บทที่ 812 จุดจบ?
บทที่ 812 จุดจบ?
เสี่ยวถู่วถอนหายใจ นางตัดสินใจแล้วหันหลังกลับไปโค้งคำนับเขา “ฝ่าบาท ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เสี่ยวถู่วจะทุ่มเทให้กับพระองค์อย่างเต็มที่ ข้าจะมอบทุกอย่างของข้าให้กับพระองค์”
ซูอันหัวเราะ “คำพูดที่หวานหูมักไม่เพียงพอ การกระทำต่างหากที่เชื่อถือได้มากกว่า”
เสี่ยวถู่วมองดูเขาด้วยความหมั่นไส้และใบหน้าของนางฉายแววเอียงอายขณะที่ค่อย ๆ คุกเข่าลง
การหายใจของซูอันเร็วถี่ขึ้นทันที แม้ว่าทั้งสองคนจะร่วมรักกันมาแล้วมากมายหลายครั้ง แต่เขาไม่เคยเห็นนางมีความกระตือรือร้นในเชิงรุกขนาดนี้มาก่อน
ชายหนุ่มรู้ว่านางเป็นสายลับมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงไม่รั้งรอและสอนวิธีที่นางสามารถทำให้เขาพอใจได้หลายวิธี
ย้อนกลับไป แม้ว่าเสี่ยวถู่วไม่เคยปฏิเสธสิ่งที่เขาให้นางทำ แต่นางก็ไม่สามารถซ่อนความละอายในสายตาได้ หรือบางครั้งนางก็มอบคะแนนความโกรธแค้นให้กับเขาอีกต่างหาก
เขาค่อนข้างประหม่าเกี่ยวกับการปล่อยให้นางทำเรื่องแบบนี้มาก่อน เพราะกลัวว่านางจะหมดหวังและเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้น
แม้ว่าจะมีเพียงวิญญาณของเขาเท่านั้นที่เข้าสู่การทดสอบนี้ หากซูอันน้อยถูกกัดขาดจริง ๆ มันก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าร่างกายที่แท้จริงของเขาจะไม่ได้รับผลกระทบไปด้วย
สิ่งนี้คือเส้นแบ่งระหว่างความปีติยินดีและความวิตกกังวล
แต่ครั้งนี้มันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง นางไม่แสดงอาการไม่พอใจ นางกลับอ่อนโยนและกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง
นี่เป็นการกระทำสุดท้ายที่ทำให้ซูอันเชื่อว่านางอยู่เคียงข้างเขาอย่างแท้จริง
ทันใดนั้น เขาก็เห็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของนาง เขาขมวดคิ้วแล้วช่วยนางเช็ดออก “เจ้ายังคิดถึงเรื่องในอดีตอยู่หรือเปล่า?”
เสี่ยวถู่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วส่ายหัว “น้ำตาเหล่านี้เป็นการอำลาครั้งสุดท้ายของข้ากับอดีต”
ซูอันเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาอุ้มนางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนของเขาจากนั้นพาเดินเข้าไปที่ห้องบรรทมชั้นใน บรรยากาศภายในห้องค่อย ๆ ร้อนขึ้น
…
เมื่อเสี่ยวถู่วย้ายข้างแล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรมชาติ ซูอันได้ใช้ข้อมูลเท็จเพื่อกำจัดคนของเหลียนทั่วเมืองหลวงไปแล้ว
ตอนนี้เหลียนเหลือตัวคนเดียวอย่างสมบูรณ์ เขามีสมาชิกในครอบครัวเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนและถูกรายล้อมไปด้วยสายลับที่ซูอันส่งมา
อันที่จริง การจัดการกับฐานอำนาจของเหลียนไม่ควรง่ายขนาดนี้เพราะไม่เพียงแต่เหลียนจะเป็นเจ้ากรมพิธีการเท่านั้น เขายังเป็นบุตรของอดีตจักรพรรดิด้วย
แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณเสี่ยวถู่ว ด้วยข้อมูลเท็จที่นางนำไปมอบให้เหลียน การจัดการกับเขาจึงกลายเป็นเรื่องง่ายไม่ต่างกับการเดินเล่นในสวนดอกไม้
เมื่อเขาจัดการเรื่องเหล่านี้แล้ว ในที่สุดก็มีข่าวว่าเพ่ยเหมียนหมานได้รับชัยชนะ แคว้นเชียงประสบความพ่ายแพ้อย่างรุนแรงจนไม่มีโอกาสคุกคามอาณาจักรซางอีกต่อไป
เมื่อเพ่ยเหมียนหมานกลับมาพร้อมกับกองทัพ ซูอันได้ออกเดินทางพร้อมกับเหล่าขุนนางไม่กี่คนเป็นการส่วนตัวเพื่อทักทายนางที่นอกเมือง
ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวมีความเหมาะสม ไม่เพียงแต่จักรพรรดิทรงแสดงความรักต่อจักรพรรดินีของพระองค์เท่านั้น การกระทำดังกล่าวยังช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจของประชาชนอีกด้วย
มีเพียงซูอันเท่านั้นที่รู้ว่าเขากำลังทำเช่นนี้เพราะเขาคิดถึงเพ่ยเหมียนหมานจากใจจริง
นางหายไปหลายเดือนแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีหลายสิ่งที่ต้องดูแลภายในเมืองอิน เขาอาจจะวิ่งโร่ไปร่วมทัพกับนางที่แนวหน้าแล้ว
ไม่นานหลังจากการรอคอยที่นอกเมือง กองทัพก็ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า ผู้ที่นำทัพขี่ม้าขาวและสวมชุดเกราะสีทองอร่ามสวยงาม ภายใต้แสงตะวันยามเช้านางส่องประกายราวกับเทพธิดาแห่งสวรรค์
“จักรพรรดินีงดงามจริง ๆ”
“นางน่าจะเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในอาณาจักรซางของเรา”
“นางไม่ได้เป็นเพียงสาวงามอันดับหนึ่งของเรา แต่นางยังเป็นเทพธิดาแห่งสงครามอันดับหนึ่งด้วย!”
“หน้าอกของนางใหญ่มากจริง ๆ!”
“เจ้าอยากตายนักหรืออย่างไร??”
…
ชาวบ้านทั่วไปหลายคนตามออกมานอกเมืองเพื่อต้อนรับวีรสตรีและเหล่าทหารกล้าที่กำลังกลับมา ซูอันไม่รำคาญกับเสียงกระซิบกระซาบแต่ยิ้มแทน นี่เป็นปฏิกิริยาแรกของเขาเมื่อได้เห็นเพ่ยเหมียนหมานอีกครั้ง
พวกเขาแยกจากกันมานานแล้วและนางก็เป็นผู้หญิงของเขา ซูอันรู้สึกอารมณ์ดี ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจความคิดเห็นของใครทั้งสิ้น
ในอดีตเพ่ยเหมียนหมานมักจะมีเสน่ห์เย้ายวนใจซึ่งทำให้นางโดดเด่นกว่าผู้หญิงคนอื่น ๆ แต่ตอนนี้ นางได้ปลดปล่อยจิตวิญญาณผู้กล้าที่เขารู้ว่าสามารถหล่อหลอมได้ด้วยเลือดและเปลวไฟในสนามรบเท่านั้น
คุณลักษณะทั้งสองนี้หลอมรวมเข้าด้วยกันทำให้นางเปล่งประกายยิ่งกว่าใคร
เพ่ยเหมียนหมานมีความสุขเช่นกันที่ได้พบเขา และรีบเร่งม้าพุ่งตรงมาหาเขาทันที
“พวกเจ้าทุกคนอยู่ที่นี่!” ซูอันสั่น “ห้ามใครเข้าใกล้เรา!”
มีหลายสิ่งที่เขาและเพ่ยเหมียนหมานต้องคุยกันเพียงลำพัง ซึ่งพวกเขาไม่สามารถให้คนอื่นได้ยินได้ และเนื่องจากทั้งสองคนเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรจึงไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน
“เหมียนหมานใหญ่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมา!” ซูอันพูดพร้อมกับยิ้มร่า จับมือนางไว้อย่างอ่อนโยน
เพ่ยเหมียนหมานพ่นลมหายใจ “พระราชวังอาจจะไหม้ไปแล้วถ้าข้าไม่กลับมา เจ้ารู้ไหมว่ามีคนกี่คนที่ไล่ถามข้าว่าเจ้าสนิทกับสาวน้อยเสี่ยวถู่วมากแค่ไหน?
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว! มันเป็นอุบายที่เจ้ากรมพิธีการคิดขึ้นมาเพื่อแยกพวกเราออกจากกัน!” ซูอันบ่น
เพ่ยเหมียนหมานดูขบขัน “แล้วพวกนั้นโกหกเหรอ? ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเจ้ากับเสี่ยวถู่วในวังจริง ๆ หรืออย่างไร?”
ซูอันรู้สึกกระอักกระอ่วน “นั่น… มันเป็นวิธีการเอาชนะพวกเขาในการทดสอบ ข้าต้องเสียสละตัวเองเพื่อให้เสี่ยวถู่วมาอยู่เคียงข้างข้า! ถ้าไม่อย่างนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการกับเจ้ากรมพิธีการได้!”
เขาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงขณะที่นางไม่อยู่
ในที่สุดเพ่ยเหมียนหมานก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย “มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถกลับดำเป็นขาว ทำให้ผิดกลายเป็นถูก! ข้าคิดว่าเจ้ากำลังใช้อำนาจในทางที่ผิด!”
ซูอันรู้ว่านางยังคงขมขื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ และคำพูดใด ๆ เพิ่มเติมก็ไม่ช่วยอะไร เขากอดนางแทน “เหมียนหมาน ขอบคุณสำหรับความพยายามของเจ้า”
เขารู้ว่านางผ่านอะไรมามากมายเพื่อที่จะกำชัยชนะเหนือแคว้นเชียงที่ป่าเถื่อน
เสียงของเพ่ยเหมียนหมานอ่อนลง “เจ้าก็ผ่านอะไรมามากมายเช่นกัน อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าใครเป็นศัตรูของข้าในแนวหน้า แต่เจ้าต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ซุ่มซ่อนในเมืองหลวงแห่งนี้ และมอบการสนับสนุนทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับกองทัพของเราอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะขวานเหลืองและธงขาวแห่งอาญาสิทธิ์ที่เจ้ามอบให้ข้า ถ้าไม่ใช่เพราะการสนับสนุนที่มั่นคงของเจ้า ข้าอาจจะไม่สามารถบรรลุสิ่งที่ต้องการทำอย่างราบรื่นได้…”
เวลาผ่านไปเนิ่นนานทั้งสองยังคงพูดคุยกันอยู่ เหล่าขุนนางก็อดไม่ได้ที่เตือนพวกเขาหลายครั้งว่ากองทัพยังอยู่นอกเมือง
เพ่ยเหมียนหมานผลักซูอันออกไปด้วยความอับอาย และทั้งสองคนก็นำฝูงชนกลับเข้าเมือง
ซูอันใช้ชัยชนะครั้งนี้กำจัดกลุ่มผู้ต่อต้านเขาที่ใช้ประเด็นเรื่องการบุกรุกของแคว้นเชียงเพื่อปลุกระดมการกบฏ
แน่นอนว่าเหลียนเป็นหนึ่งในเป้าหมายของเขา ชายหนุ่มมีหลักฐานเพียงพอที่จะทำให้อีกฝ่ายพังพินาศ
อันที่จริงต่อให้ไม่มีข้อพิสูจน์ใด ๆ แต่ด้วยอำนาจและสถานะปัจจุบันของพวกเขาก็ไม่มีใครกล้าคัดค้านซูอันและเพ่ยเหมียนหมานอีกต่อไปแล้ว
หลังจากที่เหลียนได้ถูกจัดการแล้ว ฟู่ซัวได้ทำตามแผนก่อนหน้านี้โดยให้เพ่ยเหมียนหมานเป็นเจ้ากรมพิธีการ อำนาจศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดตกอยู่ในมือของจักรพรรดิในที่สุด
เพื่อเป็นรางวัลสำหรับความสำเร็จของเพ่ยเหมียนหมาน เหล่าขุนนางจึงตัดสินใจหล่อรูปปั้นนกฮูกและนกหงส์หยกสำหรับนาง ตราหยกที่เคยเป็นของเหลียนก็ตกเป็นของนางเช่นกันเนื่องจากนางเป็นเจ้ากรมพิธีการคนใหม่
ทั้งสองคนสัมผัสได้ถึงพลังชี่ที่ไหลผ่านสิ่งของทั้งสามซึ่งถูกแกะสลักขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน ของทุกชิ้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและพิเศษที่สุด และถือได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าในโลกแห่งความเป็นจริง
น่าเสียดายที่วิญญาณของพวกเขาเท่านั้นที่เข้าสู่การทดสอบครั้งนี้ และไม่มีทางที่พวกเขาจะนำของเหล่านี้ออกไปภายนอกมิติลับได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ยึดติดกับพวกมันมากเกินไป
พวกเขาเอาชนะศัตรูที่บุกรุกจากภายนอกและปราบปรามความขัดแย้งภายใน นี่น่าจะเพียงพอต่อความต้องการของการทดสอบใช้แล้วใช่หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ดวงอาทิตย์ยังคงขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก เมื่อเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า พวกเขาก็ยังไม่เห็นวี่แววของการสิ้นสุดการทดสอบ
———————–