บทที่ 657 นางเป็นเพียงน้องสาวของข้า...(3)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 657 นางเป็นเพียงน้องสาวของข้า…(3)

หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย และในขณะที่เขากำลังจะพูดจาเกลี้ยกล่อม จิ่วจิ่วก็ก้าวขึ้นไปกระทืบบนโต๊ะอย่างแรง

จิ่วจิ่วยิ้มและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ท่านช่างเป็นคนใจกว้างจริงๆ น้องสาวขอดื่มอวยพรให้ท่าน!”

ฉีหยวนโบกมือและไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับมัน

แต่ในขณะนั้น จิ่วจิ่วก็ใช้กำลังมหาศาลของนาง และออกแรงผลักฉีหยวนลงไปไว้ใต้โต๊ะอย่างรวดเร็ว

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจเบาๆ จากนั้นเขาก็ส่งอาจารย์ของเขาไปที่เตียงฟางและใช้พลังเซียนของเขาสร้างข่ายอาคมกั้น

หลิงเอ๋อร์ ซึ่งกำลังเล่นเอ้อร์หูอยู่ข้างๆ ก็เก็บเครื่องดนตรีของนางแล้วกระโดดข้ามไป นางยกมือขึ้นจับแขนเสื้อของหลี่ฉางโซ่วและกล่าวเสียงต่ำ

“ศิษย์พี่ หากข้าไม่อาจฝึกบำเพ็ญให้เติบโต และมีอายุยืนยาวตลอดไปได้ ชาติหน้า ข้าก็จะไม่มีวันลืมท่าน”

“ท่านมีความปรารถนาสักหน่อยได้หรือไม่?”

ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ถึงกับพูดไม่ออก หน้าผากของเขามืดทะมึน ปกคลุมไปด้วยเส้นสายสีดำ

“ตอนนี้ เจ้าเพียงเพิ่งมาถึงขอบเขตเซียนเทียน เจ้ายังมีอายุขัยเหลืออีกมาก แต่เจ้ากำลังคิดถึงความจริงที่ว่า เจ้าจะไม่อาจเป็นเซียนจินได้!”

จิ่วจิ่วยิ้มและนั่งอยู่ที่ประตู นางคว้าน้ำเต้ามาและลิ้มรสสุราชั้นเลิศต่อไป

“ศิษย์พี่” หลิงเอ๋อร์เอ่ยถามอีกครั้ง “หากท่านอาจารย์สิ้นอายุขัยลงและกลับชาติมาเกิดใหม่เป็นอีกคนหนึ่ง แล้วท่านจะยังคงเป็นอาจารย์ของเราอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”

“ความจริงแล้ว ไม่นับเป็นเช่นนั้น” หลี่ฉางโซ่วกล่าว

“แต่เมื่อว่ากันตามเหตุผลแล้ว เจ้าและข้ายังคงควรตอบแทนบุญคุณอาจารย์ต่อการกลับชาติมาเกิดใหม่ของท่านอาจารย์ในฐานะเป็นศิษย์ของท่าน”

ดูเหมือนว่า หลิงเอ๋อร์จะครุ่นคิดลึกซึ้ง

หลี่ฉางโซ่วหยิบตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ออกมาจากแขนเสื้อของเขาและแปลงร่างมันให้อยู่ในรูปลักษณ์ชราของฉีหยวน

ในขณะนั้น อาจารย์ลุงจิ่วอูกำลังบินจากโถงตู้เซียนไปยังยอดเขาหยกน้อย และหลี่ฉางโซ่วก็เป็นผู้นำในการก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อต้อนรับจิ่วอูด้วยรูปลักษณ์ของท่านอาจารย์ของเขา

จิ่วจิ่วถามด้วยความสับสนว่า “เจ้ากำลังจะทำอันใด?”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มสงบและกล่าวว่า “ช่วยท่านอาจารย์จัดการปัญหาบางอย่าง”

“หือ?”

จิ่วจิ่วกะพริบตาและกล่าวพร้อมกับหลิงเอ๋อร์ว่า “พาข้า (พวกเรา)ไปด้วยนะ!”

หลี่ฉางโซ่วถึงกับเงียบงันทันที

ทักษะดั้งเดิมของศิษย์สำนักบำเพ็ญเต๋า วิชาซุบซิบนินทาเก่า

……

จิ่วอูขี่เมฆมาที่ยอดเขาหยกน้อยเพื่อชี้แจงสถานการณ์สั้นๆ

คราวนี้ เป็นหญิงชราที่ครองฐานพลังระดับสูงจากเผ่าชิงชิวมาหา นางบอกว่า นางกำลังจะไปเยี่ยมเยียนสำนักเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน

ก่อนหน้านี้ เมื่อใต้เท้าเทพวารีแห่งศาลสวรรค์ได้ซุ่มโจมตีเหล่าปีศาจแห่งกรรมเหล่านั้นในสำนักตู้เซียน เขาเคยยกย่องพวกเผ่าชิงชิวเป็นการส่วนตัว

ด้วยเหตุนี้ เผ่าชิงชิวจึงมาแสดงความเคารพตอบแทน และในเวลาเดียวกันนั้น จิ้งจอกสาวจากเผ่าชิงชิวก็มีประสงค์จะพบเซียนจั๋วบนภูเขา

หลี่ฉางโซ่วซึ่งปลอมตัวมาเป็นนักพรตเต๋าชรา ฉีหยวน ได้นำผู้พิทักษ์ซ้ายและขวา – ศิษย์น้องหญิงและอาจารย์อาของเขาโดยมี – อาจารย์ลุง – นักพรตเต๋าร่างเตี้ย จิ่วอู ที่ตามมาทางด้านหลัง ต่างรีบพุ่งตรงไปที่โถงตู้เซียน

หลังจากเข้าไปในห้องโถงแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่ร้อนแรงคู่หนึ่งที่จ้องมองใบหน้าของเขา

ในครั้งนี้ หลี่ฉางโซ่วแตกต่างไปจากครั้งที่แล้ว เขาได้เปลี่ยนไปทัศนคติของเขาไปเล็กน้อย

เขาต้องปฏิเสธนางอย่างแน่นอน แต่จะมั่นใจได้ดีที่สุดหากท่านอาจารย์ของเขาจะเป็นคนปฏิเสธนางด้วยตัวเอง

มันยากที่จะรับรองได้ว่าเรื่องนี้จะไม่ซ้ำรอยกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างจ้าวกงหมิงและเทพธิดาจินกวง

เพราะในท้ายที่สุดแล้ว สตรีเกี้ยวบุรุษดุจชั้นไหม แต่บุรุษเกี้ยวสตรีดั่งข้ามเขา[1] หลี่ฉางโซ่วสนับสนุนตัวเอง

บัดนี้ หลี่ฉางโซ่วพาตัวเองเดินเข้าไปในห้องโถงและโค้งคำนับให้เจ้าสำนักท่ามกลางสายตาจ้องมองอย่างงุนงงสงสัยของเหล่าผู้อาวุโสและปรมาจารย์เผ่าปีศาจกว่าสิบคน

จากนั้นเขาก็ทำการคารวะเจ้าสำนักพร้อมกับกล่าวว่า “ข้า ปรมาจารย์ผู้นำแห่งยอดเขาหยกน้อย ฉีหยวน ขอน้อมพบท่านเจ้าสำนัก และผู้อาวุโสทุกท่าน”

จิ่วจิ่วและหลิงเอ๋อร์ก็น้อมคารวะให้เช่นกัน

วันนี้จี้อู๋โหย่วหยุดกระแอมไอและคลี่ยิ้ม

“ฉีหยวน สหายเก่าของเจ้ามาเยือน จ้าจึงให้เรียกให้เจ้ามาที่นี่

เจ้าไปนั่งข้างหลังก่อนเถิด ไว้คุยเรื่องงานกันเสร็จสิ้น แล้วค่อยให้เจ้าได้เล่าอดีตด้วยตัวเอง”

“ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วตอบ

เขาไม่สนใจสตรีสาวสะคราญที่ไม่อาจนั่งนิ่งเฉยได้อีกต่อไป และเดินไปที่โต๊ะเตี้ยตรงมุมหนึ่งที่อยู่ไกลๆ ในโถงและนั่งลงอย่างสบายใจ

ในท้ายที่สุดแล้ว จิ้งจอกสาวก็ไม่อยากรออีกต่อไป นางยืนขึ้นตัวตรงพร้อมด้วยสายตาลังเลใจ ในยามนี้ หัวใจของนางกำลังลุกเป็นไฟ

นางไม่สนใจว่านางอยู่ที่ใดหรือมีผู้ใดอยู่ที่นั่น นางเดินตรงไปหานักพรตเต๋าชราที่หลี่ฉางโซ่วได้แสร้งปลอมตัวมา…

“นักพรตเต๋า…”

ทว่าจู่ๆ ก็มีร่างสองร่างปรากฏขึ้นจากทั้งสองด้านและคว้าโต๊ะเตี้ยข้างๆ หลี่ฉางโซ่ว

เขามองไปทางซ้ายและเห็นหลันหลิงเอ๋อร์ เมล็ดพันธุ์เซียนจินที่โด่งดังสุดๆ ในสำนัก!

นางช่างมีใบหน้างดงามยิ่ง ไม่สิ จะบรรยายว่านางงดงามได้อย่างไร? นั่นมันตื้นเขินเกินไป

หลิงเอ๋อร์ที่เข้าสู่เซียนเทียนนั้น นางไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป เสน่ห์ส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้ผลิบานก่อนหน้านี้ บัดนี้ ได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว

คิ้วของนางงดงามดุจชิงไต้[2] ดวงตาของนางชัดเจน ใบหน้าและเรือนร่างที่งดงามของนางดูเหมือนจะไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลงเลยแม้แต่น้อย ถึงกระนั้น เขาก็พลาดความงามอันโดดเด่นไม่เหมือนใครเช่นนี้ไป

เขามองไปทางขวา ก็เห็นจิ่วจิ่ว ซึ่งเป็นจิ่วเซียนที่มีชื่อเสียงในสำนัก นางนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเบื่อหน่ายเล็กน้อย

นางเชิดหน้าขึ้นสูงและผายอก ซึ่งทำให้จิ้งจอกสาวผงะงันหยุดอยู่กับที่ทันทีและไม่กล้าก้าวออกไปข้างหน้า

นั่นคือ การป้องปราม

ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็หันไปมองหลิงเอ๋อร์

ในขณะนั้น เขากำลังแสร้งปลอมตัวเป็นอาจารย์ของเขา …

“หลิงเอ๋อร์ เจ้ามาก่อปัญหาอันใดที่นี่? มานั่งข้างหลัง!” จิ่วอูเรียกออกมาเบาๆ จากทางด้านหลัง

หลิงเอ๋อร์กะพริบตาและมองไปที่รูปลักษณ์ของศิษย์พี่ของนาง จากนั้นนางก็มองไปที่จิ้งจอกสาวที่มีเสน่ห์เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอีกครั้ง

ชั่วขณะหนึ่งนั้น นางรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย แต่นางก็ทำได้เพียงก้มหน้าแล้วยืนขึ้น…

จิ้งจอกสาวรีบกล่าวว่า “นั่งตรงนี้เถิด ให้หลิงเอ๋อร์นั่งตรงนี้”

กล่าวจบ จิ้งจอกสาวก็เดินข้ามโต๊ะเตี้ยไปหาหลี่ฉางโซ่ว ดวงตางามดุจตาหงส์ของนางฉายแววเขินอายออกมาเล็กน้อย

“นักพรตเต๋า … หลานเอ๋อร์ขอนั่งข้างๆ ท่านได้หรือไม่?”

ไม่ได้ หลีกไป ชุดต่อไป

หลี่ฉางโซ่วอยากจะบอกเช่นนั้นจริงๆ…

……………………………………………………………….

[1] หมายถึง การที่หญิงเริ่มเกี้ยวชายก่อนนั้นย่อมง่ายกว่า (เปรียบความยากบางเบาเพียงด้ายไหมกั้น) ให้ชายเกี้ยวหญิง (เปรียบความยากหนักหนาดั่งต้องข้ามช่องเขาหรือภูผากั้น) ด้วยนัยว่า หญิงอาจมีความดื้อดึงและมีความคิดเป็นของตนเอง

[2] สีน้ำเงินเข้ม