ตอนที่ 749 สนิทสนม

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 749 สนิทสนม

แม้แต่ภาพแกะที่มีลูกหลานเต็มเมืองบนศาลายังถูกทาสีอย่างดีจนมันวาว

นกกางเขนสีดำสี่ห้าตัวเกาะอยู่บนหลังคาของศาลา เมื่อเสิ่นไป่จ้งมองจากที่ไกลๆ เขาเห็นเพียงเงาสีดำของนกกางเขนเหล่านั้นกำลังสยายปีกส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีแดงส้ม

เสิ่นไป่จ้งไม่รู้ว่าตัวเองเดินตามบ่าวรับใช้ของตระกูลไป๋ไปนานเท่าใด เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดสนิทลง ไฟตรงระเบียงทางเดินของจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วค่อยๆ สว่างขึ้น เขาจึงเดินไปถึงหน้าห้องตำราของไป๋ฉีซาน

ใบหน้าของบ่าวรับใช้สองสามคนที่เฝ้าอยู่หน้าห้องตำราของไป๋ฉีซานสะท้อนแสงไฟจนกลายเป็นสีแดงอ่อน

เสิ่นไป่จ้งไม่ได้ถูกเชิญเข้าไปด้านใน เขาจึงได้แต่ยืนมองผ่านประตูเข้าไปด้านในเล็กน้อย เขารู้สึกว่าที่นี่มีความเกี่ยวข้องกับอดีตของเขา

เสิ่นไป่จ้งยืนมองลอดหน้าต่างที่เปิดอยู่เข้าไปด้านในห้องตำราอยู่ตรงกลางลานหญ้า เขามองเห็นรูปดอกเหมยแห่งคิมหันต์ที่แขวนอยู่บนกำแพงซึ่งอยู่ตรงข้ามประตูห้องโดยอาศัยแสงไฟริบหรี่ภายในห้อง เสิ่นไป่จ้งรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เขาก้าวเท้าหวังจะเดินเข้าไปด้านใน ทว่า ถูกบ่าวรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของจวนห้ามไว้เสียก่อน

เขายืนมองภาพดอกเหมยแห่งคิมหันต์ที่อยู่ภายใต้แสงไฟนิ่งอยู่ด้านนอกห้อง

‘ข้าไม่สามารถมอบภาพดอกเหมยแห่งคิมหันต์ให้เจ้าได้ แม้ฮูหยินของสหายไป่จ้งจะเป็นคนวาดภาพนี้ ทว่า สตรีในภาพคือฮูหยินของข้าไป๋ฉีซาน! สหายไป่จ้งขออย่างอื่นแทนเถิด เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ นานๆ สหายไป่จ้งจะมาเมืองหลวงที เจ้าพักอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง ข้าจะให้คนจัดที่พักให้เจ้า องครักษ์ส่วนใหญ่ของตระกูลไป๋ล้วนถอนตัวมาจากกองทัพไป๋ ข้าจะให้พ่อบ้านเหาเลือกคนมาพาเจ้าออกไปสำรวจเมืองหลวง เจ้าจะได้เลือกเครื่องประดับให้ฮูหยินของเจ้า ข้าจะเป็นคนออกเงินให้เอง เจ้าจะได้มีของฝากติดมือกลับไปฝากฮูหยิน ไม่ถือว่ามาเสียเที่ยว’

ในสมองของเสิ่นไป่จ้งปรากฏภาพของบุรุษหนุ่มหน้าตาใจดีคนหนึ่งขึ้นมา เขารู้สึกคุ้นเคยมาก ทว่า นึกไม่ออกว่าคนผู้นั้นคือผู้ใด รู้เพียงว่าเขาเคารพคนผู้นั้นมาก

‘ช่วงนี้คือช่วงทำไร่นา ฮูหยินของข้ายังเด็กจึงไม่ถนัดเรื่องเหล่านี้ ท่านแม่ของข้าก็อายุมากแล้ว ข้าต้องกลับไปช่วยท่าน อีกอย่างข้าจากมานานนับเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าเด็กซนรั่วไห่นั่นตั้งใจสอนชิงจู๋ดีหรือไม่…’

จู่ๆ เสิ่นไป่จ้งก็ยกมือขึ้นกุมหน้าอกแน่น เขานึกถึงความสุขตอนที่เอ่ยถึงฮูหยินที่ทำสิ่งใดไม่เป็นของตัวเองขึ้นมาได้…

ฮูหยิน…

ดูเหมือนเขาจะลืมเรื่องที่สำคัญมากๆ อย่างเช่นฮูหยินของตัวเองไป

‘ฐานะของเราแตกต่างกันแล้วมันเป็นเช่นไร! ข้าไม่เคยสนใจความสูงต่ำทางฐานะมาก่อน! ท่านอายุมากกว่าข้าแล้วมันเป็นเช่นไร ข้าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้! ท่านมีใจให้ข้าชัดๆ ข้ายินดีสละยศถาบรรดาศักดิ์ของตัวเองเพื่อท่าน เหตุใดท่านถึงไม่กล้าขอข้าแต่งงานกัน!’

เสิ่นไป่จ้งรีบเอื้อมมือไปจับเสาสีแดงเคลือบน้ำมันไว้ เขารู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิดออกมา

“ท่านอาจารย์!”

เมื่อเสิ่นชิงจู๋เข้ามาก็เห็นอาจารย์ของตัวเองใช้มือจับเสาแน่นด้วยใบหน้าเจ็บปวด บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านข้างรีบประคองอาจารย์ของนางเอาไว้แล้วตะโกนให้คนยกเก้าอี้มาให้

เสิ่นชิงจู๋พุ่งตัวเข้าไปผลักบ่าวรับใช้ชายออกอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่อีกต่อไป หญิงสาวมองไปทางเสิ่นไป่จ้งที่ผมขาวโพลนด้วยแววตาที่แดงก่ำ น้ำตาไหลอาบใบหน้า “ท่านอาจารย์ ข้าคือชิงจู๋เจ้าค่ะ!”

เสิ่นไป่จ้งเงยหน้าขึ้นจ้องไปทางเสิ่นชิงจู๋ด้วยแววตาแดงฉาน หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ

ใบหน้าของสตรีนามว่าเสิ่นชิงจู๋ตรงหน้าทับซ้อนกับใบหน้าของเด็กสาวที่ฝึกดาบสั้นอยู่กลางหิมะในความทรงจำของเขา เสิ่นไป่จ้งเม้มปากแน่น

เสิ่นชิงจู๋คุกเข่าลงตรงหน้าเสิ่นไป่จ้ง จากนั้นร้องไห้ออกมาราวกับเด็ก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “เหตุใดท่านอาจารย์จึงกลายเป็นเช่นนี้เจ้าคะ เหตุใดผมของท่านจึงขาวโพลนเช่นนี้ ท่านอาจารย์…”

เกี้ยวของไป๋ชิงเหยียนถูกวางลงบนพื้น ไป๋ชิงเหยียนจับมือของเจินหมิงลุกขึ้น จากนั้นเดินถือเตาอุ่นมือเข้าไปในห้องตำราของท่านพ่อ

เสิ่นไป่จ้งทำตัวไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าควรยื่นมือเข้าไปประคองให้เสิ่นชิงจู๋ลุกขึ้นหรือควรหันหลังวิ่งหนีไปจากที่นี่ดี ใจของเขาเต็มไปด้วยความสับสน

“ท่านอาจารย์!” เสิ่นชิงจู๋คลานเข่าเข้าไปด้านหน้าแล้วกอดเอวของเสิ่นไป่จ้งเอาไว้ จากนั้นร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจยิ่งกว่าเดิม “ชิงจู๋ทำผิดต่อท่าน ชิงจู๋ดูแลท่านอาจารย์แม่ไม่ดี ท่านอาจารย์แม่เสียใจที่ท่านอาจารย์จากไปแล้ว ท่านจึงตรอมใจตามไปด้วย…เสิ่นชิงจู๋ไม่ได้ดูแลท่านอาจารย์แม่ให้ดี ชิงจู๋ทำผิดต่อท่านอาจารย์ ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังแล้วเจ้าค่ะ!”

เสิ่นไป่จ้งได้ยินเช่นนี้จึงรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า เขาใช้มือข้างหนึ่งกุมหน้าอก มืออีกข้างกุมศีรษะของตัวเองเอาไว้ ดวงตาทั้งสองข้างแดงฉาน รู้สึกปวดร้าวราวกับถูกเข็มนับหมื่นทิ่มแทงลงในใจ เจ็บปวดจนหายใจไม่ออกราวกับว่าจะสิ้นใจในทันที

กลิ่นคาวเลือดพุ่งตรงไปยังสมอง เสิ่นไป่จ้งกระอักเลือดออกมา เขาเบิกตาโพลงจากนั้นหงายหลังล้มลงบนพื้น

“ท่านอาจารย์!”

บ่าวรับใช้รีบเข้าไปประคองร่างของเสิ่นไป่จ้งก่อนที่เขาจะล้มลงบนพื้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องอย่างตกใจของเสิ่นชิงจู๋

“รีบไปตามแม่นางหลูและท่านหมอประจำจวนมาเร็ว!” ไป๋ชิงเหยียนหันไปสั่งเจินหมิง

“เจ้าค่ะ!” เจินหมิงรีบวิ่งออกไปด้านนอก

“รีบประคองคนไปที่ห้องพักรับรองก่อน” ไป๋ชิงเหยียนสั่ง

เสิ่นชิงจู๋ช่วยประคองร่างของเสิ่นไป่จ้งไปยังห้องพักด้านข้างด้วยความร้อนรน

ไป๋ชิงเหยียนยืนถือเตาอุ่นมืออยู่ตรงระเบียงทางเดิน หญิงสาวมองไปยังท้องฟ้าที่มืดมิดพลางเอ่ยถามผู้ดูแลที่ยืนอยู่ด้านข้าง “คนของจวนหลี่กลับไปหมดแล้วหรือไม่”

“เรียนคุณหนูใหญ่ ยังอยู่ขอรับ…” ผู้ดูแลจวนตอบ

“ให้คนของจวนหลี่กลับไปก่อน บอกว่าข้าขอตัวเหล่าเวิงไว้ก่อน บอกให้พวกเขาไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะไม่ทำอันตรายเหล่าเวิง”

“ขอรับ” ผู้ดูแลรับคำแล้วเดินออกไปจากเรือน

เมื่อหลูหนิงฮว่าและหมอประจำจวนมาถึง คนหนึ่งตรวจชีพจรและจ่ายยา อีกคนทำหน้าที่ฝังเข็ม ไม่นานเสิ่นไป่จ้งจึงฟื้นขึ้น ทว่า สมองของเขาสับสนวุ่นวายไปหมด

เสิ่นชิงจู๋คุกเข่าเล่าเรื่องทั้งหมดให้เสิ่นไป่จ้งฟังทั้งน้ำตาอยู่ข้างเตียง

เสิ่นไป่จ้งมองดูเด็กสาวในความทรงจำที่มักทำแต่สีหน้าเย็นชา บัดนี้ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกคุ้นเคยและสนิทสนมที่เขาสัมผัสได้ไม่ใช่เรื่องโกหก

เขาพูดไม่ค่อยเก่ง ไม่รู้ว่าควรปลอบเด็กสาวที่กำลังเสียใจเช่นไรจึงทำได้เพียงเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้เด็กสาวอย่างอ่อนโยน

เสิ่นชิงจู๋ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม เหตุใดท่านอาจารย์ของนางจึงมีสภาพชราลงเช่นนี้ “ท่านอาจารย์ ท่านนึกออกแล้วหรือไม่เจ้าคะ นึกสิ่งใดออกบ้างหรือไม่เจ้าคะ”

ในสมองของเสิ่นไป่จ้งเต็มไปด้วยความสับสน

“ชิงจู๋! ให้อาจารย์ของเจ้าพักผ่อนก่อนเถิด ตอนนี้อาจารย์ของเจ้าคงยังนึกสิ่งใดไม่ออกหรอก” ไป๋ชิงเหยียนยืนมองเสิ่นไป่จ้งอยู่ข้างเตียง “ข้าจะบอกจวนหลี่ว่าเหล่าเวิงจะพักอยู่ที่จวนไป๋เป็นการชั่วคราว เจ้าอยู่ดูแลท่านอาจารย์ของเจ้าที่เมืองหลวงเถิด”

เสิ่นชิงจู๋หันไปมองไป๋ชิงเหยียนอย่างขอบคุณ “ขอบพระคุณคุณหนูใหญ่มากเจ้าค่ะ”

“ท่าน…” ดวงตาที่เสิ่นไป่จ้งมองไปทางไป๋ชิงเหยียนไหววูบเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “ท่านคือคุณหนูซู่ชิวใช่หรือไม่”

ไป๋ชิงเหยียนกำเตาอุ่นมือแน่น สีหน้าและแววตายังคงปกติ “ข้าไม่ใช่”