บทที่ 784 ยอดบุตรแห่งสวรรค์ของยุค ชื่อเสียงเล่าขานนับหมื่นปี

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 784 ยอดบุตรแห่งสวรรค์ของยุค ชื่อเสียงเล่าขานนับหมื่นปี

หลังจากสังหารจอมเทพซิ่นอวี่เรียบร้อย หานเจวี๋ยเข้าฝันจอมเทพข่งเซวี่ยต่อ

“เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

จอมเทพข่งเซวี่ยตะลึงงัน ช่วงเวลาในการเข้าฝันสองครั้งทิ้งระยะห่างสักเท่าไรกันเชียว

หรือว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการติดตามเขาอยู่ตลอด คอยให้การคุ้มครองเขาอย่างลับๆ

เป็นไปไม่ได้!

หรือว่า…

จอมเทพข่งเซวี่ยมองเจ้าแดนต้องห้ามอันธการด้วยสายตาที่เปี่ยมความเคารพเลื่อมใส

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “หลังจากออกไปแล้ว ให้เสาะหาสถานที่สักแห่งฝึกบำเพ็ญให้ดี วันหน้าหากต้องการตัว ข้าอาจจะเรียกหาเจ้าได้ทุกเมื่อ”

พอเอ่ยจบ หานเจวี๋ยก็สลายแดนความฝันทันที

จอมเทพข่งเซวี่ยลืมตาขึ้น

เขาถูกขังไว้ในเตาหลอมใบหนึ่ง ห้วงมิติด้านในกว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง ราวกับโลกที่ท่วมด้วยเพลิงระอุ

เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า แสงเทพห้าสีพุ่งออกมาจากด้านหลัง ทะลวงท้องฟ้าโดยตรง แสงสีขาวสายหนึ่งส่อง ลอดปากโพรงลงมา

จอมเทพข่งเซวี่ยกระโดดออกมา ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง

ภายในตำหนักเงียบสงัด นอกจากเขาแล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอีก

จอมเทพข่งเซวี่ยสังเกตรอบข้างด้วยความระมัดระวัง พบว่าไม่มีกลิ่นอายของจอมเทพซิ่นอวี่เลย

จอมเทพซิ่นอวี่น่าจะไม่ได้หนีไป เพราะถ้าหากหนี พลังจากสมบัติวิเศษของเขาต้องยังอยู่ มีเพียงเขาสิ้นชีพไปแล้วเท่านั้น ผนึกของกระถางสัมฤทธิ์ยักษ์ใบนี้ถึงได้อ่อนลง ด้วยเหตุนี้จอมเทพข่งเซวี่ยถึงสามารถหนีออกมาเองได้

“เฮอะๆ เจ้ามีที่พึ่งอยู่ผู้เดียวหรือไร กล้ามาวางท่าใส่ข้า ตายไปเสียเถอะ!”

จอมเทพข่งเซวี่ยกวาดตามองตำหนักใหญ่หลังนี้อย่างดูแคลน จากนั้นเขาก็เก็บกระถางสัมฤทธิ์ยักษ์ที่ขังตนไว้ก่อนหน้านี้เข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นจึงจากไป

กองกำลังใต้อาณัติของจอมเทพมีเพียงโลกใบนี้เท่านั้น ถึงขั้นที่มีตัวตนระดับอริยะอยู่ไม่น้อยเลยด้วยซ้ำ จอมเทพข่งเซวี่ยที่มีโทสะสุมอยู่เต็มอกต้องการระบายมันออกมา ด้วยเหตุนี้จึงกวาดล้างโลกใบนี้เสีย

หลายชั่วยามต่อมา

จอมเทพข่งเซวี่ยปรากฏตัวขึ้นในแดนต้องห้ามอันธการ เขาแค่นเสียงเอ่ยว่า “ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่พวกเจ้าเกิดผิดที่!”

เขากลายเป็นแสงเทพห้าสีสายหนึ่ง หายลับไปในส่วนลึกของแดนต้องห้ามอันธการ

….

เขาเทพปู้โจว

หานอวี้ นั่งสมาธิอยู่ใต้พฤกษาเก่าแก่ ทันใดนั้นเขาพลันลืมตาขึ้น มองเห็นฉินหลิงลอยตัวอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าเขา

ฉินหลิงสวมชุดเกราะเทพ มือถือศาตราวุธเทพ แผ่รัศมีเทพสงคราม ดูองอาจกว่าเทพเซียนใดๆ ที่หานอวี้เคยพบพานมา

ทั้งสองสบตากัน ต่างมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น

ฉินหลิงร่อนลงมา คุกเข่าลงตรงหน้าหานอวี้ เอ่ยอย่างหนักแน่นทรงพลัง “ศิษย์หลานอกตัญญูฉินหลิงกลับมาหาอาจารย์ปู่แล้วขอรับ!”

จากนั้นเขาโขกศีรษะให้

สตรีชุดเขียวที่อยู่ไกลออกไปได้รับความตกใจ ลืมตาขึ้นมาเห็นฉากนี้พอดี

นางแอบตื่นตระหนกอยู่บ้าง

มองครู่เดียวก็รู้แล้วว่าฉินหลิงไม่ธรรมดายิ่ง นอกจากหานเจวี๋ยที่มาก่อนหน้านี้ นางยังไม่เคยพบเห็นคนที่มีอำนาจแกร่งกล้าเท่าฉินหลิงมาก่อนเลย

ถึงขั้นที่เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินหลิงแล้วแม้กระทั่งหานอวี้ก็ยังดูอ่อนด้อยกว่า!

ฉินหลิงสังเกตเห็นสตรีชุดเขียว จึงเอ่ยถาม “นางคือผู้ใดขอรับ”

หานอวี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้บำเพ็ญในหุบเขา ไม่จำเป็นต้องสนใจนาง บอกข้าหน่อยเถิดว่ากลับมาด้วยเหตุใด หลายแสนปีมานี้เป็นอย่างไรบ้าง”

“สบายดีขอรับ”

ฉินหลิงตอบอย่างเบิกบาน ได้พบหานอวี้อีกครั้ง เขาก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน

สตรีชุดเขียวตกใจ

หลายแสนปีอย่างนั้นหรือ…

แค่ศิษย์หลานยังมีอายุขนาดนี้ แล้วผู้อาวุโสท่านนี้มีชีวิตอยู่มานานเพียงใดแล้วเล่า

ฉินหลิงเริ่มเล่าถึงชีวิตในฟ้าบุพกาลของตน สตรีชุดเขียวเองก็ฟังอย่างตั้งใจเช่นกัน

หลายวันต่อมา

ฉินหลิงเพิ่งเล่าจบ หานอวี้ก็รู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง ไม่คิดเลยว่าในช่วงหลายปีมานี้ฉินหลิงจะใช้ชีวิตอย่างมีสีสันถึงเพียงนี้

สตรีชุดเขียวก็มองฉินหลิงด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความเลื่อมใส ระดับเลิศล้ำเหล่านั้น หากเปลี่ยนเป็นนาง คงกลัวจนยอมแพ้ไปนานแล้ว

จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าหนี้แค้นที่ตนแบกไว้ไม่นับเป็นอันใดเลย

ผ่านมาเนิ่นนานปานนี้ เกรงว่าอาจารย์คงกลับชาติมาเกิดนานแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะกลับชาติมาเกิดเป็นยอดบุตรแห่งสวรรค์ก็เป็นได้

ฉินหลิงมองสตรีชุดเขียว ท่าทางอึกอักลังเล

หานอวี้ไล่สตรีชุดเขียวลงเขาไปทันที

สตรีชุดเขียวบึนปาก ลงเขาไปในทันใด

จากนั้นฉินหลิงก็ได้เล่าถึงเหตุผลที่กลับมาในครั้งนี้

เมื่อได้ยินว่าฉินหลิงต้องกลายเป็นบุตรแห่งมหาเคราะห์ ทั้งยังต้องประสบชะตาอาภัพหนึ่งชาติภพ หานอวี้ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้

ฉินหลิงเอ่ยปลอบว่า “ปรมาจารย์โจวฝานเคยบอกข้าว่า เรื่องนี้ได้รับความเห็นชอบจากผู้อาวุโสอย่างอริยะสวรรค์เกรียงไกรแล้ว ไม่มีทางเกิดความผิดพลาดขึ้นแน่นอน เหล่าอริยะก็ไม่กล้าวางแผนร้ายต่อข้าเช่นกัน”

เมื่อเอ่ยถึงหานเจวี๋ย สีหน้ากังวลของหานอวี้เลือนหายไปในทันใด

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ขวางเจ้า” หานอวี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ฉินหลิงยิ้มตาม

หานอวี้เอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเติบโตจนร้ายกาจถึงเพียงนี้แล้ว สามารถแบกรับภาระด้วยตัวเองได้ เก่งกาจกว่าข้าเสียอีก ทำให้ข้ารู้สึกดีใจจริงๆ”

ฉินหลิงเกาหัว หัวเราะแหะๆ เอ่ยไปว่า “ที่ไหนกันเล่าขอรับ ในใจของข้าอาจารย์ปู่คือคนที่เก่งกาจและสำคัญที่สุด! ไม่ว่าข้าจะแข็งแกร่งขึ้นมากขนาดไหน ท่านก็ยังเป็นผู้อาวุโสของข้าไปตลอดกาล เป็นคนที่ข้าให้ความสนิทสนมที่สุด!”

“เจ้าก็ช่างพูด”

“แหะๆ”

หลายเดือนต่อมา ฉินหลิงถึงได้จากไป

หานอวี้ยืนอยู่ริมหน้าผามองเงาหลังของเขาที่ค่อยๆ ห่างออกไป ดวงตะวันลาลับฟ้า หันหลังจากไม่ย้อนหวน

วินาทีนี้ หานอวี้ถึงได้รู้สึกขึ้นมาว่าฉินหลิงเติบโตแล้วจริงๆ

ในใจของหานอวี้ค่อนข้างวูบโหวงอย่างน่าประหลาด

เขาทราบดีว่าในอนาคตฉินหลิงคงมาอยู่เป็นเพื่อนเขาได้ยากยิ่ง ช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันมีแต่จะสั้นลงเรื่อยๆ ส่วนช่วงเวลาที่แยกห่างกันก็มีแต่จะยาวนานขึ้นเรื่อยๆ

หานอวี้อดนึกถึงหานเจวี๋ยไม่ได้

สำนักซ่อนเร้นบ่มเพาะบุตรแห่งสวรรค์มากมายนับไม่ถ้วน กระทั่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วฟ้าบุพกาลอยู่ไม่น้อย

ท่านปฐมบรรพชนจะมีความรู้สึกสูญเสียเช่นเดียวกันกับเขาหรือไม่

“จะเป็นไปได้อย่างไร…”

หานอวี้อดขำไม่ได้ รู้สึกว่าตนช่างโง่เง่านัก

เขาไหนเลยจะเทียบกับท่านปฐมบรรพชนได้

ร้อยปีต่อจากนั้น ชื่อเสียงบุตรแห่งสวรรค์ฉินหลิงเป็นที่กล่าวขานในแดนเซียนอยู่บ่อยครั้ง เริ่มแรกมีอริยะหลายคนเอ่ยออกมาตรงๆ ว่าพรสวรรค์ของเขาแข็งแกร่งเป็นที่สุด จากนั้นฉินหลิงก็ท้าสู้ไปทั่วสารทิศ พิสูจน์ความแข็งแกร่งของตน

ไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายฉินหลิงได้ ล้วนถูกฉินหลิงใช้ความแข็งแกร่งเข้าปราบปราม

ในเวลาเดียวกันนี้ วังเทพได้เริ่มผลักดันซย่าจื้อจุนแล้ว

หลังจากผ่านไปอีกห้าพันปี ชื่อเสียงของฉินหลิงและซย่าจื้อจุนบรรลุถึงจุดสูงสุด กลายเป็นยอดบุตรแห่งสวรรค์ของยุคที่สรรพสิ่งในแดนเซียนต่างรู้จัก

จนกระทั่งวันหนึ่ง

สองยอดบุตรแห่งสวรรค์ของยุคที่ไม่เคยโคจรมาพบกันได้นัดหมายต่อสู้ตัดสินกันบนยอดเขาคุนหลุน สะท้านสะเทือนทั่วแดนเซียน!

ผู้บำเพ็ญมากมายต่างมุ่งหน้าไปชมการต่อสู้ เนื่องจากมีอริยะกล่าวไว้ว่า ในสองคนนี้หากคนใดได้รับชัยชนะ จะกลายเป็นตัวตนที่ก้าวข้ามอริยะ กลายเป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เคยมีมาของมรรคาสวรรค์!

เมื่อถึงวันต่อสู้ตัดสิน ผู้บำเพ็ญนับร้อยล้านห้อมล้อมอยู่รอบเขาคุนหลุน ชมการต่อสู้จากระยะไกล

ศึกนี้สะท้านฟ้าสะเทือนดิน!

ผู้บำเพ็ญทั้งหมดที่มาชมการต่อสู้ล้วนให้การยอมรับนับถือ สมกับเป็นยอดบุตรแห่งสวรรค์ของยุคโดยแท้

อย่างไรก็ตามฉากจบกลับทำให้สรรพสิ่งแตกตื่นฮือฮา!

สองยอดบุตรแห่งสวรรค์ผู้เลิศล้ำหาตัวจับได้ยาก สุดท้ายต่างตายตกไปตามกัน ระเบิดตัวเองไปพร้อมกัน แม้ตายก็ยังต้องการสังหารอีกฝ่าย

จอมอริยะเสวียนตูออกโรงปกป้องวิญญาณทั้งสองไว้ เนื่องจากทั้งสองสร้างความเสียหายมหาศาลให้แดนเซียน ทำให้ผู้ชมการต่อสู้ถูกลูกหลงนับไม่ถ้วน จอมอริยะเสวียนตูจึงให้พวกเขากลับชาติเกิดใหม่ ไปทำความเข้าใจในโลกมนุษย์สามัญ

สองยอดบุตรแห่งสวรรค์ของยุคที่ยากจะพานพบได้สักคนในรอบหมื่นปีปรากฏตัวขึ้นในยุคเดียวกัน ซ้ำยังต่อสู้จนตายตกไปตามกันด้วย!

ศึกนี้กลายเป็นตำนาน เล่าขานกันไปนับหมื่นยุค มิใช่แค่ในแดนเซียน ทว่าปวงสวรรค์หมื่นโลกาจนถึงเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลล้วนมีผู้บำเพ็ญมากมายที่เอาไปเล่าลือกันอย่างได้อรรถรส

ฉินหลิงและซย่าจื้อจุน กลายเป็นชื่อในตำนานเล่าขาน เช่นเดียวกับพวกผานกู่ บรรพจารย์ซานชิง บรรพชนเต๋า และอริยะสวรรค์เกรียงไกร

พวกเขาอาจจะไม่บรรลุถึงระดับอริยะ แต่พรสวรรค์ของพวกเขาได้หลงเหลือตกทอดไปให้ผู้บำเพ็ญรุ่นหลังได้จินตนาการถึงนับไม่ถ้วน

หากไม่สิ้นท่าตั้งแต่ยามเยาว์ อนาคตของพวกเขาย่อมรุ่งเรืองไร้ขีดจำกัด!

เนื่องด้วยเหตุนี้ ถึงขั้นที่มีผู้บำเพ็ญไม่น้อยคิดไปว่าความตายของพวกเขาคือฝีมือของอริยะ ด้วยเกรงว่าจะปรากฏผานกู่อีกสองรายขึ้น!

ณ ยมโลก

ภายในตำหนักพญายม

หยางเทียนตงมองฉินหลิงที่ถูกตรวนล่ามวิญญาณล่ามมือล่ามเท้าไว้ เอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “ไม่เลวเลย ถึงตายแล้ว แต่ก็ยังสร้างเกียรติให้สำนักซ่อนเร้น”

เดิมที่ฉินหลิงมีท่าทางเย็นชา แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็อดแสดงสีหน้าแปลกใจไม่ได้ เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านพญายมมีสายสัมพันธ์กับสำนักซ่อนเร้นหรือ”

………………………………………………………………