เล่ม 1 ตอนที่ 193-1 คลี่คลาย ผู้ช่วยชั้นยอด

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 193-1 คลี่คลาย ผู้ช่วยชั้นยอด

ดวงตาของจีเหล่าฮูหยินเบิกโตในพริบตา “หวานหว่าน!”

ในที่สุดจีหว่านก็ตระหนักได้ว่าตนเองร้อนรนจนเอ่ยอันใดออกไป นางรีบยกมือปิดปาก ซุกหลบเข้าไปหลังเฉียวเวยไม่ยอมโผล่ออกมา

ตีไก่ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่โตที่มิอาจให้อภัยได้แต่ประการใด เบื้องบนตั้งแต่ชนชั้นสูงยศอ๋องยศกง จรดเบื้องล่างพ่อค้าหาบเร่แผงลอยล้วนคลั่งไคล้การตีไก่ยิ่งนัก บ่อนพนันจำนวนไม่น้อยในราชวงศ์ต้าเหลียงล้วนมีรายการตีไก่ แล้วยังมีบางแห่งเปิดเป็นบ่อนไก่ชนโดยเฉพาะ กิจการเรียกว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่ายังไม่พอ

ได้ยินว่ามาฮ่องเต้ถังหมิงตี้ก็ชื่นชอบการตีไก่อย่างยิ่ง พระองค์ไม่เสียดายเงินทองจำนวนมหาศาลสร้างสนามตีไก่ขนาดใหญ่อันหรูหราอย่างที่สุดไว้ในพระราชวัง ให้คนเลี้ยงไก่ ฝึกไก่และตีไก่ เห็นชัดว่าการตีไก่เป็นที่นิยมและแพร่หลายมากเพียงใดในยุคโบราณที่ขาดแคลนสิ่งบันเทิง

เฉียวเวยทะลุมิติมานานปานนี้ยังไม่เคยเห็นคนตีไก่เลย แต่นางทราบว่าการตีไก่เป็นการละเล่นสำหรับบุรุษเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วสตรีจะไม่แตะต้อง

สตรีตีไก่ชนก็มีค่าเทียบเท่ากับสตรีเที่ยวบ่อนพนันหรือเที่ยวหอคณิกา เป็นสิ่งที่หลักคุณธรรมในสมัยนี้ไม่ยอมรับ ไม่ต้องพูดถึงว่าสตรีนางนี้เป็นถึงเหล่าฮูหยินแห่งตระกูลจี นอกจากไทเฮาแห่งรัชสมัยนี้ หญิงชราคนใดมีฐานะสูงศักดิ์กว่านางอีก แต่นางกลับน่านัก ไม่เป็นตัวอย่างให้แก่เหล่าไท่ไท่ทั้งหลาย แต่กลับเอาอย่างเด็กหนุ่มไม่มีการมีงาน วิ่งไปตีไก่ชน

ผู้ที่ล่วงรู้ความลับประการนี้ มีเพียงจีหว่านกับจีหมิงซิว เพราะว่าไก่สองตัวนั้นเป็นสิ่งที่จีหมิงซิวซื้อให้นาง

จีซวงอ้าปากหวอ พูดขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านแม่ ท่านบอกว่าท่านเลี้ยงไก่ปลูกผักเพราะอยากทำสวนผักเล็กๆ สักแห่ง ที่แท้เอามาเป็นไก่ชนหรอกหรือ! มิน่าตอนข้าบอกว่าจะเชือดพวกมันมากินท่านจึงไม่ยอม!”

จีเหล่าฮูหยินเหมือนเด็กน้อยที่ทำผิดแล้วถูกจับได้ นางหันหน้าหนีพลางขยำผ้าเช็ดหน้าในมือ ทั้งโกรธทั้งหน้าแดงด้วยความอาย

ขมับของจีซั่งชิงปูดโปน “ท่านแม่!”

จีเหล่าฮูหยินเบ้ปากอย่างขุ่นเคือง

คนอายุมากก็มีงานอดิเรกเท่านี้ จะให้นางทำอย่างไรเล่า

จีซั่งชิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีแล้ว

ภายในห้องเงียบอย่างประหลาด

จีซวงเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่กลัวตาย “ท่านแม่ยังตีไก่ชนได้ ข้าเปิดหอคณิกาจะเป็นอะไร ไปขัดขวางพี่ใหญ่หรือ”

“เจ้าหุบปากไปเสีย!”

จีซั่งชิงตวาด จีซวงกลัวจนขวัญกระเจิง ตัวฟีบเหมือนมะเขือที่ถูกหิมะเกาะ

จีเซิ่งกล่อม “พี่ใหญ่ท่าน…”

“เจ้าด้วย!”

จีเซิ่งหุบปากอย่างว่าง่าย

จีเซิ่งกับน้องสามไม่ใช่พี่น้องร่วมครรภ์มารดาของจีซั่งชิง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุนี้หรือไม่ จีซั่งชิงจึงเข้มงวดกับทั้งสองคนยิ่งนัก ประสบการณ์ที่ถูกพี่ใหญ่ตีตอนยังเล็กฝังสลักลึกในใจ ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าใด เมื่อหวนนึกถึงแก้มก้นก็ยังเจ็บแปลบอยู่เลือนราง

จีหว่านเตรียมตัวจะแผ่นหนี แต่ยังไม่ทันเดินได้สองก้าวก็ถูกจีซั่งชิงคำรามเรียกกลับมา “กล้าหนี ข้าจะหักขาเจ้า!”

จีหว่านนิ่ง แต่งงานไปแล้วยังถูกบิดาคอยคุมเช่นนี้ ทั้งใต้หล้าคงมีนางเพียงผู้เดียว!

จีหว่านกลับมานั่งที่อย่างว่านอนสอนง่าย

ปกติในเวลาเช่นนี้ผู้ที่กล้าขัดแย้งกับจีซั่งชิงจะมีเพียงจีหมิงซิวผู้เดียว แต่จนปัญญาที่วันนี้จีหมิงซิวไม่อยู่

สวินหลันนั่งอยู่เงียบๆ ไม่พูดสักคำเดียว

หลี่ซื่อก็เงียบเช่นกัน แต่แผ่นหลังของหลี่ซื่อมีเหงื่อเย็นเฉียบไหลซึมออกมาจนเปียกโชก แม้พี่ใหญ่ไม่เคยตีนาง แต่นางก็นึกกลัวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ สรุปก็คือคนทั้งบ้านล้วนกลัวพี่ใหญ่

จีซั่งชิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งวัน ที่ใดควรปิดก็ปิดเสียให้หมด”

“พี่…”

จีซวงกำลังจะอ้าปากก็ถูกอาเขยฉินปิดปากเอาไว้

จีซั่งชิงมองจีซวงอย่างถมึงทึง แม้แต่เด็กน้อยในท้องของจีซวงยังรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของท่านลุงใหญ่ ออกหมัดออกเท้าอยู่ในท้อง

จีซั่งชิงผ่อนน้ำเสียงลง “ท่านแม่ หากท่านเหงาก็ให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปอยู่เป็นเพื่อนท่านบ่อยหน่อย”

จีเหล่าฮูหยินโอดครวญในใจ ก็มาอยู่เป็นเพื่อนอยู่แล้ว มาตีไก่ชนด้วยกันทุกวัน สนุกสนานยิ่งนัก! หากเจ้าเอาไก่ไป แล้วข้าจะเอาอะไรมาเล่นกับพวกเขาเล่า!

หลังจากต่อว่าต่อขานขนานใหญ่หนนี้ จีซั่งชิงก็นับว่าล่วงเกินน้องชายน้องสาวรวมถึงมารดาผู้ชราของตนจนถ้วนหน้า

“ลูกส่งท่านกลับเรือน” จีซั่งชิงจะเข้าไปประคองจีเหล่าฮูหยิน

“เฮอะ!” จีเหล่าฮูหยินชักมือกลับแล้วกลอกตาใส่เขา “เสี่ยวเวยพวกเราไป!”

เฉียวเวยประคองแขนเหล่าไท่ไท่อย่างเชื่อฟัง

จีหว่านรีบเข้ามาประคองแขนอีกข้างของท่านย่า ด้วยกลัวว่าขืนอยู่ที่นี่ต่อจะดึงความสนใจของบิดาเฒ่ามาอีก

จีซั่งชิงเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “จีหว่าน อย่าคิดว่าเจ้าแต่งให้ผู้อื่นไปแล้ว ข้าจะสั่งสอนเจ้าไม่ได้ ที่ดินพวกนั้นของเจ้า ข้าย่อมสืบพบ”

จีหว่าน “!”

หากรู้ก่อนวันนี้คงไม่มา!

เหล่าฮูหยินไม่มีไก่แล้วก็เสียใจยิ่งนัก แต่เดิมจีหว่านคิดจะรับจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปค้างที่จวนกั๋วกงสักสองสามวัน ตอนนี้จึงไม่สะดวกเอ่ยปากแล้ว ให้พวกเขาอยู่ที่นี่ปลอบใจท่านย่าผู้ถูกทำร้ายจิตใจก็แล้วกัน

มีบุตรชายที่ไม่เข้าอกเข้าใจคนเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องน่ารันทดโดยแท้

“ตอนนี้เจ้ารู้แล้วกระมังว่าบิดาของข้าน่าชังมากเพียงใด” พอออกจากเรือนลั่วเหมย จีหว่านก็บ่นหน้าทะมึน

“เรื่องนี้…” เฉียวเวยลูบคาง ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าพ่อสามีน่าชังพอสมควร แต่ตอนนี้ความชิงชังนั่นเหมือนจะลดทอนไปบ้างแล้ว

ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยเขาก็เป็นคนซื่อตรงคนหนึ่ง

จีหว่านโกรธจนกระทืบเท้า “ข้าอดทนตั้งกี่ปีกว่าจะหนีพ้นจากกรงเล็บมารของเขามาได้ ตอนนี้เขากลับยังจะมายุ่งเรื่องของข้าเช่นนี้อีก!”

เฉียวเวยจึงว่า “มีคนยุ่งไม่ดีหรือ ข้าชอบให้บิดาของข้ายุ่งยิ่งนัก นั่นบ่งบอกว่าเขารักข้าจริงๆ”

ปี้เอ๋อร์เดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าลนลาน “คุณหนู นายท่านเพิ่งให้คนส่งจดหมายมาบอกว่า หนก่อนลืมบอกท่าน ท่านเขียนตัวอักษรไม่งดงาม เกรงว่าจะขายหน้าครอบครัวสามี จำไว้ว่าต้องคัดอักษรวันละพันตัว กลับมาเขาจะมาตรวจสอบ”

เฉียวเวยพองขนในพริบตา “ข้าแต่งให้ผู้อื่นแล้วเขายังจะมายุ่งกับข้าอีก! ทำเกินไปแล้วหรือไม่!”

จีหว่าน “…”

ม่านราตรีมืดทึบ เฉียวเวยเดินมาส่งจีหว่านออกจากจวนตระกูลจี ส่งนางขึ้นรถม้า

จีหว่านนั่งลงบนเบาะนุ่มนิ่ม มืออุ้มโถน้ำร้อนใบหนึ่ง แล้วเอ่ยกับเฉียวเวยที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างว่า “เอาล่ะ ข้าไปแล้ว ผ่านไปสองสามวันข้าจะมาหาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูอีก”

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “พี่ใหญ่เดินทางปลอดภัย”

กล่าวจบก็ช่วยนางปลดม่านลงมา

แต่จีหว่านกลับจับม่านเปิดขึ้นไปอีกหน

เฉียวเวยมองนางอย่างประหลาดใจ “พี่ใหญ่ยังมีธุระอะไรหรือ”

จีหว่านลังเลครู่หนึ่งแล้วขมวดคิ้ว “เมื่อครู่คนมาก ข้าจึงไม่สะดวกถาม ระหว่างเจ้ากับน้องชายข้าเกิดอะไรขึ้น”

เฉียวเวยมองนางอย่างไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้นหมายถึงอะไร”

จีหว่านส่งสายตาเย็นชานิดๆ ใส่นาง “เขาให้ข้ามาดูแลเจ้า แต่ไม่ให้ข้าบอกเจ้า แปลกมากใช่หรือไม่”

“ใช่แล้ว” เฉียวเวยเห็นด้วยอย่างยิ่ง พอคิดอะไรได้ แววตาก็ไหววูบ “คืนวันนี้ท่านมาตระกูลจีเพราะเรื่องนี้หรือ ท่านกลัวข้าจัดการท่านอาไม่ได้”

ผู้ใดเป็นห่วงว่าเจ้าจะจัดการนางไม่ได้กัน จัดการนางไม่ได้ เจ้าก็ไม่ต้องอยู่ในตระกูลจีต่อแล้ว ข้ามาร่วมวงดูเรื่องสนุกอย่างเดียวต่างหาก

แต่น่าเสียดายได้มาร่วมวงดูเรื่องสนุกก็จริง แต่ความลับก็ถูกเปิดเผยด้วย

หากรู้ก่อน นางเล่นไพ่นกกระจอกอยู่ที่บ้านเสียดีกว่า!

จีหว่านแค้นจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เหลือบเห็นหน้าผากนวลเนียนของเฉียวเวยจึงยกนิ้วขึ้นมาดีดเฉียวเวยดัง เป๊าะ! ผลปรากฏว่านิ้วมือนิ้วนั้นกลับบวมขึ้นมาอย่างรวดเร็วทันตาเห็น

เฉียวเวยอ้าปาก “ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

จีหว่านกุมนิ้วมือที่บวมจนเหมือนลูกหมั่นโถว แล้วถลึงตาใส่นาง “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า กะโหลกของเจ้าทำจากอะไรกัน ทำจากเหล็กอย่างนั้นหรือ!”

เฉียวเวยผายมือ “ท่านดีดข้าเองนะ”

โทษข้าได้หรือ

ถึงอย่างไรจีหว่านก็ไม่ได้จะมาเถียงกับนาง จึงสะบัดมือแล้วกลับเข้าประเด็นหลัก “เจ้าโง่จริงหรือแกล้งโง่ เจ้ากับน้องชายข้าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เฉียวเวยทำหน้ามึนงง “ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นนะ เขาบอกท่านว่าพวกเรามีเรื่องอะไรกันหรือ”

จีหว่านตอบว่า “หากเขาบอก ข้ายังต้องมาถามเจ้าหรือ”

เฉียวเวยขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ “พวกเราไม่มีเรื่องอะไรกันจริงๆ ประการแรกไม่ได้ทะเลาะกัน ประการที่สองไม่มีผู้ใดโกรธเคือง เพียงแต่ว่า…”

“เพียงแต่ว่าอะไร” จีหว่านถาม

เพียงแต่ว่าก่อนจากไปเขาเหมือนจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่นางจำไม่ได้จรนิงๆ ว่าตนเองไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจ

“ไม่มีอันใด” เฉียวเวยส่ายหน้า

จีหว่านเตือนอย่างจริงจัง “ข้าขอบอกเจ้า ก่อนหน้าเจ้า น้องชายข้าไม่เคยมีผู้หญิงคนอื่นมาก่อน เจ้าอย่ารังแกเขา”

เฉียวเวยถลึงดวงตาทรงเมล็ดซิ่งของนาง “พูดเสียเหมือนกับว่าข้าเคยมีผู้ชายคนอื่น!”

จีหว่านมองนางแล้วหรี่ตาลง

เฉียวเวยกระแอมเบาๆ “ข้าก็ไม่เคยมีอะไรกับยิ่นอ๋องเสียหน่อย”

จีหว่านถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ช่างเถิด รอเขากลับมา ข้าจะถามเขาเอง เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด ข้าไปแล้ว”

เฉียวเวยโบกมือ “ไว้พบกันพี่ใหญ่”

จีหว่านพยักหน้า แล้วขึ้นรถม้าจากไป

ม่านราตรีโรยตัวลงมา สายลมหนาวเย็นเยียบ ขบวนอันใหญ่โตหยุดอยู่ในหุบเขาชัน องครักษ์ทั้งหลายวุ่นวายปักกระโจม ก่อกองไฟ ไม่นานภายในหุบเขาก็มีกลิ่นหอมจรุงใจลอยออกมา

จีหมิงซิวนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในกระโจม ตรงหน้าเขาคือโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวน้อย บนโต๊ะมีม้วนฎีกาวางกองกันอย่างเป็นระเบียบ ด้านซ้ายเป็นของที่วังหลวงส่งมา ด้านขวาเป็นของที่กำลังจะส่งกลับไปวังหลวง

จีหมิงซิวเขียนหนังสือกราบทูลฉบับหนึ่งเสร็จก็ใส่ลงไปในซองจดหมาย จากนั้นหยดขี้ผึ้ง ประทับตรา

รัชทายาทห่มผ้าคลุมกันลมเดินเข้ามา ร่างกายสั่นสะท้านกล่าวขึ้นว่า “เหตุไฉนจึงหนาวกว่ากระโจมของข้าอีก!”

ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนพื้นที่ปูฟูกผืนบางเอาไว้ จากนั้นดึงผ้าห่มของจีหมิงซิวมาคลุม “อาสี่ทำงานของท่านเถิด ไม่ต้องสนใจข้า”

เขาเว้นวรรคไปครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อว่า “ข้าวเย็นเสร็จแล้ว เรียกข้าด้วย”

จีหมิงซิวไม่ตอบอันใด เขาหยิบหนังสืออีกฉบับขึ้นมาหยดขี้ผึ้งประทับตราต่อ

แสงเทียนไขสีเหลืองหม่นสะท้อนบนหน้ากากหยกของเขา แต่กลับไม่ทำให้คนรู้สึกถึงความอบอุ่นแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกเย็นยะเยือกอยู่เลือนราง

รัชทายาทซุกตัวอยู่ในม้วนผ้านวมอย่างแน่นหนา พลางจ้องมองเขาอย่างประหลาดใจ เห็นเขาไม่สนใจตนเองสักนิดจึงยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากใต้ผ้าห่ม แล้วรื้อข้าวของบนโต๊ะของเขา

“หาสิ่งใด” จีหมิงซิวถามเรียบๆ

“ของกิน” รัชทายาทหิวแล้ว รีบเร่งเดินทางมาหลายวัน อาหารดีๆ สักมื้อยังไม่ตกถึงท้อง เขาหิวจนใกล้จะเสียสติเต็มที

จีหมิงซิวตอบอย่างเฉยเมย “ในกระโจมของข้าไม่มี”

“อ้อ มีสินะ” รัชทายาทเปิดหีบของจีหมิงซิว รื้อจนหยิบได้กล่องลวดลายงดงามใบหนึ่งมาจากข้างใน ด้านในมีไข่เค็มสี่ฟอง ไข่เยี่ยวม้าสี่ฟอง แล้วก็ไข่…นกอีกแปดฟอง

จีหมิงซิวเหลือบไปเห็นก็ชะงักเล็กน้อย เขาไม่เห็นรู้ว่านางใส่เจ้าพวกนี้ลงมาให้ด้วย

รัชทายาทปอกไข่นกฟองหนึ่ง หน้าตาเหมือนไข่เยี่ยวม้า เพียงแต่ขนาดเล็กกว่า รสชาติละมุนกว่าไข่เยี่ยวม้าเล็กน้อย แล้วยังไม่มีกลิ่นคาวหนักเช่นนั้นอีกด้วย

รัชทายาทชอบใจมาก กินรวดเดียวสี่ห้าฟอง

“กินมากไปจะไม่ดี” จีหมิงซิวแย่งกล่องมาถือไว้

รัชทายาทรู้สึกว่ายังกินไม่อิ่มหนำจึงจิ๊ปาก คว้าฎีกามาเล่มหนึ่ง เป็นเล่มที่กำลังจะส่งกลับไปยังวังหลวง เปิดอ่านได้ไม่ทันไรก็เบื่อ โยนกลับไปบนโต๊ะ

ทันใดนั้นปลายหางตาของเขาก็เห็นประกายแวววาวสะท้อนออกมาจากอกเสื้อของจีหมิงซิว เขาลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือฉวยของที่ส่องประกายเลือนรางชิ้นนั้นมา

มันคือปิ่นหยกเล่มหนึ่งที่ตัวเรือนทำจากไม้แล้วประดับด้วยดอกกล้วยไม้หยกขาว คุณภาพหยกดียิ่งนัก ฝีมือช่างก็ประณีต กล้วยไม้หยกขาวราวกับมีชีวิต คล้ายจะได้กลิ่นหอมรวยริน

รัชทายาทถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ของสตรีนางใดหรือ อาสี่”

จีหมิงซิวกวาดสายตามองเขาอย่างเฉยชา จากนั้นก็ไม่สนใจเขา

รัชทายาทมองซ้ำไปซ้ำมา สักพักหนึ่งก็มองอะไรออก “ข้าจำได้แล้ว ปิ่นเล่มนี้เป็นขององค์หญิงเจาหมิง เสด็จแม่ของข้าก็มีอยู่เล่มหนึ่ง แต่ของเสด็จแม่เป็นดอกหมู่ตานสีขาว ขององค์หญิงเจาหมิงเป็นดอกกล้วยไม้หยกขาว เป็นงานของช่างฝีมือคนเดียวกัน ช่างฝีมือคนนั้นนามว่าอันใดนะ หูหรือว่าหลู ลืมเสียแล้ว”

จีหมิงซิวขัดขึ้นว่า “วันนี้ท่านพูดมากไปหน่อยนะ”

รัชทายาทขานรับอย่างขอไปทีแล้วถามว่า “เหตุใดไม่มอบให้อาสะใภ้สี่เล่า”

พู่กันที่กำลังเขียนตัวอักษรของจีหมิงซิวหยุดชะงัก เคยมอบให้แล้ว และนางก็โยนทิ้งไปแล้ว

กรอบหน้าต่างถูกลมหนาวพัดจนเกิดเสียงดังหวีดหวิว เฉียวเวยต้มน้ำร้อนอาบจนสบายตัวเสร็จก็มานอนบนเตียงหลังใหญ่นุ่มนิ่ม ห่มผ้านวมอันอบอุ่น ผ้านวมกับหมอนยังเหลือกลิ่นอายของเขา กลิ่นจางๆ หอมยิ่งนัก

เฉียวเวยหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจลึกๆ

ภายในห้องจุดไฟของท่อมังกรดินแล้ว

แต่เฉียวเวยคลุมผ้าห่มมิดชิดก็ยังรู้สึกว่าอุ่นไม่พอ

ท้องฟ้าทอแสงสลัว เฉียวเวยถูกนาฬิกาชีวิตในร่างกายปลุกให้ตื่น ความจริงแล้วลูกสะใภ้ของตระกูลขุนนางก็ไม่ได้เป็นกันง่ายนัก ถึงจะไม่ต้องตื่นเช้ามาทำงานหนัก แต่ก็ต้องตื่นเช้ามาคารวะผู้อาวุโส ตามหลักแล้วลูกทั้งสองคนก็ต้องตื่นด้วย แต่ตอนนี้ยังเช้าเกินไปจริงๆ เฉียวเวยจึงตัดใจปลุกพวกเขาไม่ลง

เฉียวเวยอาบน้ำเสร็จแล้วก็แต่งตัวจนเรียบร้อย เดินไปเรือนถงเพื่อคารวะจีซั่งชิงกับสวินหลัน

“วันนี้ข้าตั้งใจจะไปที่นาอีกสักหน” เฉียวเวยคารวะเสร็จก็แจ้ง

สวินหลันเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เรื่องที่นาไม่ต้องยุ่งแล้ว แต่เดิมก็ต้องการให้เจ้าไปหาประสบการณ์เท่านั้น เก็บได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวข้าจะจัดหาผู้ดูแลคนใหม่ให้เจ้า”

เฉียวเวยตอบว่า “ข้าไม่ได้จะไปเก็บค่าเช่า”

สวินหลันหัวเราะเบาๆ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะไปทำสิ่งใด เยี่ยมเยียนชาวนาผู้เช่าที่เหล่านั้นหรือ ทำเช่นนั้นก็ดี เจ้าเป็นตัวแทนตระกูลจีไปปลอบประโลมพวกเขาสักหน่อย บอกพวกเขาว่าเรื่องหนนี้เป็นความผิดของตระกูลจีเอง ตระกูลจีจะชดเชยให้พวกเขา”

เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น เพราะแปลงนา นาหลายร้อยหมู่บนที่นา ส่วนใหญ่ล้วนได้ผลผลิตไม่ดี ข้าอยากไปดูสักหน่อยว่าจะแก้ไขอย่างไรได้บ้าง”

สวินหลันจิบน้ำคำหนึ่ง

จีซั่งชิงมองนางอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ารู้เรื่องการเพาะปลูกด้วยหรือ”

เฉียวเวยจึงตอบว่า “พอเข้าใจบ้างเล็กน้อย หากท่านพ่อมิรังเกียจ ข้าก็อยากไปดูสักหน่อย ดินที่นั่นแห้งแล้ง แต่มิใช่จะไร้หนทาง ที่นาหลายหมู่ถึงเพียงนั้น หากกลายมาเป็นที่นาดี ผลประโยชน์ที่เก็บเกี่ยวได้ย่อมมากมาย”

จีซั่งชิงพยักหน้า “เจ้าไปเถิด”

เฉียวเวยคารวะ แล้วถอยออกไปอย่างแช่มช้า เพิ่งเดินมาถึงประตู จีซั่งชิงก็เอ่ยปากอีกว่า “พอเจ้ากลับมาจากที่นาแล้ว จำไว้ว่าให้แวะมาเรือนถง ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

เฉียวเวยชะงักครู่หนึ่งก็ตอบ “เจ้าค่ะ”

สวินหลันวางถ้วยชาลงบนถาดรองแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับมุมปากแผ่วเบา สีหน้าท่าทางล้วนสง่างาม

การทำงานของตระกูลจีในบางด้านก็มีประสิทธิภาพสูงทีเดียว ตอนเฉียวเวยมาถึงที่นา ผู้ดูแลคนใหม่ก็มารับตำแหน่งแล้ว เขาแซ่เซี่ย เป็นผู้เฒ่าอายุห้าสิบต้นๆ ได้ยินว่าพ่อบ้านตระกูลจีเป็นผู้เลือกมาด้วยตนเอง นิสัยซื่อตรง ขยันขันแข็ง พอมาถึงก็เริ่มงานไถ่ถามปลอบโยนชาวบ้านทีละบ้านๆ ทันที

ผู้ดูแลไช่คนก่อนถูกโบย ปรับเงินและขับไล่ออกจากตระกูลจี ไม่มีวันถูกเรียกใช้งานอีกตลอดกาล

อายุเท่าเขา ถูกตระกูลจีขับไล่ออกมาคงจะอยู่เมืองหลวงต่อมิได้แล้ว

“ฮูหยินน้อย” ผู้ดูแลเซี่ยปลอบชาวบ้านไปได้ประมาณครึ่งหนึ่ง ได้ยินว่ามีเจ้านายจากตระกูลจีมา จึงรีบร้อนออกมาต้อนรับ

เฉียวเวยดูใบหน้าของเขา ดูเป็นคนซื่อคนหนึ่งจริงๆ ทว่าไม่รู้ว่าจิตใจข้างในเป็นเช่นไร แต่จีซั่งชิงออกคำสั่งมาด้วยตนเอง พ่อบ้านจีก็เลือกคนมาด้วยตนเอง คนที่มาคงนิสัยไม่เลวร้ายเกินไปนัก

เฉียวเวยผงกศีรษะให้เล็กน้อย “ผู้ดูแลเซี่ย อีกประเดี๋ยวท่านให้พวกชาวนามารวมกันที่เรือนของท่านสักหน่อย ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย”

“ขอรับ!”

ผู้ดูแลเซี่ยรับคำสั่งแล้วจากไป ผ่านไปราวหนึ่งเค่อก็กลับมาพร้อมกับชาวนาสิบเจ็ดสิบแปดคน “ฮูหยินน้อย พวกนี้คือคนที่ทำงานได้ขอรับ”

“ข้าเข้าใจแล้ว” เฉียวเวยพยักหน้า “ลำบากเจ้าแล้ว”

ผู้ดูแลเซี่ยยิ้ม “ข้าน้อยสมควรทำ ฮูหยินไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”