บทที่ 764 เจอฉือโถวโดยบังเอิญ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 764 เจอฉือโถวโดยบังเอิญ

บทที่ 764 เจอฉือโถวโดยบังเอิญ

ทั้งหมดนี้ไม่มีใครรู้ สวีเฉิงเจ๋อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และในที่สุดก็ทิ้งพู่กันลงด้วยความหงุดหงิด หลับตาและตั้งสมาธิ เมื่อครู่ทั้งร่างกายของเขารู้สึกตื่นเต้น ในขณะนี้เขาดูเหมือนหมดกำลังใจ จึงพิงพนักเก้าอี้อย่างหดหู่ใจ

เมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น กู้เสี่ยวหวานคิดว่าร้านจิ่นฝูควรจะเปิดแล้ว ดังนั้นนางจึงไปที่ร้านจิ่นฝูและคืนเงินทั้งหมดจากการขายธัญพืชในครั้งนี้ รวมถึงเงินสำหรับผ้าเช็ดหน้าปักและการทำตุ๊กตาของหลิวเทียนฉือ หลังจากมอบให้หลี่ฝานยังมีส่วนเกินเล็กน้อย

นอกจากนี้ ในครั้งที่แล้วกู้เสี่ยวหวานได้มอบสูตรอาหารจานใหม่ โดยหลี่ฝานบอกว่ามีส่วนแบ่งสำหรับนาง เถ้าแก่หลี่จึงให้เงินนางหนึ่งร้อยตำลึง โดยบอกว่าเป็นส่วนเกินหลังจากหักค่าใช้จ่ายจากการสั่งอาหารของแขกในช่วงนี้

เมื่อเห็นชีวิตนี้เบ่งบานอย่างต่อเนื่อง กู้เสี่ยวหวานไม่สามารถพูดได้ว่านางมีความสุขแค่ไหน

พวกเขาปฏิเสธที่จะรับประทานอาหารที่ร้านจิ่นฝู อย่างไรก็ตามหลังจากที่กู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือกล่าวคำอำลากับหลี่ฝาน แต่ขณะที่นางเดินไปที่ประตู กู้เสี่ยวหวานก็พบร่างที่คุ้นเคย

นางตะโกนออกมาโดยไม่ต้องคิด “พี่ฉือโถว…”

ชายในชุดมอมแมมข้างหน้าหันศีรษะของเขา และนางก็พบว่าเขาคือฉือโถว

เกือบสามสี่เดือนแล้วที่ไม่ได้เจอเขา ดูเหมือนว่าฉือโถวน้ำหนักจะลดไปมากและร่างกายของเขาก็ผอมแห้ง

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเป็นทุกข์เล็กน้อย น้ำตาแทบจะร่วงหล่นเมื่อมองไปที่ฉือโถว ตั้งแต่นางออกจากหมู่บ้านอู๋ซี นางก็ไม่เคยกลับไปอีกเลย เนื่องจากช่วงนี้นางมีงานยุ่งและสุขภาพก็ไม่ค่อยดีนัก นางจึงไม่รู้ข่าวคราวของครอบครัวป้าจาง

ครั้งนี้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อบังเอิญเจอพี่ฉือโถวในเมือง เช่นเดียวกับฉือโถวเมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานปลอดภัยดี เขาก็มีความสุขมากจนร้องไห้ออกมา

“เสี่ยวหวาน…” หลังจากไม่ได้เจอกู้เสี่ยวหวานนานกว่าสามเดือน เมื่อเห็นว่านางปลอดภัยดีและยืนอยู่ต่อหน้าเขา นางดูดีกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ฉือโถวก็ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น “เจ้าสบายดีหรือไม่?”

“พี่ฉือโถว อย่าร้องไห้ ข้าสบายดี ข้าสบายดี!” กู้เสี่ยวหวานเป็นคนอ่อนไหวง่ายเมื่อเห็นฉือโถวที่คอยดูแลนางและปฏิบัติต่อนางเหมือนน้องสาวก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ตาม

ฉินเย่จือที่อยู่ด้านข้างตบไหล่ของฉือโถวอย่างปลอบโยน “อย่าร้องไห้ หากเจ้าร้องไห้ หวานเอ๋อร์ก็จะร้องไห้”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉือโถวรีบเช็ดตาด้วยแขนเสื้อสะอื้นและพูดว่า “ข้าจะไม่ร้องไห้ ข้าจะไม่ร้องไห้!”

เมื่อเห็นว่าตอนนี้ฉือโถวผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก และเสื้อผ้าบนร่างนี้ก็ค่อนข้างขาดวิ่น ถ้าป้าจางอยู่ที่นี่ นางจะไม่มีวันปล่อยให้ฉือโถวแต่งตัวแบบนี้ออกมา

กู้เสี่ยวหวานเต็มไปด้วยความสงสัย เมื่อนึกถึงสิ่งนี้นางก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อยและเอ่ยถามอย่างหวาดกลัวว่า “พี่ฉือโถว ทำไมท่านถึงผอมมากเช่นนี้!”

ฉือโถวมองซ้ายขวาแต่ไม่พูดอะไร

หลี่ฝานที่อยู่ด้านข้างเห็นว่าฉือโถวดูอึดอัดเล็กน้อย จึงรีบจัดห้องรับรองให้พวกเขาเข้าไปพูดคุย

หลังจากเข้าไปในห้องรับรองแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็ถามอีกครั้งอย่างกังวล เมื่อฉือโถวเห็นว่าให้ห้องมีเพียงกู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือ เขาก็เช็ดหน้าอีกครั้งและพูดอย่างมุ่งมั่น “เสี่ยวหวาน ตั้งแต่คราวนั้นที่เกิดเรื่องกับเจ้า คนในหมู่บ้านไม่ยอมแพ้ แต่ก็ไม่กล้าเข้าเมืองมาหาเจ้า พวกเขาจึงมาหาที่บ้านข้า บอกว่าเราสนิทกับเจ้าที่สุดและบอกว่าการที่เราติดต่อกับวิญญาณร้ายบ่อย ๆ มันจะนำโชคร้ายมาสู่พวกเขาในอนาคต พวกเขาจึงขับไล่เราออกจากหมู่บ้านอู๋ซี!”

“ว่าอย่างไรนะ?” เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกสมองตื้อและทุกอย่างก็ยุ่งเหยิงไปหมด

ลุงจางและป้าจางก็ถูกขับออกจากหมู่บ้านอู๋ซีด้วย?

“แล้วตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่ที่ไหน?” ฉินเย่จือที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว เมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกของกู้เสี่ยวหวาน โดยรู้ว่าเรื่องนี้ได้นำอดีตที่ไม่น่าจดจำของนางกลับคืนมา ดังนั้นเขาจึงถามด้วยตัวเอง

“ตอนนี้เราอาศัยอยู่ในซากปรักหักพังของวัดทางตะวันออกของเมือง!” ฉือโถวกล่าวอย่างเศร้าใจ

“ทำไมพวกท่านถึงอยู่ที่นั่น? ลุงจางและป้าจางเป็นอย่างไรบ้าง? ทำไมพวกท่านถึงไม่มาหาข้า?” เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินว่าลุงจางและป้าจางอาศัยอยู่ในที่แบบนั้น หัวใจของนางก็รู้สึกเหมือนถูกกระชากและหัวใจของนางเจ็บปวด นางเอ่ยถามสามคำถามด้วยความตื่นตระหนก

“ตั้งแต่เราถูกไล่ออกจากหมู่บ้านอู๋ซี เดิมทีสุขภาพของพ่อข้าก็ไม่ค่อยดีนัก แต่หลังจากเกิดเรื่อง เขาก็วิตกกังวลจนล้มป่วยอย่างกะทันหันและนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา เงินทั้งหมดที่มีถูกใช้ไปกับการรักษาหมดแล้ว ตอนนี้ข้าไม่มีเงินและไม่สามารถเช่าบ้านได้ เมื่อเดือนก่อนเราจึงย้ายไปอยู่ที่ซากวัดแถว ๆ ชานเมือง เราต้องการประหยัดเงินไว้ซื้อยาให้พ่อ!” ฉือโถวพูดทั้งน้ำตา เขาไม่กล้าร้องไห้อออกมาเพราะกลัวว่าหากเขาร้องไห้จะทำให้กู้เสี่ยวหวานร้องไห้ไปด้วย ดังนั้นเขาจึงกลั้นน้ำตาไว้ตลอดเวลาไม่ให้น้ำตาไหลลงมา

“แล้วทำไมท่านไม่มาหาข้า?” กู้เสี่ยวหวานตะโกนด้วยเสียงแหบแห้ง

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเศร้า ฉือโถวก็ยิ่งรู้สึกเป็นทุกข์มากขึ้นและต้องการที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อกอดกู้เสี่ยวหวาน แต่ฉินเย่จือนำหน้าเขาหนึ่งก้าวและโอบกู้เสี่ยวหวานที่กำลังจะหมดสติจากความเศร้าไว้ในอ้อมแขนของเขา

ฉือโถวได้แต่ยืนนิ่ง กำหมัดแน่น ก้มศีรษะลงเล็กน้อย และอธิบายอย่างเศร้าสร้อย “ข้าอยากมาหาเจ้าสักครั้ง แต่ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ยอมให้มา พวกเขาบอกว่าในตอนนี้เจ้าก็มีช่วงเวลาที่ไม่ดีเช่นกัน และครั้งนั้นก็เกิดเรื่องร้ายแรงกับเจ้า ถ้าข้าบอกเจ้าไป ข้าเกรงว่าเจ้าจะต้องทนทุกข์อีก ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ไม่ให้ข้ามาหาเจ้า!”

ฉือโถวปิดหน้า นึกถึงพ่อและแม่ของเขาในซากวัดซึ่งมีน้ำหยดรั่วไหลเมื่อฝนตก และซากวัดที่สั่นไหวเมื่อถูกลมพัด สุขภาพของพ่อก็ไม่ดี อาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนั้น ฉือโถวรู้สึกเป็นทุกข์!

เขาหยิบบางอย่างออกมาจากเสื้อของเขา ส่งให้กู้เสี่ยวหวานและพูดว่า “แม่ของข้าบอกเสมอว่าให้ดูแลสิ่งนี้ให้ดี ต่อมาข้าเห็นว่าสิ่งนี้ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และเถาวัลย์ก็เริ่มเหี่ยวเฉา ข้าไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร เก็บได้หรือไม่ จึงตัดสินใจขุดมาอันหนึ่ง เราไม่เคยเห็นสิ่งนี้และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่เจ้าดูแลสิ่งนี้อย่างดีมาก่อน พวกเราเรา… พวกเรากลัวว่าจะทำให้มันเสียหาย ข้าจึงต้องมาถามเจ้าก่อน แม่ของข้าจึงตกลงที่จะให้ข้ามาหาเจ้า ให้ข้ามาถามเจ้า!” ในมือของฉือโถว เขายื่นมันเทศมาให้กู้เสี่ยวหวาน

ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานเต็มไปด้วยน้ำตา และเมื่อนางหยิบมันเทศที่มีขนาดเท่ากำปั้นของผู้ใหญ่ นางก็กลั้นมันไม่ไหวอีกต่อไป หัวใจของนางรู้สึกเหมือนมีใครเอามีดมากรีด มันเจ็บปวดรวดร้าวไปหมด

นางหันกลับมาและพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของฉินเย่จือพลางร้องไห้อย่างเศร้าสลด