บทที่ 765 มีแต่คนแย่งชิงน้องสาว

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 765 มีแต่คนแย่งชิงน้องสาว

บทที่ 765 มีแต่คนแย่งชิงน้องสาว

จริงด้วยสินะ เฉียวกวางหย่วนรู้สึกว่านี่คือความแข็งแกร่งของผู้เป็นแบบอย่าง และเหตุนั้นล่ะจึงทำให้กองร้อย 13 ขับเคลื่อนได้อย่างกระตือรือร้นและขยันขันแข็ง

แล้วทำไมบรรยากาศในกองร้อยถึงดีล่ะ?

เพราะมีคนทำได้ในระดับมาตราฐาน บางส่วนในกองเลยไม่อยากพ่ายแพ้ให้ใช่ไหมเล่า? สาเหตุนี้แหละที่เกิดขึ้นกับคณะภาษาจีน เพราะทุกคนรู้สึกว่าขนาดเสี่ยวเถียนเป็นเด็กยังทำได้ เราจะยอมแพ้ไม่ได้

แน่นอนว่าความสามารถของแต่ละคนแตกต่างกันอยู่แล้ว บางคนพยายามอย่างมากแต่ก็ไม่สามารถบรรลุถึงระดับเดียวกับเสี่ยวเถียนได้ แต่มันก็ไม่ได้ขัดขวางพวกเขาจากการเพียรพยายามได้เลย

ผลคือเพียงระยะเวลา 10 วัน ผลลัพธ์ที่กองร้อย 13 ทำออกมาน่าทึ่งมาก

เฉียวกวางหย่วนยังคิดด้วยซ้ำว่า นักเรียนกลุ่มนี้ควรได้รับโอกาสในการฝึกฝนสักหนึ่งปีหรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำ ระดับความสามารถเทียบเท่ากับราชาแห่งทหารเลยนะ ที่น่าตลกคือ หนึ่งเด็กพวกนี้ไม่ใช่ทหาร สองคือเขาไม่สามารถให้เด็กมาอยู่ฝึกเป็นเวลาครึ่งปีได้

“ผู้บังคับบอกผมทีครับว่าเราควรจัดการยังไง?”

เพราะไม่สามารถจัดการเองได้ วิธีการที่ดีที่สุดคือให้หัวหน้าเป็นคนตัดสิน

ถ้ามีปัญหาก็ให้หัวหน้ามาจัดการ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

แต่เฉียวกวางหย่วนจะจัดการยังไงล่ะ? ไม่ว่าจะพูดแบบไหนก็มีปัญหาทั้งนั้น!

เฉียวกวางหย่วนจ้องเขม็งไปที่นักเรียนตัวเอง มีของอร่อยกินกันทำไมไม่รู้จักให้แบ่งให้เขาสักหน่อย?

เนื้อแค่นั้นมันจะไปพออะไร?

ทีแบบนี้ดันถ่อมาหาความช่วยเหลือ? อยากจะสาปส่งให้พวกมันไปแก้ปัญหาเอาเองจริง ๆ ไม่งั้นก็ให้สู้กันเองเสียเลย แต่มันทำไม่ได้ไง มันจะเป็นการไม่รับผิดชอบต่อนักเรียนที่ตั้งใจ

เฉียวกวางหย่วนรู้ทักษะของเจ้าลู่หยางดี มันสู้ไม่ชนะหรอก

“ฉันว่าให้ทางมหาวิทยาลัยจัดการแล้วกัน!”

หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน เขาก็คิดวิธีแก้ไขปัญหาได้แล้ว ถ้าตัดสินใจไม่ได้ก็ให้ทางมหาวิทยาลัยจัดการซะ ถ้าจะมีใครโมโหก็ให้พวกเขาจัดการไป ไม่มีปัญหาอะไรกับเราแล้ว!

ต้องบอกเลยว่าทุกคนที่นี่ฉลาดมาก ไม่มีใครยอมเสียเปรียบเลย

สิ้นประโยคทุกคนก็เห็นด้วย

ถึงยังไงนักเรียนที่ได้รับการคัดเลือกทางมหาวิทยาลัยก็จัดสรรไว้แล้ว

เฉียวกวางหย่วนไปหาเหล่าผู้นำของมหาวิทยาลัย ส่วนคนอื่น ๆ เตรียมตัวออกไปเดินเล่นในเมืองหลวง มีแค่ซูอู่ร่างที่บ้านอยู่ในเมือง คนอื่น ๆ เป็นคนจากภูมิภาคอื่น

นอกจากถนนคนเดิน สถานที่ให้เดินเที่ยวที่อื่นก็ไม่มีอีกแล้ว

“ฉันได้ยินคนบอกว่าเมืองหลวงคึกคัก ไว้ซ้อมรอบบ่ายเสร็จจะไปดูเสียหน่อย” ลู่หยางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

ถ้านักเรียนทำได้ดี ก็แสดงว่าเขาทำงานสำเร็จลุล่วง ส่วนเรื่องนับรายชื่อไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องทำอยู่แล้ว เพราะงั้นจะไปไหนก็ได้

“ฉันอยากไปด้วยจัง งั้นเราไปดูหนังกันไหม?” มีคนนึงเสนอความเห็น

เขารั้งแขนซูอู่ร่างไว้ แต่กลับโดนอีกฝ่ายรังเกียจ

หนังอะไรนั่นเขาไม่สนใจหรอก ดาราพวกนั้นดูดีได้ไม่เท่าเสี่ยวเถียนสักนิด มีอะไรให้ดู? แต่ซูอู่ร่างอายเกินกว่าจะพูด

“พรุ่งนี้ไม่มีซ้อม เย็นนี้ฉันจะพาน้องสาวกลับบ้าน”

อุตส่าห์ได้เจอครอบครัวทั้งที มีเรื่องให้คุยกันอีกมาก หนังเหนิงอะไรนั่นก็ช่างมันไปสิ

ไม่มีใครรู้ว่าน้องสาวซูอู่ร่างคือใครยกเว้นลู่หยาง

“อู่ร่าง แกเอาแต่ชอบพูดถึงน้องสาว แต่เราไม่เคยเจอมาก่อนเลย พาเราไปเจอหน่อยได้ไหม? อย่างน้อยหลังจากนี้จะได้รู้จักกัน”

เพื่อนสนิทของซูอู่ร่างยิ้ม

แต่คนเป็นพี่ชายได้ฟังกลับรับไม่ได้ มีแต่คนอยากแย่งน้องเขากันทั้งนั้น ทำยังไงดีเนี่ย? ต้องไปหาคนช่วยแล้ว นี่คือเรื่องเร่งด่วน

ลู่หยางได้ยินคำพูดจ้างเหอผิงก็หัวเราะลั่น

ขนาดไอ้นี่ยังหัวเราะเลย

ทุกคนกำลังสับสน มันมีความสุขขนาดนั้นเลยหรือ?

“แกหัวเราะอะไร?” คนนึงอดไม่ไหวแทงศอกใส่

“ฉันหัวเราะพวกแกนั่นแหละ” ลู่หยางยังไม่หยุด

ถ้าจะบอกว่าไม่เคยเจอซูเสี่ยวเถียน เจ้าพวกนี้มันโง่หรือเปล่า?

ผู้บังคับยังรู้เลย แล้วเจ้าพวกนี้มันกล้าบอกได้ยังไงว่าไม่เคยไปดูเสี่ยวเถียนเพราะสนใจ?

แต่ซูอู่ร่างไม่คิดจะบอกให้คนอื่นรู้ เรื่องนี้เลยถูกเก็บเป็นความลับ

“แล้วพวกเรามีอะไรให้แกขำขนาดนั้น?” อีกฝ่ายโง่ยิ่งกว่าเดิม

แค่อยากเจอน้องสาวซูอู่ร่างเองไม่ใช่หรือ? ได้ยินมันชมน้องไม่หยุดไม่หย่อนตลอดสองปี ก็เลยสงสัยไง!

“พวกแกเคยเจอแล้ว เคยทุกคนเลยด้วย!” ลู่หยางพูดออกไปในที่สุด

แต่การฝึกมันจบลงแล้ว แถมคนพวกนี้ก็เป็นคนของเราเองด้วย มาจนถึงตอนนี้ซูอู่ร่างคงไม่คิดจะปิดบังแล้วล่ะ เพราะตั้งใจจะชวนเพื่อนไปกินข้าวที่บ้านพรุ่งนี้อยู่แล้ว อาจจะได้เจอในตอนนั้น

จะรู้วันนี้หรือพรุ่งนี้มันไม่ได้ต่างกันหรอก

“เคยเจอ? ฉันก็เคยหรือ?” คนที่ถามเป็นพวกนิสัยเก็บตัว ไม่ค่อยเป็นฝ่ายคุยกับใครก่อน แต่คราวนี้เขาคิดว่าตัวเองไม่เคยเห็นเสี่ยวเถียนก็เลยเอ่ยปาก

ลู่หยางพยักหน้าอย่างหนัก “เคยสิ ฉันรับประกันได้เลยว่าแกเคยเจอ”

ก็เป็นเด็กที่เก่งที่สุด ทุกคนจ้องตาแทบถล่น จะไม่เคยเห็นได้ยังไง?

“ลู่หยาง ไอ้เวร จะพูดดี ๆ หรืออยากโดนต่อย!” บางคนถึงทนไม่ไหวมือไม้คันไปหมด

เรามัวแต่ฝึกพวกนักเรียน เลยไม่มีเวลาได้ลงมือกับใครเลย ลู่หยางรีบยอมรับเมื่อเห็นหลายสายตาจ้องเขม็งมา

“ฉันบอกแล้ว ๆ น้องสาวอู่ร่างเป็นนักเรียนฉันเอง”

ถึงจะไม่รอดเงื้อมมือของเพื่อน ๆ แต่ขอเล่นแง่สักหน่อยแล้วกัน

ตอนนั้นเองที่มีคนทนไม่ไหวจับลู่หยางทุ่มลงพื้น แล้วก็ล็อกแขนเขาไปด้านหลัง

“ทำตัวเล่นแง่เข้าไปเถอะ ดูซิว่าแกจะโอ้อวดได้อีกนานแค่ไหน!”

“แหม แค่ล้อเล่นเอง จะลงมือกับฉันทำไมเนี่ย? เจ็บ ๆ แขนฉันมีแค่เนื้อกับกระดูกเองนะ”

“พูดมา!” ลู่หยางโดนเตะก้นอีกที

เขาหมดคำจะพูด

เรื่องน้องสาวอู่ร่างมันแท้ ๆ แล้วทำไมทุกคนมุ่งเป้ามาที่ตนล่ะ? แต่เหมือนลู่หยางจะลืมไปเสียสนิทว่า ที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นแบบนั้นเพราะคำพูดของตัวเองทั้งนั้น

“เหล่าหู เจ้าบ้านี้มันจะเล่นตลกอยู่เลย ออกแรกมากกว่านี้อีก!” คนผู้หนึ่งเอ่ยยุยง

“ใช่ ๆ เจ้าลู่หยางมันดื้อมากเลย”

ลู่หยางแหกปากลั่นในขณะที่แขนยังคงถูกล็อกไปด้านหลัง

“น้องสาวอู่ร่างก็ชื่อซูเสี่ยวเถียนไง โดดเด่นพอ ๆ กับพี่ชายเลย เรื่องแค่นี้ทำไมพวกแกยังคิดไม่ได้!” เขาไม่อยากทรมานอีกต่อไปแล้ว

เจ้าพวกนี้มันเก่งกันทั้งนั้น

ถึงจะไม่ทำร้ายอะไรเขา แต่มันก็เจ็บอยู่ดีน่ะสิ!