เสียงฝีเท้าสับสนโกลาหลดังมาจากด้านล่างของกำแพงเมือง องครักษ์คนสนิทของหลงถิงเฟยหลายนายพยุงพลทหารเสื้อผ้าขาดวิ่นสภาพยับเยินคนหนึ่งเดินเข้ามา พลทหารผู้นั้นเอ่ยเสียงแหบพร่า “แม่ทัพใหญ่ ตั้งแต่วันที่สิบสี่ กองทัพต้ายงกองหนึ่งก็บุกผ่านช่องเขาไป๋สิงของเขาไท่สิง ตีด่านหูกวนอันเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ
แม่ทัพหลิวออกศึกด้วยตนเองพยายามจะรักษาด่านไว้ แต่ผู้ที่นำทัพบุกตีด่านคือจิงฉือ รองแม่ทัพแห่งค่ายใหญ่เจ๋อโจวของกองทัพต้ายง เขานำทหารม้ามาสามหมื่น แล้วยังมีกองทหารที่ประจำการอยู่ในเจิ้นโจวอีกสี่หมื่นช่วยเหลือ บุกตีด่านทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดพัก แม่ทัพหลิวให้คนไปรายงานข่าวการศึกกับท่านเจ้าแคว้น แต่เกรงว่าด่านหูกวนจะพิทักษ์ไว้มิได้แล้ว จึงส่งผู้น้อยเดินทางมารายงานแม่ทัพใหญ่ ขอแม่ทัพใหญ่รีบส่งกองหนุนไปด้วย”
ต้วนอู๋ตี๋ฟังคนผู้นั้นรายงานจบ หัวใจพลันหวาดหวั่น เจิ้นโจวกับชิ่นโจวมีภูเขาไท่สิงคั่นอยู่ แต่เดิมขอเพียงรักษาด่านไว้ได้ก็จะปลอดภัยไร้กังวล ยิ่งไปกว่านั้น หลายปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่กองทัพต้ายงบุกตีเป่ยฮั่นล้วนบุกเข้ามาทางเจ๋อโจว เจิ้นโจวไม่มีความเคลื่อนไหวมาตลอด คิดไม่ถึงครั้งนี้ฉีอ๋องกลับส่งรองแม่ทัพใต้บัญชาไปตีด่านหูกวน ด่านหูกวนกับชิ่นหยวนห่างกันมิถึงสองร้อยลี้ หากจิงฉือตีด่านหูกวนแตกในสิบวัน ก็จะกระหนาบหน้าหลังของกองทัพเป่ยฮั่นร่วมกับกำลังหลักของต้ายง
กำลังทหารของแคว้นรวมตัวกันอยู่ที่ไต้โจว จิ้นหยางกับชิ่นหยวนสามแห่ง ทหารที่จิ้นหยางพิทักษ์เมืองหลวง ทหารที่ไต้โจวรับผิดชอบหน้าที่สำคัญในการต่อต้านเผ่าคนเถื่อน พวกเขาล้วนมิอาจเคลื่อนกำลังพลมาได้ง่ายๆ ด่านแต่ละแห่งนอกเหนือจากนั้นก็ล้วนเคลื่อนกำลังพลมามิง่ายเช่นกัน มีแต่กำลังทหารจากชิ่นโจวเท่านั้นที่เดินทางไปช่วยเหลือได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ประสานมือคำนับกล่าวว่า “แม่ทัพใหญ่ ผู้น้อยขอคำสั่งเดินทางไปช่วยเหลือด่านหูกวน”
หลงถิงเฟยกลับไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ตอนได้ยินทหารสอดแนมรายงานว่ามิเห็นธงของจิงฉือ ข้าก็คิดว่าเขาอาจเดินทางไปเจิ้นโจว แล้วข้าก็คาดเดาถูกจริงๆ หลิววั่นลี่แม่ทัพผู้พิทักษ์ด่านหูกวนเป็นเชื้อพระวงศ์ น่าเสียดายเขากลับมีฝีมือธรรมดาๆ หากเขามีความสามารถสักครึ่งของอู๋ตี๋ ข้าคงมิต้องเป็นห่วงด่านหูกวนแล้ว แต่ท่านจะไปช่วยมิได้ กองทัพต้ายงเองก็มีผู้ชำนาญการป้องกันเมือง ผู้ที่ชำนาญการป้องกันเมืองก็ย่อมชำนาญการบุกตีเมืองด้วย อู๋ตี๋ หากไม่มีท่านอยู่ที่ชิ่นหยวน กองทัพเราต้องพ่ายแพ้เป็นแน่”
ต้วนอู๋ตี๋เอ่ยอย่างร้อนรน “แต่หากด่านหูกวนถูกตีแตก แม่ทัพผู้ดูแลด่านทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเราล้วนมิใช่คนเก่งกล้าสามารถ น่ากลัวว่าจะถูกจิงฉือบุกทะลวงดุจผ่าปล้องไผ่ ถึงยามนั้นกองทัพเราที่กำลังต่อสู้อย่างยากลำบากกับกำลังหลักของต้ายงไยมิถูกพวกเขากระหนาบโจมตีหน้าหลัง หากเป็นเช่นนั้นเกรงว่าก็คงพ่ายแพ้ดุจเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น จิงฉืออาจบุกตรงไปยังจิ้นหยาง หากนครหลวงมีภัย พวกเราไฉนมิใช่มีความผิดมหันต์”
หลงถิงเฟยยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “อู๋ตี๋ ท่านกังวลเกินไปแล้ว ขอเพียงออกคำสั่งให้ทุกแห่งอาศัยป้อมปราการป้องกันไว้ ต่อให้จิงฉือผู้นั้นตีด่านหูกวนได้ เขายังจะมีเรี่ยวแรงบุกตีป้อมทุกแห่งหรือไร เขาต้องตรงไปยังชิ่นหยวนแน่ หากเขาเกิดเสียสติไปบุกตีจิ้นหยาง ข้ากลับจะยินดียิ่ง เมืองจิ้นหยางป้องกันง่ายบุกตียาก กำลังพลไม่กี่หมื่นนั่นของจิงฉือโจมตีหนึ่งเดือนหรือสองเดือนไม่มีทางตีจิ้นหยางแตก
แต่จากที่ข้าคาดการณ์ ชิ่นหยวนต่างหากที่เป็นเป้าหมายของจิงฉือ ไม่ว่าอย่างไรการกำจัดกองทัพของข้าต่างหากที่เป็นจุดสำคัญของการแก้ปัญหา หากไม่ทราบเรื่องจิงฉือ กองทัพเราอาจแพ้ แต่ในเมื่อตอนนี้ทราบแล้ว ข้าย่อมมีวิธีทำลายกองทัพค่ายใหญ่เจ๋อโจวของต้ายงให้ย่อยยับอยู่ในชิ่นโจว”
ต้วนอู๋ตี๋ขมวดคิ้วจนเป็นปม คิดไม่ออกว่าทำเช่นไรจึงจะคว้าชัยชนะได้แน่นอนดังว่า ถึงอย่างไรกองทัพศัตรูก็มีสองแสนกว่านาย ส่วนกองทัพเป่ยฮั่นมีเพียงหนึ่งแสนกว่าเท่านั้น ทั้งในหมู่ทหารเหล่านั้นยังมีทหารใหม่เสียมาก หากเผชิญหน้ากับกองทัพต้ายงผู้ดุร้ายดั่งหมาป่าดั่งพยัคฆ์ จะต้านทานกองทัพต้ายงที่กระหนาบโจมตีหน้าหลังได้เช่นไร
หลงถิงเฟยกลับมีสีหน้านิ่งสงบ กล่าวว่า “ข้าจะรายงานท่านเจ้าแคว้น แม้แผนการนี้จะเสี่ยงอันตรายอยู่บ้าง แต่หากกองทัพเราพ่ายศึก จุดจบย่อมคือแว่นแคว้นล่มสลาย ข้าคิดว่าท่านเจ้าแคว้นคงเห็นด้วยกับการตัดสินใจของข้า” กล่าวถึงตรงนี้ ดวงหน้าที่ซีดเซียวเล็กน้อยในช่วงหลายวันนี้ของเขาก็ฉับพลันเปล่งปลั่ง ดวงตาสีเขียวอ่อนคู่นั้นทอประกายเจิดจ้าทว่าลุ่มลึก เรือนกายสูงใหญ่เหยียดตรงดั่งยอดเขา ระหว่างห้วงเวลาอันยากลำบากอย่างที่สุดนี้ ในที่สุดเขาก็ขับไล่หมู่เมฆอึมครึมที่ปกคลุมร่างกายของเขาช่วงก่อนหน้า เรียกคืนความหยิ่งทะนงและความมั่นใจของเขากลับมาได้สำเร็จ
เวลานี้เม่ทัพทั้งหลายที่ได้ยินข่าวเรื่องนี้กำลังมุ่งหน้าขึ้นมายังกำแพงเมือง เพราะอยากถามการตัดสินใจของหลงถิงเฟย เมื่อเห็นร่างกายอันเปี่ยมด้วยความมั่นใจกับความกล้าหาญนั่นของหลงถิงเฟย ความวิตกกังวลในหัวใจระหว่างหลายวันที่ผ่านมาก็ราวกับกลุ่มเมฆดำถูกแสงตะวันขับไล่ ใบหน้าของหลงถิงเฟยเผยรอยยิ้มปลาบปลื้ม ชี้ไกลออกไปแล้วกล่าวว่า “ทุกท่าน กองทัพต้ายงแข็งแกร่งยิ่งนัก ทุกท่านเชื่อมั่นพอจะติดตามข้าไปทำลายกองทัพต้ายงหรือไม่”
แม่ทัพทั้งหลายขานรับเสียงดังพร้อมเพรียงอย่างไม่รู้ตัว “ผู้น้อยสาบานว่าจะภักดีต่อเจ้าแคว้นจนตัวตาย ติดตามแม่ทัพใหญ่ออกรบจนถึงที่สุด จักทำลายกองทัพต้ายง ปกป้องบ้านเมืองให้จงได้”
หลงถิงเฟยหัวเราะดังลั่น เสียงหัวเราะสดใสและดังกังวาน ทำให้พลทหารของกองทัพเป่ยฮั่นที่เก็บกวาดซากปรักหักพังอยู่ด้านล่างของกำแพงเมืองเผยรอยยิ้มเชื่อมั่นออกมาอย่างห้ามมิได้
ต้วนอู๋ตี๋เห็นหลงถิงเฟยฮึกเหิมเช่นนี้ ในที่สุดหัวใจก็สงบลงราวกับเห็นดวงตะวันฤดูใบไม้ผลิทอแสงผ่านหมู่เมฆดำทะมึนได้แล้ว ต้วนอู๋ตี๋คิดในใจ นี่จะเป็นลางดีว่ากองทัพเราจะเอาชนะกองทัพต้ายงได้หรือไม่
ในตอนที่หลงถิงเฟยมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่ฝั่งนี้ ในพระราชวังจิ้นหยางกลับอึมครึม
บนหอกล้วยไม้ ประมุขพรรคมารจิงอู๋จี๋นั่งอยู่กับเจ้าแคว้นหลิวโย่ว กั้นกลางด้วยกระดานหมาก หลิวโย่วสีหน้าเคร่งเครียด แต่ละตาที่เดินต้องพินิจพิเคราะห์ ส่วนจิงอู๋จี๋กลับเดินตอบได้ทันที ดูไปแล้วเหมือนมิตั้งใจนัก ทว่าระหว่างทั้งสองคน ฝ่ายที่จนมุมดูเหมือนจะเป็นหลิวโย่ว คิ้วของเขาขมวดเป็นปม ใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม ไม่เหมือนกำลังเดินหมาก แต่เหมือนกำลังต้องทัณฑ์ทรมานเสียมากกว่า ผ่านไปเนิ่นนานนัก หลิวโย่วก็ดันกระดานหมากออกแล้วลุกขึ้นกล่าวว่า “ข้าแพ้แล้ว ฝีมือเดินหมากของท่านราชครูช่างล้ำเลิศ ข้าอับอายนักที่สู้มิได้”
จิงอู๋จี๋ยิ้มละไม ตอบว่า “จิตใจของท่านเจ้าแคว้นมิอยู่ที่กระดานหมาก แต่อยู่ที่แนวหน้าชิ่นโจว จะมิพ่ายแพ้ได้เช่นไรเล่า”
หลิวโย่วยิ้มขมขื่น กล่าวว่า “แม้ท่านราชครูเป็นผู้มิยุ่งเกี่ยวทางโลก แต่ท่านมิเป็นห่วงการศึกที่แนวหน้าแม้สักนิดหรือไร”
จิงอู๋จี๋ลุกขึ้นยืน เดินไปถึงริมราวระเบียงหยก แล้วยกมือชี้ตำหนักฉงเต๋อที่อยู่ไกลๆ “ในท้องพระโรงทองคำ ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายกำลังรอเจ้าแคว้นเดินทางไปร่วมหารือราชกิจ พวกเขาล้วนใส่ใจสถานการณ์สงครามยิ่งนัก เหตุใดเจ้าแคว้นจึงมิไปหารือกับพวกเขาเล่า”
หลิวโย่วเดินมาถึงตรงหน้าจิงอู๋จี๋แล้วมองไปทางตำหนักฉงเต๋อ นั่นคือสถานที่เรียกประชุมขุนนางในยามปกติของเขา ทว่าผู้คนในตำหนักหลังนั้นกลับไม่มีประโยชน์ต่อการใหญ่สักคน เขาถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้นว่า “ยามนี้นอกจากถิงเฟยกับปี้เอ๋อร์ ยังมีผู้ใดใช้การได้อีก ท่านราชครู หากท่านยอมลงมือด้วยตนเอง คงลอบสังหารแม่ทัพใหญ่แห่งต้ายงถึงในค่ายทัพได้เป็นแน่ ถึงยามนั้นไยต้องกลัดกลุ้มว่าพวกเขาจะไม่ถอนทัพ ยามนี้ต้ายงไม่มีเจ้าสำนักเฟิงอี้แล้ว ยังมีผู้ใดขัดขวางราชครูมิให้ลงมือได้อีก”
จิงอู๋จี๋มุ่นคิ้ว กล่าวตอบว่า “เจ้าแคว้นไยมิเชื่อว่าหลงถิงเฟยจะกอบกู้สถานการณ์ได้ ยามนี้กำลังหลักของกองทัพต้ายงถูกขวางอยู่ทางใต้ของชิ่นหยวน กองทัพต้ายงเพิ่งพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ หากอู๋จี๋ลงมือ เกรงว่าจะจุดโทสะให้แก่ราชสำนักต้ายง แม้เจ้าสำนักเฟิงอี้ล่วงลับไปแล้ว แต่ปรมาจารย์ฉือเจินยังแข็งแรงดี เขาเป็นผู้ฝึกฝนวรยุทธ์สายพุทธ จึงมิได้ติดตามมากับกองทัพ หากเขานำลูกศิษย์จากแต่ละพรรคมายังชิ่นโจว ศิษย์พรรคมารของข้าอย่างไรก็มากมายสู้พวกเขามิได้ เกรงว่ากลับจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ยิ่งไปกว่านั้น หลิงเซียว เซียงถงและอวี้เฟยล้วนกำลังทำเพื่อแว่นแคว้นอยู่ทั้งสิ้น เท่านี้ย่อมเพียงพอแล้ว ไยต้องให้ข้าลงมือด้วยตนเอง”
ดวงตาของหลิวโย่วปรากฎแววตาร้อนรน แล้วกล่าวว่า “แม้เป็นเช่นนี้ แต่กองทัพรองของต้ายงบุกตีด่านหูกวนมาหลายวันแล้ว หากด่านหูกวนถูกตีแตก กองทัพรองกองนั้นก็จะโจมตีชิ่นโจวจากด้านหลังได้ ถึงยามนั้นชิ่นโจวผจญศัตรูสองฝั่ง ถิงเฟยเก่งกาจกลศึกอีกเท่าใดแล้วจะทำอันใดได้ กองทหารที่ไต้โจวมิอาจเคลื่อนทัพมาได้ง่ายๆ แม้ในเมืองจิ้นหยางมีกองทหารอยู่หนึ่งแสนแต่ก็มิใช่ทหารม้า เมื่อด่านหูกวนถูกตีแตก แผ่นดินคงสุ่มเสี่ยงล่มสลาย ขอท่านราชครูเวทนา ลงมือด้วยตนเองสักครั้ง”
จิงอู๋จี๋กำลังจะปลอบโยนเขา ตอนนี้เองก็มีขันทีแจ้งเสียงดังจากข้างใต้หอ “แม่ทัพใหญ่มีฎีกาลับส่งมาถึงพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวโย่วสดับฟังก็ยินดียิ่งนัก เขาทราบว่าแม่ทัพผู้รักษาด่านหูกวนจักต้องขอความช่วยเหลือจากหลงถิงเฟยเป็นแน่ ยามนี้หลงถิงเฟยส่งฎีกาลับมา คงตัดสินใจประการใดได้แล้ว เขารีบตอบว่า “รีบนำฎีกาลับขึ้นมา”
เขารับฎีกาลับที่หลงถิงเฟยเขียนด้วยตนเองมาเปิดอ่าน สีหน้าของหลิวโย่วแปรเปลี่ยนนับพันหมื่น ผ่านไปเนิ่นนานจึงส่งฎีกาให้จิงอู๋จี๋ จิงอู๋จี๋อ่านจบก็ยิ้มละไมกล่าวว่า “ถิงเฟยมีแผนการแล้วดังคาด เจ้าแคว้นยังกังวลอีกหรือ”
หลิวโย่วรำพึงอย่างกังวล “นี่อันตรายเกินไปแล้ว หากไม่เป็นดังที่ถิงเฟยคาดจะทำเช่นไรเล่า”
จิงอู๋จี๋เอ่ยอย่างเย็นชา “บ้านเมืองกำลังจะล่มสลาย ยังจะพะวงมากมายปานนั้นเพื่อการใด หากแม่ทัพใหญ่พ่ายศึก เป่ยฮั่นย่อมล่มสลายมิอาจฟื้นคืน หากเจ้าแคว้นยังกังวล มิสู้ลองปรึกษาองค์หญิงหลินปี้ หากองค์หญิงสนับสนุนเรื่องนี้ เจ้าแคว้นก็น่าจะมิคัดค้านแล้วกระมัง”
หลิวโย่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตรัสว่า “คงต้องไปปรึกษาปี้เอ๋อร์ดังท่านว่า ทว่าต่อให้ปี้เอ๋อร์ไม่เห็นด้วย ข้าก็คงต้องฝืนใจทำ หากชิ่นโจวแพ้พ่าย แคว้นของเราคงไม่มีกำลังทหารต่อต้านต้ายงอีก ปี้เอ๋อร์น่าจะอภัยให้เรื่องนี้ได้กระมัง”
จิงอู๋จี๋พยักหน้าเงียบๆ มือยกไพล่หลัง ทอดสายตามองไกลออกไป หมู่พฤกษาและมวลบุปผาในอุทยานหลวงต้อนรับการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิแล้ว ท่ามกลางต้นหลิวที่ส่ายไหวดุจกลุ่มควันแลม่านหมอก ตำหนักโอ่อ่าอันประดับด้วยทองคำและหยกยิ่งแลดูงดงามอลังการ หากศึกที่ชิ่นโจวมิอาจคว้าชัยชนะมาได้ เกรงว่าภาพอันงดงามเหลือจะพรรณนาฉับพลันคงกลายเป็นซากปรักหักพัง รากฐานของพรรคมารในเป่ยฮั่นก็คงถูกถอนรากถอนโคน ความทุ่มเทหลายปีของตนคงย่อบยับในชั่วข้ามคืน
แต่มิว่าอย่างไรตนก็มิอาจลงมือลอบสังหารแม่ทัพใหญ่ของกองทัพต้ายงด้วยมือตนเองได้ ยามนี้มิเหมือนในอดีตอีกแล้ว ห้วงเวลานั้นเจ้าแคว้นทั้งหลายแย่งชิงอำนาจ แพ้ชนะมิอาจคาดคะเน ตนยังบุ่มบ่ามทำตามอำเภอใจได้ แต่วันนี้แนวโน้มที่ต้ายงจะรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งยากจะขัดขวาง หากตนลงมือด้วยตนเอง เกรงว่าวันหน้าอาจนำไปสู่การล่มสลายของพรรคมาร นี่เป็นสิ่งที่จะให้เกิดขึ้นมิได้เป็นอันขาด ขอเพียงตนไม่ลงมือ ต่อให้เป่ยฮั่นล่มสลาย ราชสำนักต้ายงก็มิกล้าบีบคั้นพรรคมารเกินไปนัก ด้วยติดที่การมีอยู่ของตนเอง บางทีอาจถึงขั้นยอมรักษาทายาทของราชวงศ์เป่ยฮั่นไว้ก็เป็นได้
เขาถอนหายใจแผ่วเบา เดินไปถึงมุมหนึ่งของหอกล้วยไม้ โถเคลือบลายครามลายบุปผาที่ใส่ม้วนภาพวาดไว้จนเต็มใบหนึ่งวางอยู่ตรงนั้น เขาเอื้อมมือไปหยิบม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งมาคลี่ออกอย่างแผ่วเบา บนนั้นวาดสตรีอาภรณ์ขาวคนหนึ่งกำลังร่ายรำกระบี่ใต้แสงจันทร์กระจ่าง จิงอู๋จี๋รำพึงกับตนเอง “ฮุ่ยเหยาเอ๋ย ฮุ่ยเหยา หากมิใช่เจ้ามิยอมถอนตัว มิยอมรับความชรา ไหนเลยจักพบจุดจบสิ้นชีวาอยู่ในพระราชวังเลี่ยกงบนเขาหลีซาน มิรู้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นที่บีบให้เจ้าวางวายเป็นคนเช่นไร หากหลิงเซียวสังหารเขาสำเร็จก็นับว่าชำระแค้นแทนเจ้าได้แล้วกระมัง!”