เล่ม 1 ตอนที่ 195-1 สารภาพ ความลับของสวินหลัน

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 195-1 สารภาพ ความลับของสวินหลัน

ราตรีเงียบสงัด

จีซั่งชิงพิงหัวเตียง เขาได้รับการรักษาเสร็จแล้ว เตรียมตัวจะพักผ่อน

เฉียวเจิงยืนอยู่ด้านข้าง จัดล่วมยาอย่างพิถีพิถัน แล้วเอ่ยขึ้นเหมือนไม่ใส่ใจ “พิษยังไม่ถูกกำจัดหมดเร็วปานนั้น วันพรุ่งนี้ข้าจะแวะมาอีกหน”

จีซั่งชิงเพิ่งผ่านเรื่องที่น่าอับอายที่สุดอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้ในชีวิตมา เขาอยากจะรีบส่งเฉียวเจิงจากไปเสีย จึงตอบรับอย่างรวดเร็วยิ่งนัก “ขอบคุณมาก”

เฉียวเจิงเก็บกล่องเข็มกับผ้าพันแผลเข้าไปในล่วมยา แล้วหันกลับมามองจีซั่งชิง อยากจะพูดบางสิ่งแต่ก็เงียบ

จีซั่งชิงข่มกลั้นความเจ็บปวดจากบางตำแหน่ง แล้วเอนตัวลงนอนอย่างช้าๆ เพิ่งจะหลับตาลง เฉียวเจิงก็เอ่ยปากว่า “ข้าวางเทียบยาไว้บนโต๊ะแล้ว วิธีใช้กับปริมาณล้วนเขียนอยู่บนนั้น กินตามเวลา”

“ขอบคุณมาก” จีซั่งชิงหลับตา

“แล้วก็” เฉียวเจิงเอ่ยขึ้นมาอีก

จีซั่งชิงลืมตา หันไปมองเขา

เฉียวเจิงหยุดครู่หนึ่ง “หนก่อนข้าเคยเห็นฮูหยินของท่าน ข้าคิดมาตลอดว่าท่านเป็นคนมีบุญวาสนาได้คนงามมาครอง” จากนั้นเขาก็กดเสียงเบาลง กระซิบว่า “ตอนนี้ข้าคิดว่านางต่างหากที่เป็นฝ่ายมีบุญวาสนาได้คนงามมาครอง”

“ท่านพูดอะไร” จีซั่งชิงไม่ได้ยินประโยคสุดท้าย

เฉียวเจิงปิดล่วมยา “ไม่มีอะไร ข้าต้องกลับหอหลิงจือแล้ว ขอตัว”

จีซั่งชิงผงกศีรษะให้เล็กน้อย มองเฉียวเจิงหิ้วล่วมยา เดินแกว่งแขนข้างเดียวกับขาก้าวออกไปด้านนอก ท่าทางประหลาดยิ่งนัก ไม่รู้ว่าสะเทือนใจกับอะไรมา

ภายในโถงหมิง หรงมามาพาบ่าวรับใช้ออกไป จากนั้นปิดประตูจากด้านนอก นางยืนอยู่ที่ประตู ทอดสายตามองราตรีอันไร้ขอบเขต สุดปลายความืดมิด สวินหลังคุกเข่าตัวตรงแน่วอยู่บนพื้น

ภายในห้อง จีเหล่าฮูหยินจูงมือเฉียวเวย ยังไม่ทันพูด คนก็ถอนหายใจออกมาก่อนแล้ว

สายตาของเฉียวเวยจับจ้องบนใบหน้าที่ราวกับจะแก่ชราขึ้นอย่างกะทันหันของนาง แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ท่านย่า ท่านมีสิ่งใดจะบอกข้าหรือ”

“เรื่องของฮูหยินใหญ่” จีเหล่าฮูหยินถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ข้ารู้ว่าหมิงซิวไม่ยอมรับนางเป็นมารดา นางอายุน้อยเกินไปหน่อย อีกทั้งยังเป็นแม่เลี้ยง แต่ไม่ว่าอย่างไร นางก็เป็นภรรยาของบิดาของพวกเจ้า เป็นมารดาของเจ้า”

เฉียวเวยยิ้ม “ท่านย่าพูดถูกต้องแล้ว”

จีเหล่าฮูหยินเอ่ยต่อ “เจ้าอาจยังไม่รู้เรื่องราวของสวินหลัน ก่อนสวินซื่อจะตบแต่งให้บิดาของเจ้านางเคยอยู่ในตระกูลจีมาหลายปี มีความสัมพันธ์กับทุกคนดีทีเดียว นางเป็นคนรู้จักความเหมาะสม รักษากฎระเบียบอย่างยิ่งมาตลอด เรื่องที่ข้ากำลังจะเล่าให้เจ้าฟัง อาจไม่เหมาะสมนัก แต่บางเรื่องหากไม่พูดให้เข้าใจ ก็เกรงว่าเจ้าจะเข้าใจทุกคนผิดไป”

เฉียวเวยยิ้มแห้ง ทุกคนหมายถึง…

จีเหล่าฮูหยินกล่าวว่า “เรื่องในวันนี้ เป็นโจวซื่อที่ทำเกินไป ข้าหวังว่า เจ้าจะไม่เอาหนี้แค้นหนนี้ไปโยนใส่ศีรษะของสวินซื่อ”

“ข้าจะไม่ทำเจ้าค่ะ ท่านย่า”

ไม่ทำสิถึงแปลก ก็เพราะผู้ใดกันเล่า โจวมามาจึงเกลียดชังนางเช่นนี้

จีเหล่าฮูหยินตบหลังมือของเฉียวเวยเบาๆ แล้วเริ่มเล่า “จะว่าไปแล้ว สวินซื่อก็เป็นคนน่าสงสาร ตั้งแต่เล็กนางไร้บิดา มารดาก็แต่งงานใหม่ ท่านอาท่านลุงล้วนปฏิบัติกับนางไม่ดี แม้นางจะถูกเลี้ยงอยู่ในบ้านของพวกเรา แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่หญิงสาวสกุลจี มีเพียงผู้เผชิญทุกข์จึงเข้าใจ น่ากลัวว่าคงมีแต่ต้องเคยถูกฝากไว้ในรังของผู้อื่น จึงจะเข้าใจความทุกข์นั้น”

ในใจเฉียวเวยคิดว่าข้าไม่มีแม้แต่โอกาสถูกฝากเลี้ยงไว้ในรังของผู้อื่นเสียด้วยซ้ำ เด็กหญิงกำพร้าที่เติบใหญ่มาในตระกูลสูงศักดิ์ มีคนรู้สึกว่านางน่าสงสารด้วยหรือ หากไม่มีตระกูลจี สวินหลันก็ไม่รู้ว่าจะมีสภาพน่าเวทนาอย่างไรแล้ว ทุกวันทานอาหารอร่อย ดื่มชารสเลิศ สวมทองคำประดับเครื่องเงิน มีสาวใช้กับหญิงรับใช้โขยงใหญ่คอยปรนนิบัติ พอก้าวออกจากประตู บอกประโยคเดียวว่าเป็นหญิงสาวที่ตระกูลจีเลี้ยงดูมา ผู้ใดยังจะกล้าดูแคลน เพียงด้อยกว่าเจ้านายตระกูลจีเล็กน้อยก็เท่านั้น

จีเหล่าฮูหยินนึกย้อนความทรงจำแล้วเล่าว่า “นางมาตระกูลจีเมื่อตอนอายุหกขวบ อายุสิบสามก็ถูกคนของตระกูลสวินที่กูซูมารับตัวกลับไป สาเหตุเป็นเพราะว่าตอนบิดาของนางยังมีชีวิตอยู่เคยหมั้นหมายนางไว้กับคนผู้หนึ่งตั้งแต่นางยังอยู่ในครรภ์ ฝ่ายชายนำสินสอดมาถึงบ้านแล้ว รอให้นางเข้าวัยปักปิ่นก็จัดงานมงคลได้ทันที ในเมื่อเป็นคำสั่งของบิดามารดา ตระกูลจีย่อมไม่สะดวกจะรั้งคนไว้ จึงปล่อยให้นางตามคนตระกูลสวินจากไป”

เฉียวเวยกะพริบตา เจ้าคนอายุสั้นที่ตายในคืนวันแต่งงานคนนั้น ที่แท้ก็คือสามีที่นางถูกหมั้นหมายไว้ตั้งแต่อยู่ในท้องมารดาหรอกหรือ

“คนครอบครัวนั้นดีหรือไม่” เฉียวเวยถาม

จีเหล่าฮูหยินตอบว่า “เป็นตระกูลที่มีชื่อสียงในกูซู ฐานะนับว่าสมกับตระกูลสวิน”

ฐานะสมกับตระกูลสวินย่อมแตกต่างกับตระกูลจีราวฟ้ากับเหว

จีเหล่าฮูหยินถอนหายใจ “น่าเสียดายนัก ปีนั้นนางถึงวัยปักปิ่น แต่คู่หมั้นกลับเป็นฝีดาษ จากโลกใบนี้ไป”

เอ๋ ไม่ใช่เจ้าคนอายุสั้นที่ตายในคืนวันแต่งงานหรอกหรือ!

“แล้วหลังจากนั้นเล่า” เฉียวเวยถามต่อ

จีเหล่าฮูหยินเล่าต่อว่า “หลังจากนั้นการแต่งงานครั้งนี้จึงต้องถูกยกเลิก หลังจากยกเลิก ข้าก็รับนางกลับมาอีกหน ข้าคิดว่าการจะหาสามีดีๆ ให้นางสักคน คงจะไม่ใช่เรื่องยาก”

เสียคู่หมั้นในกูซู เกรงว่าคงมีคนไม่น้อยคิดว่าสวินหลันมีดวงกินผัว หากสวินหลันคิดจะหาบ้านสามีดีๆ สักตระกูลในกูซู เกรงว่าคงจะยากทีเดียว

เหล่าไท่ไท่ทำเช่นนี้ เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสวินหลันแล้วจริงๆ

จีเหล่าฮูหยินเล่าต่อว่า “แต่นางเป็นคนหัวรั้น จะต้องไว้ทุกข์ให้คู่หมั้นที่ตายจากสามปีให้ได้ เสียเวลาหนนี้จึงชักช้าจนนางอายุสิบแปดปี อายุสิบแปดก็ไม่นับว่าอายุมาก คู่แต่งงานยังหาได้อยู่ คนที่หมายตาไว้ก็คือบุตรชายคนเล็กสายตรงของตระกูลใต้เท้าหยวนราชเลขาธิการคนก่อน”

ราชเลขาธิการเป็นขุนนางที่ช่วยฮ่องเต้จัดการงานต่างๆ อยู่ในวัง กล่าวได้ว่าเป็นขุนนางใกล้ชิดฮ่องเต้ ได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้ยิ่งนัก บุตรชายสายตรงของตระกูลอดีตราชเลขาธิการ ฐานะเช่นนี้คู่กับหญิงสาวตระกูลจีก็ไม่ด้อยแล้ว

“หนนี้…เหตุใดจึงไม่สำเร็จเล่า” เฉียวเวยถามเสียงเบา

จีเหล่าฮูหยินตอบว่า “หนนี้น่ะ นางมีชีวิตอยู่ดี คู่หมั้นก็ร่างกายแข็งแรง แต่สิ่งที่น่าโมโหก็คือคืนก่อนวันแต่งงานหนึ่งวัน บุรุษคนนั้นกลับหนีไปกับแม่นางจากหอคณิกาคนหนึ่ง!”

เฉียวเวยตาโตอ้าปากค้าง มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ คนโบราณก็ใจกล้าปานนี้เชียว!

ใบหน้าของจีเหล่าฮูหยินเผยสีหน้าโกรธเคืองออกมานิดๆ “หลังจากนั้น ตระกูลหยวนก็ตามหาลูกเนรคุณคนนั้นจนพบ แล้วมัดกลับมาขอขมาถึงจวน ทั้งยังรับปากว่าเรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน พวกเขาจะดูแลสวินซื่อให้เหมือนกับลูกหลานของตนเอง แต่บุรุษเช่นนี้ ข้าจะกล้าปล่อยให้สวินซื่อแต่งด้วยได้เช่นไร นี่ไม่ใช่ผลักสวินซื่อเข้าไปในกองไฟหรอกหรือ”

ดังนั้น คนนี้ก็ไม่ใช่คนอายุสั้นที่ตายในคืนวันแต่งเหมือนกัน

คุณพระคุณเจ้าช่วย ก่อนตกล่องปล่องชิ้นกับจีซั่งชิง แม่เลี้ยงเคยมีอดีตสามีมาแล้วกี่คนกันแน่

จีเหล่าฮูหยินส่ายศีรษะ “นางเสียใจหนักยิ่งนัก พวกเราเกลี้ยกล่อมอย่างไร จะเป็นจะตายนางก็ไม่ยอมแต่งงานอีกแล้ว บอกว่าหากเอ่ยถึงการแต่งงานขึ้นมาอีก นางจะปลงผมไปบวชชีในวัด เสียเวลาหนนี้ ล่วงเลยไปจนถึงนางอายุยี่สิบเอ็ดปี ปีนี้ได้พบชายหนุ่มที่ดีคนหนึ่ง”

“ผู้ใดเป็นคนพบ”

เฉียวเวยถามคำเดียวก็ถามถูกตรงจุดสำคัญ จีเหล่าฮูหยินชะงักวูบหนึ่งแล้วตอบว่า “บิดาของเจ้า”

จีเหล่าฮูหยินเอ่ยอย่างเสียดาย “สวินซื่อก็พอใจในตัวเขาอย่างยิ่งเหมือนกัน แต่เดิมคิดว่าสำเร็จแล้ว แต่คืนวันแต่งงาน จู่ๆ เขาก็เสีย”

คนอายุสั้นที่ตายในคืนวันแต่งงานก็คือคนนี้นี่เอง

จีเหล่าฮูหยินหลุบสายตาลงด้วยความเสียใจ ชั่วพริบตาหนึ่ง เฉียวเวยรู้สึกว่านางเหมือนจะมีความลับบางอย่างที่ยากจะพูดออกมา ทว่าพริบตาต่อมา นางก็ถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยว่า “คนตระกูลนั้นกับตระกูลสวินมีเรื่องกันจนจบไม่สวยนัก ข้าจึงให้บิดาของเจ้าไปรับสวินซื่อกลับมา”

ท่านสั่งให้ไป หรือว่า…ท่านพ่อต้องการไปด้วยตนเอง

“ที่แห่งนั้นอยู่ที่เจียงหนาน หนทางยาวไกล ระหว่างกลับมาโชคร้ายพบโจรกลุ่มหนึ่งเข้า…” พูดถึงตรงนี้ จีเหล่าฮูหยินก็ชะงัก คำพูดต่อจากนั้น แม้นางไม่พูด เฉียวเวยก็เดาจากสีหน้าของนางได้

ทั้งชีวิตของสวินหลันถูกทำลายแล้ว จีซั่งชิงรู้สึกละอายใจจึงเสนอว่าจะแต่งงานกับนาง

ในยามนั้นเรื่องนี้ถูกทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีซวงคัดค้านอย่างรุนแรง แต่จีซั่งชิงยืนกรานว่าจะแต่ง เหล่าฮูหยินก็พยักหน้า สวินหลันจึงได้แต่งเข้าตระกูล

จีเหล่าฮูหยินคิดอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยต่อว่า “เรื่องนั้น อารอง อาสามกับท่านอาหญิงของเจ้าต่างไม่รู้ หวานหว่านเองก็ไม่รู้”

“หมิงซิวทราบหรือไม่” เฉียวเวยถาม

จีเหล่าฮูหยินพยักหน้า “เขารู้ สวินซื่อได้อาการป่วยเรื้อรังมา ทำให้มีบุตรลำบาก หลิวเกอร์เป็นลูกที่นางแลกชีวิตให้กำเนิดออกมา ก็ไม่รู้ว่าเพราะตอนอยู่ในครรภ์มารดาสภาพไม่ค่อยดีนักหรือเปล่า หลิวเกอร์จึงเกิดมาร่างกายอ่อนแอ ไม่เหมือนจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู แข็งแรงราวกับลูกวัวน้อยสองตัว”

แม่เลี้ยงช่างเป็นคนที่สุดยอดจริงๆ ชีวิตแต่งงานมีอุปสรรคมากมายเช่นนี้ ราวกับว่าเคราะห์ร้ายในใต้หล้ารวมมาอยู่ที่ตัวนางคนเดียว ไม่มีคนสงสัยบ้างหรือว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในหรือมีสิ่งใดซ่อนอยู่ นางไปล่วงเกินผู้ใดมาหรือไม่ ตระกูลจีล่วงเกินผู้ใดมาหรือเปล่า หรือว่า…

ช่างเถิด ไม่ว่าสาเหตุอาจเป็นเพราะอะไรก็เปลี่ยนความจริงที่แม่เลี้ยงแต่งเข้าตระกูลจีมาแล้วไม่ได้

หลังจากนั้นจีเหล่าฮูหยินก็พร่ำพูดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับสวินซื่อให้เฉียวเวยฟัง เจตนาของจีเหล่าฮูหยิน เฉียวเวยเข้าใจ นางไม่ต้องการให้เฉียวเวยเอาเรื่องโจวมามามาคิดบัญชีแค้นกับสวินหลัน เฉียวเวยแสดงออกอย่างใจกว้างทันทีว่าจะกตัญญูและเคารพแม่สามีให้ดี เหล่าฮูหยินดีใจนัก ยิ่งชมชอบหลานสะใภ้คนนี้ ชื่นชมว่าเฉียวเวยรู้จักรุกรู้จักถอย เข้าใจเหตุผล

“เสียก็แต่ไม่ใช่คนใจดีเท่าใดนัก” ออกจากเรือนถง เฉียวเวยก็บิดขี้เกียจอย่างผ่อนคลาย

ปี้เอ๋อร์เดินเข้ามา ห่มเสื้อคลุมตัวหนึ่งให้เฉียวเวย “อากาศเย็น ระวังหนาวเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยหาว “พ่อข้าเล่า”

ปี้เอ๋อร์มัดเชือกผูกเสื้อคลุมให้เฉียวเวย “นายท่านกลับไปแล้ว บอกว่าวันพรุ่งจะมารักษานายท่านจีซ้ำอีก”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว ไม่รอคุยกับนางสักสองสามคำ บุตรสาวที่แต่งออกไปแล้วช่างเหมือนน้ำสาดออกจากบ้านจริงๆ เสียด้วย

เฉียวเวยกลับมายังบ้านชิงเหลียน เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองตีลังกาอยู่บนเตียงของนาง เสี่ยวไป๋เลียนแบบเด็กทั้งสอง ม้วนตัวจากหัวเตียงไปยังปลายเตียง

เฉียวเวยกลั้นยิ้มไม่ไหว เดินเข้าไปลูบแผ่นหลังของทั้งสองคน “เปียกโชกหมดแล้ว อาบน้ำหนนี้เสียเปล่าแล้ว“

วั่งซูกระโดดไปกระโดดมาบนเตียง หัวเราะคิกคักบอกว่า “อุ่นมากเลยเจ้าค่ะ”

ใต้พื้นของจวนตระกูลจีทั้งหมดวางท่อมังกรดินเอาไว้เหมือนในวัง จะไม่อุ่นได้หรือ

เฉียวเวยตักน้ำร้อนมา เช็ดแผ่นหลังของลูกทั้งสอง แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้ง ขณะที่กำลังจะให้ทั้งสองคนกลับไปนอนในห้อง ปี้เอ๋อร์ก็เดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าลนลาน “ฮูหยิน! ท่านเขยกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”

เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองได้ยินว่าหมิงซิวกลับมาไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมนอนแล้ว วั่งซูยังไม่ทันสวมรองเท้าก็วิ่งตึงตังเท้าเปล่าออกไปด้านนอก จิ่งอวิ๋นก็จะวิ่งออกไปด้วย แต่ถูกเฉียวเวยจับไว้บนเตียง

เฉียวเวยสวมรองเท้ากับเสื้อนวมตัวน้อยให้จิ่งอวิ๋นเสร็จ สาวใช้สามนางก็วิ่งตะลีตะลานตามวั่งซูไป วั่งซูอ้วนท้วน แต่พอวิ่งขึ้นมา ผู้ใดก็จับนางไม่ทัน

ทั้งสามคนไล่ตามไปจนหอบหายใจไม่ทัน ทว่าแม้แต่ชายเสื้อของวั่งซูก็จับไม่ได้

ฉานเอ๋อร์เหนื่อยจนกลอกตา “เด็กอะไรกันนี่ เหตุไฉนจึงวิ่งไวปานนี้…”

ฉานเอ๋อร์ทรุดลงไปนั่งหมอบ เยียนเอ๋อร์ก็วิ่งไม่ไหวแล้ว มีแต่ปี้เอ๋อร์ที่ยังดันทุรังไล่ตามต่อ ลำบากนักกว่าจะไล่ตามวั่งซูทันได้ในที่สุด ขณะที่กำลังจะเอื้อมมือออกไป เจ้าตัวน้อยซุกซนคนนี้ก็เหลือบเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ตรงประตู คนยังไม่ทันลงจากรถ วั่งซูก็กระโจนขึ้นไปอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ชนคนผู้นั้นเข้าเต็มรัก

ปึก! เกิดเสียงดังขึ้นหนึ่งหน พ่อลูกทั้งสองคนลงไปนอนกองอยู่บนพื้นรถม้าอย่างพร้อมเพรียง

จีหมิงซิวถูกชนเข้าอย่างจัง ศีรษะถูกชนจนมึนงงไปหมด แต่กลับกอดนางไว้แน่น ไม่ยอมคลายมือออกแม้แต่ชั่วขณะเดียว