ตอนที่ 765 สะดุดตา

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 765 สะดุดตา

ไช่จื่อหยวนเป็นคนฉลาด เขารู้ดีว่าด้วยสติปัญญาและความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ขององค์หญิงเจิ้นกั๋ว นางไม่จำเป็นต้องให้เขาเดินทางไปเป็นที่ปรึกษาของกองทัพด้วยซ้ำ องค์หญิงเจิ้นกั๋วคงอยากส่งเขาไปอยู่ข้างกายของเกาอี้จวิ้นจู่แน่นอน

หากไช่จื่อหยวนเดาไม่ผิดองค์หญิงเจิ้นกั๋วคงต้องการไปเพื่อแบ่งกองทัพของแม่ทัพหลิวหงและเกาอี้จวิ้นจู่ออกเป็นสองกองทัพ ไม่ได้ไปเพื่อเสริมทัพแน่นอน

“คงต้องรบกวนให้พ่อบ้านเหาและผู้ดูแลหลิวรวบรวมยารักษาโรคระบาดจำนวนมากให้พร้อมเพื่อความไม่ประมาทก่อนกองทัพออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ด้วย” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว

“เรื่องนี้ข้าจัดการให้ได้ขอรับ ก่อนหน้านี้ได้ยินว่ายารักษาโรคระบาดในเมืองซั่วหยางขึ้นราคา คนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ซื้อยาตุนไว้เพื่อหวังกำไร ตอนนี้ยาถูกตระกูลบรรพบุรุษไป๋กว้านซื้อไว้หมดแล้ว หากสามารถนำยาเหล่านี้ออกมาใช้ในสงครามครั้งนี้ได้ ตระกูลบรรพบุรุษจะได้ทำดีไถ่โทษขอรับ” ไป๋ฉีเหอกล่าว

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “ประมุขไป๋คิดได้รอบคอบมาก เช่นนั้นรบกวนประมุขด้วย” เมื่อตกลงเรื่องทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ทุกคนจึงแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง

ไป๋ชิงผิงกลับไปคัดเลือกทหารที่จะเดินทางไปต้าเหลียงกับไป๋ชิงเหยียนในวันพรุ่งนี้ที่ค่ายทหาร

เสิ่นเยี่ยนฉงไปจัดเตรียมเสบียงที่จะนำไปยังต้าเหลียงที่คลังเสบียง

นายอำเภอโจวที่ตอนนี้ได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าเมืองซั่วหยางคนใหม่รีบไปหาเสิ่นเยี่ยนฉงทันทีที่รับรู้ข่าว เขาต้องการประจบไป๋ชิงเหยียนที่กำลังจะเดินทางไปออกรบ ดูว่าหญิงสาวมีสิ่งใดต้องการให้เขาช่วยเหลือหรือไม่

เมื่อไป๋ฉีเหอกลับไปถึงจวนจึงสั่งให้คนไปตามบรรดาคนในตระกูลบรรพบุรุษที่ตั้งใจกว้านซื้อยารักษาโรคระบาดมาขายเอากำไรมาปรึกษาที่จวน

เมื่อผูหลิ่วที่นำน้ำแกงมาให้ไป๋ฉีเหอแทนฟางซื่อได้ยินว่าเจ้านายของตนรับหน้าที่จัดหายารักษาโรคระบาดให้องค์หญิงเจิ้นกั๋ว นางจึงวางถ้วยน้ำแกงไว้บนโต๊ะด้านข้าง จากนั้นกล่าวเสียงเบา “องค์หญิงเจิ้นกั๋วสั่งให้นายท่านเตรียมยาเพื่อป้องกันบรรดาทหารติดโรคระบาด ทว่า บ่าวมีวิธีป้องกันทหารติดโรคระบาดได้ดีกว่านี้เจ้าค่ะ”

ไป๋ฉีเหอมองไปทางผูหลิ่วที่ยืนอยู่ด้านข้างเขา จากนั้นยิ้มออกมาบางๆ “ลองว่ามาสิ…”

“บ่าวได้ยินว่ามีคนนำยาที่ท่านหมอหงจ่ายให้ไปทำเป็นถุงหอมแขวนไว้ที่เสื้อผ้าของเด็กๆ เพื่อป้องกันเด็กๆ ติดโรคระบาด บางคนใช้ผ้าขนหนูที่แช่ไว้ในยารักษาโรคระบาดมาปิดจมูกไว้เพื่อป้องกันโรคระบาด ดูเหมือนจะได้ผลดีมากด้วยเจ้าค่ะ!” ผูหลิ่วกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “พรุ่งนี้องค์หญิงเจิ้นกั๋วจะออกเดินทางแล้ว นายท่านสามารถให้คนในตระกูลไป๋มาช่วยกันเร่งทำถุงหอมได้เจ้าค่ะ รูปทรงไม่จำเป็นต้องสวยงาม ขอเพียงใช้งานได้ก็พอเจ้าค่ะ จากนั้นเราค่อยใส่ยาเข้าไปในถุงหอมแล้วให้ทหารพกติดกายไว้ เช่นนี้จะได้ไม่ต้องเปลืองคนขนยาไปยังต้าเหลียงด้วยเจ้าค่ะ จากนั้นค่อยนำผ้าขนหนูไปชุบยาแล้วตากไว้ให้แห้ง พรุ่งนี้ค่อยนำไปแจกจ่ายให้เหล่าทหาร เช่นนี้ก็ถือว่าตระกูลบรรพบุรุษไป๋ของเราได้ทำสิ่งใดเพื่อเหล่าทหารบ้างแล้วเจ้าค่ะ”

คนเยอะมีกำลังมาก หากรวบรวมคนทั้งตระกูลบรรพบุรุษมาช่วย น่าจะสามารถทำถุงหอมจำนวนห้าพันถุงเสร็จภายในคืนเดียวได้อย่างง่ายดาย ทว่า ปัญหาสำคัญก็คือไม่มีตัวยามากมายถึงเพียงนั้น หากยาไม่ครบตามปริมาณ การรักษาคงไม่ได้ผล

ที่สำคัญอีกอย่างก็คือยาโดนความชื้นไม่ได้ หากให้เหล่าทหารพกติดตัวตลอดเวลา หากเจอฝนเข้า พวกเขาคงไม่มีที่เก็บรักษาถุงหอมเหล่านี้ เมื่อยาไม่มีประสิทธิภาพก็จะกลายเป็นเพียงของไร้ประโยชน์ทันที

“ใช้ผ้าชุบยาน้ำแล้วให้ทหารนำไปปิดจมูกน่าจะใช้ได้ เจ้าคิดได้เช่นนี้ถือว่าดีมากแล้ว” ไป๋ฉีเหอยิ้มให้ผูหลิ่ว “เจ้ามีใจแล้ว เจ้าจงไปบอกให้ฮูหยินสั่งให้ทุกคนในจวนช่วยกันทำ ข้าจำได้ว่าจวนของเรายังมีสมุนไพรที่ช่วยป้องกันโรคระบาดอยู่ จงนำผ้าขาวไปต้มรวมกับตัวยา จากนั้นผิงไฟให้ผ้าแห้งแล้วตัดเป็นผ้าเช็ดหน้าห้าพันผืน พรุ่งนี้ค่อยนำไปแจกจ่ายให้เหล่าทหาร”

“เจ้าค่ะ” ผูหลิ่วรับคำด้วยรอยยิ้ม “บ่าวโง่เขลา คิดไม่รอบคอบ ขอบพระคุณที่นายท่านไม่เอาผิดเจ้าค่ะ”

ไป๋ฉีเหอยิ้มออกมาน้อยๆ “เจ้าหวังดี จะมีความผิดได้อย่างไรกัน รีบไปเถิด…”

ไม่นานเมื่อคนของตระกูลบรรพบุรุษไป๋มาถึง ไป๋ฉีเหอจึงบอกเรื่องที่ต้องการมอบยารักษาโรคระบาดให้กับทหารซั่วหยางที่จะเดินทางไปต้าเหลียง เมื่อคนตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่หวังจะค้ากำไรจากยาเหล่านั้นได้ยินจึงตาสว่างขึ้นมาทันที พวกเขารีบกล่าวว่ามอบยาให้เหล่าทหารซั่วหยางถือเป็นประโยชน์สูงสุด หากไม่พอพวกเขาจะหาซื้อเพิ่มและส่งตามไปให้ที่ต้าเหลียงภายหลังอีก

ไป๋ฉีเหอจึงสั่งให้พวกเขากลับไปนำผ้าขาวต้มรวมกับตัวยาทั้งหมดที่มี จากนั้นทำเป็นผ้าเช็ดหน้าออกมา พรุ่งนี้ทหารซั่วหยางจะได้มีผ้าสำรองไว้ใช้สักสองสามผืน

ต่งซื่อรู้ดีว่าห้ามปรามบุตรสาวไม่ให้ไปออกรบไม่ได้ ทว่า นางอดปวดใจไม่ได้อยู่ดี นางนั่งเก็บสัมภาระให้ไป๋ชิงเหยียนด้วยตัวเองอยู่ที่ปลายเตียง จากนั้นนำชุดเกราะของบุตรสาวออกมาเช็ดทำความสะอาดอีกรอบและเย็บตรงกลางเกราะใหม่อีกครั้ง

ไป๋ชิงเหยียนยังปรึกษาเรื่องสำคัญอยู่กับผู้ดูแลหลิวและหลูผิงในห้องตำรา

ไป๋ชิงเหยียนส่งจดหมายไปให้จี้ถิงอวี๋และเสิ่นคุนหยางให้พวกเขาเตรียมตัวให้พร้อมแล้ว

หากครั้งนี้ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้เสียชีวิตอยู่ในต้าเหลียง ต่อให้องค์รัชทายาทและฟางเหล่าจะโง่สักเพียงใดก็คงสังเกตเห็นความผิดปกติและเริ่มหวาดระแวงไป๋ชิงเหยียนแล้ว

หากถึงเวลานั้นขึ้นมาจริงๆ ตระกูลไป๋ไม่มีเวลานั่งรอเป็นผู้ถูกกระทำอีกต่อไปแล้ว นางเหลือเพียงหนทางเดียวเท่านั้น…

ทุกคนในตระกูลไป๋ต้องคอยป้องกันคนจากเมืองหลวง ยังมีไป๋จิ่นซิ่วที่อยู่ในเมืองหลวงอีก หากเรื่องถูกเปิดโปงขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพาตัวไป๋จิ่นซิ่ว ฉินหล่างและวั่งเกอออกมาจากเมืองหลวงให้ได้แม้ต้องใช้การบุกไปพาตัวมาก็ตาม ไป๋จิ่นซิ่วน่าจะเตรียมรับมือกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

“คงต้องรบกวนลุงหลิวเดินทางไปยังภูเขาหนิวเจี่ยวสักรอบ ทหารที่จี้ถิงอวี๋ฝึกฝนไว้คงซ่อนตัวอยู่ในภูเขาจนเบื่อมากแล้ว ถึงคราวที่พวกเขาจะได้ฝึกฝนจริงๆ เสียที!” ไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่ข้างโต๊ะพลางใช้มือเคาะไปบนโต๊ะ

ผู้ดูแลหลิวพยักหน้าจากนั้นถามต่อ “พามาหมดเลยหรือไม่ขอรับ”

“พามาทั้งหมด โอกาสเช่นนี้หาได้ยากนัก ข้าจะดูสิว่าผลงานของจี้ถิงอวี๋เป็นเช่นไรบ้าง พวกเขาจะสู้ทหารค่ายหู่อิงได้หรือไม่” น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว ไม่มีการลังเลแม้แต่น้อย

“ทว่า จะเป็นที่สะดุดตาเกินไปหรือไม่ขอรับ” ผู้ดูแลหลิวกังวลเล็กน้อย

ไป๋ชิงเหยียนส่ายหน้า “ข้าไม่ได้บอกเฉวียนอวี๋ว่าข้าจะนำทหารไปกี่นาย องค์รัชทายาทไม่รู้จำนวนทหารที่แท้จริงของซั่วหยาง ยิ่งข้านำทหารไปมากเท่าใด องค์รัชทายาทก็จะหวาดระแวงซั่วหยางน้อยลงเท่านั้น เมื่อข้าจากไปแล้ว ลุงผิงและลุงหลิวจงปรึกษากันและเคลื่อนย้ายทหารจำนวนหนึ่งไปซ่อนตัวอยู่ที่ภูเขาหนิวเจี่ยว หากมีวันนั้นขึ้นมาจริงๆ ทหารที่ซ่อนตัวอยู่ที่ภูเขาหนิวเจี่ยวอาจช่วยแก้ไขสถานการณ์อันตรายที่ซั่วหยางได้”

“คุณหนูใหญ่ไม่ต้องห่วงขอรับ ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้ดีที่สุดขอรับ” ผู้ดูแลหลิวยกมือคารวะไป๋ชิงเหยียน

ตอนที่ไป๋ชิงเหยียนกลับไปถึงเรือนปัวอวิ๋น ต่งซื่อมารดาของนางกำลังนั่งเย็บชุดเกราะของนางให้รัดกุมขึ้นอยู่ใต้แสงไฟ ไป๋ชิงเหยียนยืนมองมารดาของตัวเองเย็บชุดเกราะให้นางพลางซับน้ำตาไปด้วยอยู่ใต้ม่านผืนบาง ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกแสบจมูกขึ้นทันที นางพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองแล้วเดินเข้าไปด้านใน จากนั้นเอ่ยเรียกมารดา “ท่านแม่…”

ต่งซื่อไม่อยากให้บุตรสาวเห็นน้ำตาของตน จึงหันไปอีกด้านแล้วแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น นางหันหน้าเข้าหาแสงตะเกียงที่วางอยู่บนแท่นสูง ก้มหน้าลงมองชุดเกราะในมือแล้วลอบเช็ดน้ำตา จากนั้นจึงหันหลังกลับไป หลุบตาที่แดงก่ำลง เย็บเก็บรายละเอียดช่วงสุดท้ายต่อด้วยท่าทีนิ่งๆ จากนั้นกล่าวขึ้น “ปรึกษากันเรียบร้อยแล้วหรือ”