพ่อเข้าใจเอง รับรองจะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจ”

กู้จิ่นอวี๋แทบจะสำลักกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน “เขา…เขากำลังจะออกเดินทางแล้ว…พรุ่งนี้ยามรุ่งสาง…”

คราวนี้กู้ฉังชิงขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม “เปลี่ยนวันมิได้รึ”

“ไม่ได้ ไม่ได้แล้ว! มันถูกกำหนดไว้แล้ว!” กู้จิ่นอวี๋ตอบ

“งานแต่งงานไม่ควรจะเร่งรีบเกินงาม” กู้ฉังชิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ “ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็เดินทางไปที่ชายแดนก่อน ครอบครัวของเขาก็อยู่ที่ชายแดนด้วย จัดงานท่ามกลางผู้หลักผู้ใหญ่น่าจะเหมาะสมกว่านะ”

กู้จิ่นอวี๋รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า!

“เอาละ เจ้าไปส่งจิ่นอวี๋ออกนอกเมืองก่อน” กู้ฉังชิงพูดกับกู้เฉิงเฟิง

สีหน้าของกู้จิ่นอวี๋เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือในทันที “ท่านพี่ใหญ่! ข้า ข้าไม่ไปแล้ว ข้าไม่อยากแต่งแล้ว!”

“ท่านพ่อไม่ถือโทษโกรธเจ้าหรอก เดี๋ยวข้าจะพูดกับเขาเอง” กู้ฉังชิงเอ่ย

จากนั้นกู้เฉิงเฟิงก็เตรียมช้อนร่างของกู้จิ่นอวี๋เหาะออกไป

ทันใดนั้น กู้จิ่นอวี๋ก็แผดเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนัก “ข้าไม่อยากแต่งงาน! ข้าไม่อยากแต่งกับเขา! ข้าไม่อยากไปลำบากที่ชายแดน! ข้าไม่อยากเป็นคนสามัญ!”

กู้ฉังชิงเลิกคิ้วขึ้นแล้วถามต่อ “ไหนเจ้าบอกว่ายอมแต่งกับเขาไง”

กู้จิ่นอวี๋ร้องไห้เสียงดัง “ที่ข้าพูดไปทั้งหมดมันคือคำโกหกทั้งเพ! ข้าจงใจพูดออกไปแบบนั้น! ที่ข้ายอมเล่นใหญ่จัดกระสัมภาระก็เพื่อให้ท่านพ่อตื่นตัว! เพราะข้ารู้ว่าท่านพ่อต้องไม่ยอมแน่นอน! ข้าน่ะ…ท่านพ่อ…อันจวิ้นอ๋อง”

กู้จิ่นอวี๋คร่ำครวญไปได้ครู่หนึ่ง ก็เจอเข้ากับท่านโหวกู้และอันจวิ้นอ๋องที่ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่

*******************