บทที่ 759 มีพี่ชายคอยดูแลเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 759 มีพี่ชายคอยดูแลเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ

บทที่ 759 มีพี่ชายคอยดูแลเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ

ถึงขนาดคิดเผื่อไปอีกสิบปีข้างหน้าด้วยซ้ำ ว่าจะต้องลำบากกว่าพี่น้องคนอื่น ๆ ในตระกูลแน่นอน ตอนนั้นก็สงสัยในสิ่งที่เลือกว่ามันถูกต้องแล้วหรือเปล่า ทว่าก็เลิกคิดไปเสียแล้ว ถ้ารวยก็ไม่ได้เป็นทหาร และถ้าเป็นทหารก็ไม่มีทางรวย! ในเมื่อเลือกแล้วจะเสียใจทีหลังไม่ได้!

แต่ไม่คิดว่าครอบครัวจะทำให้เขาประหลาดใจได้ถึงเพียงนี้ เขาควรยอมรับไว้ใช่ไหม? กับคนที่ไม่เคยหาเงินเลี้ยงครอบครัว มีคุณสมบัติอะไรถึงได้สิ่งที่ดีที่สุดในบ้านมา?

“เสี่ยวเถียน พี่รับไว้ไม่ได้หรอก” เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบกลับ

“หนูไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ค่ะ ถ้าพี่ไม่อยากได้ก็ไปหาปู่กับย่าเถอะ” น้องสาวโบกมือ

ล้อกันเล่นแล้ว ทุกคนในบ้านเห็นด้วยกันทั้งนั้น บอกไม่เอาคือไม่เอาได้ด้วยเหรอ?

ซูอู่ร่างสำลัก!

“แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้นค่ะ ปู่ย่าคงไม่ตัดสินใจแบบนั้นหรอกถ้าสถานการณ์บ้านเราในตอนนี้ย่ำแย่น่ะ!”

“ถึงพี่ใหญ่จะไม่ได้มีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ก็ยังได้ลงทุนกับกิจการของพี่สี่และได้รับเงินปันผลทุกเดือนด้วย พี่รองก็เหมือนกัน งานศิลปะของพี่สองมีคุณค่าขึ้นเรื่อย ๆ และอาจเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดเลยก็ได้”

“พี่สามไม่ต่างไปจากพี่ใหญ่พี่รองเลย ลงทุน ได้เงินปันผล มีทุนจากงานวิจัย เงินทุนอุดหนุนอีก เรื่องพี่สี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย โลดแล่นหาเงินไปทั่วทุกสารทิศแล้ว”

“ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องของหนูแล้วกัน แค่พี่หก พี่เจ็ด พี่แปด พี่เก้าที่อายุน้อยกว่าพี่ยังมีเงินในมือไม่น้อยเลยนะ ปู่ย่าไม่ได้หวังให้เกิดความเลื่อมล้ำระหว่างพวกเราน่ะค่ะ!”

เหมือนคนเฒ่าคนแก่จะเป็นแบบนี้กันหมด อยากให้อยู่สุขสบาย ถ้าช่วงไหนลำบากก็คอยช่วยเหลือสักหน่อย

แต่ความคิดแบบนี้พวกลูกไม่ยอมรับเท่าไร

เราอุตส่าห์ทำงานหาเงินมา ตัวเองยังไม่พอใช้เราจะเอาไปให้คนอื่นทำไม?

แต่ปู่ย่าได้เลือกวิธีที่ยอมรับได้มากที่สุด นั่นคือหลังจากที่ลูก ๆ มีงานการเป็นของตัวเองก็จะทิ้งทรัพย์สินของตัวเองให้หลานคนที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดแทน

ต้องบอกเลยว่าแม้คุณปู่ซูจะมาจากชนบท แต่พวกเขาฉลาดมาก

กว่าเรากลับถึงบ้านก็เย็นย่ำแล้ว คนอื่น ๆ กลับไปมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อย สองพี่น้อยที่เห็นว่าตอนนี้เริ่มมืดแล้วก็เป็นห่วงเรื่องเดินทางกลับมหาวิทยาลัยทันที

คุณย่าซูหยิบกระเป๋าใบใหญ่ออกมาสองใบแล้วส่งให้หลานชาย

“เสี่ยวอู่ กระเป๋าสองใบนี้มีอาหารใส่อยู่นะ ใบนึงของแก อีกใบของน้อง ถือเลยสองใบ!”

“…” เสี่ยวเถียน

หิ้วกระเป๋าให้น้อง?

ซูอู่ร่างมองกระเป๋าในมือโดยไม่รู้ตัว มันคุ้มค่าเหรอเนี่ย

“มองอะไร แกเป็นพี่ชายไง” หญิงชราพูดจาไม่แย่แส

เสี่ยวเถียนยิ้ม

ใช่ เป็นพี่ก็ต้องดูแลน้องสิ

“ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากดูน้องครับย่า แต่ย่าห่อของมาให้พวกเราเยอะเลย จะดีจริง ๆ เหรอครับ?” ซูอู่ร่างยิ้มตอบ

“คนตั้งเยอะแยะ อย่าไปกลัวเสียดายซี่!” คุณย่าซู

จริง ๆ เล้ยเด็กคนนี้ เป็นทหารยังไงให้ทำตัวขี้เหนียว ของแค่นี้ยังไม่อยากรับไว้อีก

โชคดีที่หลานชายอ่านใจคนไม่ได้ ไม่งั้นคงได้ตะโกนว่าไม่จำเป็นแน่ ๆ

ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้อยากได้หรอก แค่คิดว่ามันเยอะไปหน่อย ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าย่าใส่อะไรไว้ มันถึงได้หนักอึ้งขนาดนี้

สองพี่น้องออกประตูไปก็เจอรถจากโรงงานไฟฟ้าพอดี

มีรถมารับอีกแล้วเหรอ?

เสี่ยวเถียนไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ

แค่วันเดียวก็มีรถจากทั้งสองโรงงานไปรับไปส่ง คนเห็นเข้าคงมองไม่ดีแน่

แต่คนขับรถกลับพูดด้วยสีหน้าขมขื่นว่า ผู้อำนวยการทั้งสองโรงงานปรึกษากันดีแล้ว เรื่องไปรับเป็นของโรงงานผ้าไหม ส่วนเรื่องไปส่งเป็นของโรงงงานเรา และตัวเขาคือคนทำหน้าที่นั้นนั่นเอง

เสี่ยวเถียนหมดคำจะพูด ผู้อำนวยการสองคนนั้นอายุร่วม 180 ปีได้แล้วมั้ง แล้วทำไมทำตัวแบบนี้เนี่ย?

แต่สุดท้ายก็ขึ้นรถมาลงหน้ามหาวิทยาลัย

หลังจากกล่าวขอบคุณก็เอ่ยเตือนอีกว่าสุดสัปดาห์นี้ไม่ต้องมารับ ถ้าเพื่อนเห็นจะดูไม่ดีเอา

ซูอู่ร่างเดินนำหน้าโดยแบกกระเป๋าไว้สองใบ ข้างหลังมีเสี่ยวเถียนแบกกระเป๋าตามต้อย เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้

การมีพี่ชายมันดีแบบนี้นี่เอง

“เสี่ยวเถียน เดี๋ยวพี่ไปส่งใต้หอนะ!” เขาชั่งน้ำหนักกระเป๋า ใบใหญ่มีของกิน ใบเล็กเป็นเสื้อผ้าเสี่ยวเถียน

“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูถือกลับไปเองได้!” เด็กสาวเอ่ยอย่างมั่นใจ

“พี่รู้ว่าเธอแข็งแรง แต่มีพี่ชายอยู่ด้วยทั้งทียังไม่ถึงตาให้เธอออกโรงเสียหน่อย!” คนเป็นพี่เอ่ยอย่างเขิน ๆ

เด็กสาวปฏิเสธพี่ชายไม่ได้เลย สุดท้ายก็ต้องยอมให้เขาไปส่งใต้หอ

หลังจากรับกระเป๋ามา เสี่ยวเถียนโบกมือลาและเข้าหอพักไป

หลี่เจี้ยนหงกำลังมองดูทิวทัศน์อยู่นอกระเบียงพอดี จึงเห็นอู่ร่างมาส่งเสี่ยวเถียน

“เสี่ยวเถียนกลับมาพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ตั้งสองใบเลย พวกเราไปช่วยกันไหม?”

“ได้สิ!” จ้าวหงเหมยว่าจบก็วิ่งไปที่ประตู

“เสี่ยวเถียนเอาของอร่อย ๆ ใส่กระเป๋ามาให้เราจริง ๆ เหรอ?” ต่งเยี่ยนอันว่าขณะเดินออกมา

“มีแค่สองใบเอง จะไปกันหมดเลยเหรอ?”

เฉียนเสี่ยวเป่ยที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงเห็นเพื่อนทั้งสามออกไปเลยตะโกนถาม จริง ๆ เล้ย จะไปช่วยแบกกันสินะ? ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ก็ยังผุดลุกขึ้นอย่างไว

ขณะใส่รองเท้า คนอื่น ๆ ก็กลับมาแล้ว

“เสี่ยวเถียน กระเป๋าเธอหนักมากเลย คงไม่ได้เอาของอร่อยมาให้เราจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย?” จ้าวหงเหมยจ้องกระเป๋าตาไม่กระพริบ

“คุณย่าฉันทำของอร่อยมาให้พวกเธอน่ะ แกบอกว่าไม่ได้กลับบ้านกันเลยเอามาให้กินชดเชยที่ไม่ได้กลับ!”

เสี่ยวเถียนว่าแล้วเปิดหยิบของข้างในออกมา ที่จริงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณย่าเอาอะไรมาให้บ้าง

“โอ๊ะ แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ?”

เสี่ยวเถียนเพิ่งเห็นว่าในห้องมีแค่สี่คนเอง

“ฉู่เยว่ยังไม่กลับ ส่วนเสี่ยวฟางไปกินข้าว”

ส่วนอิ่นหรูอวิ๋นกลับมานานแล้ว แต่ไปไหนไม่รู้ และคิดว่าเพื่อนคงไม่อยากได้ยินเลยไม่ได้บอกอะไรไป เป็นที่แน่นอนว่าเสี่ยวเถียนไม่ได้ถาม แต่สงสัยเรื่องอื่นแทน

“แล้วทำไมพวกเธอไม่ไปกินข้าว?”

มันถึงเวลากินแล้วนี่นา

“เราฝากเสี่ยวฟางเอาหมั่นโถวแค่สองลูกน่ะ แล้วก็รอดูว่าเธอจะเอาของกินอะไรมาให้เราไง!”จ้าวหงเหมยพูดอย่างไม่ใส่ใจ

“แล้วเสี่ยวฟางไปกินข้าวทำไม?”

หรือกลัวว่าตนจะไม่มีส่วนแบ่งให้?

“เสี่ยวฟางบอกว่าตัวเองกินเยอะ เลยไปกินรองท้องสักหน่อยน่ะ”

อ๋อ!

ไม่แปลก ๆ

ผู้หญิงคนนั้นกลัวอยู่ตลอดว่าตัวเองจะกินไม่อิ่ม