เมื่อซูชิงเดินเข้าไปในห้องพักของเจียงเจ๋อ นางก็ถูกอาหารมากมายเต็มโต๊ะนั่นดึงดูดความสนใจทั้งหมดแทบจะในทันที เวลานี้แม้แต่ชะตาชีวิตในอนาคตของนางก็เอาชนะความเย้ายวนของอาหารมิได้ นางแทบจะต้องใช้กำลังทั้งหมดในร่างข่มความต้องการที่จะคว้าตะเกียบขึ้นมาในบัดดลเอาไว้ แต่การเคลื่อนไหวเดียวของเจียงเจ๋อกลับทำให้นางสูญเสียการควบคุมตนเองอย่างสิ้นเชิง
เจียงเจ๋อใช้นิ้วชี้ไปที่โต๊ะ ความหมายของท่าทางนี้ชัดเจนยิ่ง ซูชิงแทบจะถลามาหน้าโต๊ะ นางคำนับลวกๆ เพียงครั้งเดียวแล้วเริ่มสวาปามอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งนางกินอิ่ม ความคิดจึงเพิ่งกลับมาเป็นปกติ เมื่อนึกถึงอาการเสียกิริยาเมื่อครู่ ซูชิงก็หน้าแดงก่ำ ลุกขึ้นเอ่ยว่า “ผู้น้อยเสียมารยาท ขอใต้เท้าโปรดอภัย”
ข้าเฝ้าดูพฤติกรรมของซูชิงจากด้านข้างอยู่ตลอด กล่าวไปแล้วสตรีนางนี้ก็มิเสียทีมีชาติกำเนิดจากตระกูลสูง แม้จะสวาปามอย่างตะกละตะกลาม แต่ก็ยังคงรักษากิริยามารยาทพื้นฐานเอาไว้ได้ เพียงแต่เคลื่อนไหวเร็วไปอยู่บ้างเท่านั้น แต่ข้าก็เข้าใจความรู้สึกของนางดี ความหิวโหยผสมกับความโล่งใจย่อมทำให้คนมิอาจควบคุมตนเองได้
หากนางอยู่ในกำมือศัตรูคงไม่มีทางผ่อนคลายเช่นนี้ พอมองออกว่านางเห็นข้าเป็นเจ้านายที่เชื่อถือพึ่งพาได้จากใจจริง ดังนั้นจึงผ่อนคลายเช่นนี้ อย่างน้อยนางก็มิได้เป็นอริกับข้า ความลังเลหลายวันนี้ฉับพลันมลายหายดั่งหมอกควัน ในที่สุดข้าก็ตัดสินใจได้แล้วว่จะจัดการกับซูชิงเช่นไร
ข้าสบสายตากับเสี่ยวซุ่นจื่อผู้ยืนอยู่ข้างโต๊ะ คอยช่วยจัดวางอาหาร หรือความจริงก็คือคอยอารักขาอยู่ข้างกายข้าระหว่างช่วงเมื่อครู่ แล้วถามซูชิงว่า “แม่ทัพซู มิทราบว่าจะเล่าเรื่องอาจารย์ของท่านให้ฟังอย่างละเอียดได้หรือไม่”
ในใจซูชิงทราบดีว่าชีวิตและเกียรติยศนับจากนี้ของตนขึ้นอยู่กับช่วงเวลานี้ จึงตอบอย่างมิกล้าชักช้าแม้แต่น้อย “เจ็ดปีก่อนหลังจากผู้น้อยแยกทางกับต้วนอู๋ตี๋ เพราะหัวใจโศกเศร้าและสิ้นหวังจึงเดินทางเข้าไปในป่าลึก เดินอย่างไร้สติมิรู้นานเท่าใดก็สลบไป ในป่ามีสัตว์ร้ายมากมาย ยามนั้นผู้น้อยเตรียมใจตายเอาไว้แล้ว แต่เมื่อตื่นขึ้นมากลับพบว่าตนเองอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ข้างกายมีกองไฟกับเนื้อย่าง มีคนช่วยผู้น้อยเอาไว้แล้วพามายังที่แห่งนั้น คนที่ช่วยผู้น้อยไว้ก็คือท่านอาจารย์เหวินจื่อเยียน
หลังจากถามความเป็นมาของข้าแล้ว ท่านอาจารย์ก็เห็นใจยิ่งนัก ท่านเห็นว่าตอนยังเล็กผู้น้อยเคยร่ำเรียนวรยุทธ์มาอยู่บ้างจึงตั้งใจจะรับผู้น้อยเป็นศิษย์ แต่หลังจากผู้น้อยถามไถ่ท่านอาจารย์ ก็ทราบว่าศิษย์สำนักเฟิงอี้จำต้องทำตามคำสั่งของเจ้าสำนัก มิอาจเข้าร่วมกองทัพสังหารศัตรูได้ ตอนผู้น้อยรอดพ้นจากความตาย ในใจได้สาบานไว้แล้วว่าจักเข้าร่วมกองทัพต้ายงเพื่อชำระความแค้น ดังนั้นข้าจึงปฏิเสธเจตนาดีของอาจารย์
ท่านอาจารย์ทราบความตั้งใจของซูชิงก็ชื่นชมยิ่งนัก จงใจรั้งรออยู่เพิ่มอีกสิบวันเพื่อถ่ายทอดวิชากระบี่และวรยุทธ์ให้แก่ซูชิง ทว่าเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ผู้อื่นทราบเรื่องนี้ ท่านอาจารย์ที่พบว่าผู้น้อยเคยร่ำเรียนเคล็ดวิชาจากสำนักใหญ่ของทางเต๋ามาจึงมิได้ถ่ายทอดวิชาพลังภายในของสำนักเฟิงอี้ให้แก่ซูชิง ส่วนวิชากระบี่ที่สั่งสอนก็เป็นกระบวนท่าสังหารที่ท่านอาจารย์บรรลุด้วยตนเอง ระหว่างพวกเราแม้ผูกพันเป็นศิษย์อาจารย์ แต่มิมีฐานะอย่างเป็นทางการ
ต่อมาซูชิงฝึกฝนวิชากระบี่จนบรรลุ สร้างชื่อในจงหยวนจนเข้าร่วมกองทัพต้ายงสำเร็จ การติดต่อระหว่างผู้น้อยกับท่านอาจารย์ก็ยิ่งเป็นความลับ นอกจากพบหน้าในถ้ำที่พวกเราศิษย์อาจารย์ได้พบกันปีละหนึ่งหนก็มิได้พบหน้ากันนอกเหนือจากนั้น ท่านอาจารย์กล่าวว่านางติดหนี้บุญคุณสำนักมากนัก มิว่าเป็นหรือตาย รุ่งโรจน์หรือร่วงโรย นางมิมีวันทอดทิ้งสำนัก แต่ศิษย์เพียงร่ำเรียนกระบวนท่ากระบี่ตื้นเขินไปเล็กน้อย นางมิต้องการให้ศิษย์ตกอยู่ท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจ ดังนั้นในสำนักเฟิงอี้จึงมิมีผู้ใดล่วงรู้เรื่องระหว่างผู้น้อยกับท่านอาจารย์
ก่อนเกิดเหตุการณ์กบฎพระราชวังเลี่ยกง ท่านอาจารย์ทิ้งตำราวิชากระบี่กับจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในถ้ำแห่งนั้นเพื่อมอบให้แก่ผู้น้อย ในจดหมายกล่าวว่านางจะก่อกบฏร่วมกับสำนัก หากกระทำการสำเร็จก็มิเป็นอันใด แต่หากล้มเหลวขอให้ผู้น้อยอย่าคิดแค้นผู้สังหารนาง เพราะตัวนางยินยอมพร้อมใจก้าวลงสุสานร่วมกับสำนักด้วยตนเอง”
เล่าถึงตอนท้าย ซูชิงก็น้ำตาคลอหน่วง นางลุกขึ้นคำนับ “ใต้เท้า แม้ท่านอาจารย์กระทำผิดมหันต์ร่วมก่อการกบฏ แต่ขอใต้เท้าเห็นแก่ที่แท้จริงแล้วท่านอาจารย์ทำลงไปด้วยความกตัญญูและภักดีอย่างโง่เขลา โปรดอนุญาตให้ซูชิงได้เดินทางไปเซ่นไหว้ท่านอาจารย์ด้วย”
ข้าฟังซูชิงกล่าวจบก็รู้สึกสลดใจ “แม้อาจารย์ของท่านทำสิ่งผิด ทว่าแม้แต่ฝ่าบาทก็ยังเคยกล่าวถึงความสามารถในการใช้กลศึกนำทัพออกรบและจิตใจกร้าวแกร่งมิมีผู้ใดเทียมของนาง ยามนั้นอาจารย์ของท่านนำกองทัพใหญ่ไล่ล่าสังหารฝ่าบาทด้วยตนเอง ใช้จำนวนน้อยชนะจำนวนมาก เกือบทำให้ฝ่าบาทจนตรอก
ต่อมาอาจารย์ของท่านกับเสี่ยวซุ่นจื่อสัประยุทธ์กันต่อหน้ากองทหาร หลังจากพ่ายแพ้นางจึงปลิดชีพตนเอง จิตใจเด็ดเดี่ยวจนฝ่าบาทก็ยังถอนหายใจด้วยความเสียดาย รากษสหัตถ์โลหิตเป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจที่สุดและโดดเด่นที่สุดของเจ้าสำนักเฟิงอี้อย่างแท้จริง
ฟังจากปากของท่านในวันนี้ จึงได้ทราบว่าเรื่องในครานั้น จอมยุทธ์หญิงเหวินเองก็เป็นยอดสตรีผู้รู้ผิดชอบชั่วดีคนหนึ่ง เพียงแต่น่าเสียดายถูกความภักดีและความกตัญญูบีบบังคับ จนวันนี้ตัวตายชื่อเสียงย่อยยับ แม่ทัพซู ในยามนั้นฝ่าบาทเองก็ชื่นชมจอมยุทธ์หญิงเหวินอยู่พอสมควร จึงให้คนฝังร่างนางอย่างเป็นความลับไว้ที่เขาหลีซาน วันหน้าหากท่านได้ไปเยือนเมืองหลวง ข้าจะให้คนนำท่านไปเซ่นไหว้”
ดวงตาของซูชิงฉายแววซาบซึ้ง นางโขกศีรษะเสียงดังหลายครั้งด้วยความเคารพนับถือ เวลานี้เอง เสี่ยวซุ่นจื่อพลันเอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา “เจ้ามิคิดแค้นข้าหรือ”
ซูชิงมองเสี่ยวซุ่นจื่อพริบตาหนึ่งแล้วตอบอย่างนิ่งสงบ “ท่านอาจารย์ทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้นตอบแทน ไยต้องเคืองแค้นเล่า”
เสี่ยวซุ่นจื่อมองข้าแล้วเงียบงันมิพูดจา ข้าทราบว่าเขาเห็นด้วยกับการตัดสินใจของข้าแล้วจึงเอ่ยว่า “แม่ทัพซู เรื่องของท่าน แม้ข้าจะสั่งปิดเงียบแล้ว แต่มิมีกำแพงใดกั้นลมได้ ดังนั้นข้าจะกราบทูลฝ่าบาทเป็นการลับ ฝ่าบาททรงมีน้ำพระทัยกว้างขวาง อีกทั้งแม่ทัพซูยังจงรักภักดีต่อราชสำนัก มีคุณงามความชอบต่อแผ่นดิน ฝ่าบาทคงมิถือโทษ ทว่าเรื่องราวหลังจากวันนี้ ข้าก็มิอาจแน่ใจว่าฝ่าบาทจะจัดการเช่นไร แต่แม่ทัพซูโปรดวางใจ อย่างน้อยท่านจะได้เห็นเป่ยฮั่นล่มสลาย”
ซูชิงดีใจเจียนคลั่ง ก้มลงคารวะอีกครั้ง “ความปรารถนาเดียวในใจซูชิงคือการเห็นเป่ยฮั่นล่มสลาย หากความปรารถนานี้เป็นจริง แม้ฝ่าบาทมอบโทษหนักหนาแก่ข้า ซูชิงตายก็มิเคืองแค้น ขอใต้เท้าอนุญาตให้ซูชิงกลับสู่สนามรบ ทำงานเพื่อต้ายงด้วย”
ข้าเอื้อมมือออกมาทำท่าประคอง กล่าวว่า “ข้าอธิบายกับฉีอ๋องแล้ว เขาไม่คัดค้านเรื่องนี้ แม่ทัพซูพักผ่อนอีกวันหนึ่งก็คงขยับตัวได้ ยามนี้ข้างนอกยังต้องการแม่ทัพซูรับหน้าที่สอดแนมสถานการณ์ศึกอยู่”
ซูชิงลุกขึ้นตอบ “ขอบพระคุณใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพที่หวังดี ซูชิงหายดีแล้ว กลับเข้าประจำตำแหน่งได้ตั้งแต่ตอนนี้ มิทราบสถานการณ์ด้านนอกเป็นเช่นไร”
ข้าหัวเราะ “เมื่อวานกองทัพของพวกเราบุกจี้ซื่อ แม่ทัพผู้พิทักษ์เมืองจี้ซื่ออพยพประชาชนไปยังอานเจ๋อก่อนแล้ว ส่วนตัวเขาปกป้องเมืองจนวันสุดท้ายจึงหนีจากไปยามค่ำคืน กองทัพเราจุดไฟเผาจี้ซื่อ จนวันนี้กองเพลิงก็ยังมิมอดดับ ฉีอ๋องนำทัพบุกตรงไปยังอานเจ๋อ กองเรือก็กำลังมุ่งหน้าไปอานเจ๋อเช่นเดียวกัน ทว่าเมื่อหลายวันก่อนเสบียงบนกองเรือเสียหาย เสบียงที่ตามมาด้านหลังยังต้องใช้เวลาอีกสองวันกว่าจะขนส่งมาถึง”
ซูชิงกล่าวว่า “อานเจ๋อเป็นเมืองที่ต้วนอู๋ตี๋พิทักษ์ด้วยตนเอง ป้องกันง่ายบุกตียาก เกรงว่าจะโจมตียากนัก มิสู้ให้ผู้น้อยส่งคนไปกระจายข่าวลือก่อน ปล่อยข่าวว่าต้วนอู๋ตี๋ใส่ร้ายสืออิงให้ต้องโทษ ทำเช่นนั้นความคิดของผู้คนคงแตกแยก ต้วนอู๋ตี๋ต้องยากจะแก้ตัวแน่นอน ใต้เท้าคิดเห็นเช่นไร”
ข้าปรบมือพร้อมคลี่รอยยิ้ม “ตรงกับความตั้งใจของข้าพอดี ต่อให้วันนี้แม่ทัพซูมิฟื้น ข้าก็คงถ่ายทอดคำสั่งให้ทำเช่นนี้ กองทัพที่ปกป้องอานเจ๋อ นอกจากกองทัพใต้บัญชาโดยตรงของต้วนอู๋ตี๋ ก็ยังมีอดีตผู้ใต้บัญชาของสืออิงอยู่มากมาย หากยุแยงให้อานเจ๋อเกิดความวุ่นวายภายในได้ กองทัพเราย่อมบุกตีอานเจ๋อได้ง่ายดายดั่งยกฝ่ามือแล้ว”
ซูชิงเอ่ยอย่างรอบคอบ “ใต้เท้า แม้ต้วนอู๋ตี๋จะไม่มีคุณงามความชอบโดดเด่นนัก แต่ก็มิเคยปล่อยให้ผู้ใดลงมือเล่นงานได้ ถึงยามนี้จะใช้แผนเสี้ยมให้แตกคอทำลายขวัญกำลังใจทหารของกองทัพเขา แต่ขอใต้เท้าโปรดทูลฉีอ๋องว่าอย่าได้ดูแคลนกองทัพที่พิทักษ์อานเจ๋อ”
ข้าพยักหน้า กล่าวว่า “ท่านกล่าวมิผิด หากมิใช่เช่นนั้น ต้วนอู๋ตี๋คงมิกลายเป็นแขนซ้ายแขนขวาที่หลงถิงเฟยพึ่งพามากที่สุด หากกล่าวว่าแม่ทัพกุ่ยเมี่ยนถานจี้เป็นหอกของหลงถิงเฟย แม่ทัพผานสือต้วนอู๋ตี๋ก็คือโล่ของหลงถิงเฟย ยามนี้หอกหักลงแล้ว โล่เองก็บาดเจ็บ ข้าก็อยากดูสิว่าหลงถิงเฟยจะบัญชาทัพทำศึกเช่นไร”
ในใจซูชิงทอดถอนใจอย่างที่นางไม่คิดว่าตนจะรู้สึก ต้วนอู๋ตี๋จะรับมือกับแรงกดดันหนักอึ้งดั่งเขาไท่ซานเช่นไรกันหนอ ข้าต้องการทำลายเป่ยฮั่น ท่านต้องการปกป้องเป่ยฮั่น มิรู้ว่าท่านหรือข้า ผู้ใดจะสมมาดปรารถนา แต่ในใจซูชิงรู้ดี มิว่าผู้ใดจะสมประสงค์ ระหว่างนางกับต้วนอู่ตี๋มิอาจย้อนคืนกลับมาได้อีกต่อไป