บทที่ 831 วิชาเทพยุทธ์กลืนสวรรค์
บทที่ 831 วิชาเทพยุทธ์กลืนสวรรค์
อู่เกิงถอนมือกลับ และการถล่มทลายของโลกรอบตัวพวกเขาก็หยุดลง
อู่เกิงมองซูอันด้วยท่าทางที่ซับซ้อน “เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะคิดไปไกลถึงขนาดนี้ แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้เปลี่ยนชะตากรรมโดยตรงและป้องกันการล่มสลายของราชวงศ์ซาง หรือต่อให้เจ้าจะเปลี่ยนมันได้ แต่มันก็เท่านั้นเพราะนี่เป็นเพียงการทดสอบ ไม่มีสิ่งใดที่เป็นจริง มันเทียบไม่ได้เลยกับการที่ได้เห็นเจ้าคิดแผนการให้สอดคล้องกับผลลัพธ์ของโลกแห่งความเป็นจริง ความสุขที่ได้เห็นผู้สืบทอดของเฟยเหลียนทำลายราชวงศ์โจวช่างเติมเต็มข้าได้อย่างแท้จริง!”
ซูอันประสานมือเคารพ “มันเป็นแค่โชคเท่านั้น ข้ามีโอกาสประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้เป็นเพราะความคาดหวังของรัชทายาทที่มีต่อผู้เข้าร่วมการทดสอบนี้”
อู่เกิงพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่เลวเลย เจ้าไม่ทะนงตัวแม้ว่าจะทำสำเร็จ ถ้าบิดาของข้ามีความอ่อนน้อมถ่อมตนได้แม้แต่ครึ่งของเจ้า บางทีเขาอาจจะไม่โดดเดี่ยวจนต้องตายในกองไฟนั่น!”
ซูอันไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ เป็นเรื่องปกติที่อู่เกิงจะพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับพ่อของตัวเอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำได้ “นี่หมายความว่าเราผ่านการทดสอบได้สำเร็จหรือเปล่า?”
อู่เกิงไม่ตอบ แต่น้ำเสียงของเขาเริ่มจริงจัง และเขากล่าวว่า “ตอบคำถามสุดท้ายให้ข้าสักข้อ ทำไมเจ้าถึงครอบครองวิชาวัฏจักรหงส์อมตะซึ่งเป็นของราชวงศ์โจว? เจ้าได้เข้าไปในมิติลับราชวงศ์โจวหรือไม่?”
อู่เกิงไม่ได้สงสัยว่าซูอันเป็นทายาทของราชวงศ์โจวเพราะเขาได้เห็นซูอันเปลี่ยนจีชางและลูกชายของจีชางให้กลายเป็นเนื้อสับ ทายาทคนใดที่จะอกตัญญูเช่นนี้ได้?
เขาไม่คุ้นเคยกับวิชาปฐมบทแรกเริ่มซึ่งเป็นของราชวงศ์ฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่อ่อนไหวกับมัน
ซูอันสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าและพูดอย่างระมัดระวังว่า “ข้าไม่ได้เข้าไปในมิติลับหรือการทดสอบใด ๆ ที่ราชวงศ์โจวสร้าง ข้าเพียงแค่ได้รู้จักกับสหายผู้หนึ่งและโชคดีพอที่เขาได้ส่งต่อวิชาวัฏจักรหงส์อมตะให้ข้า”
เขาให้บทสรุปคร่าว ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เฒ่ามี่
“เช่นนั้นก็ดี!” อู่เกิงหัวเราะเสียงก้อง “ดูเหมือนเจ้าจะโชคดี เจ้าคู่ควรกับมรดกของราชวงศ์ซางของข้าด้วย! จงรับไป!”
หนังสือสีทองแดงบินผ่านอากาศมาหาซูอัน เขาจับมันและเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่บนหน้าปกทองแดง ‘วิชาเทพยุทธ์กลืนสวรรค์’
“นี่เป็นรางวัลของเจ้าที่ผ่านการทดสอบ” อู่เกิงกล่าวว่า “วิชาเทพยุทธ์กลืนสวรรค์ เป็นสิ่งที่จักรพรรดิซางทุกรุ่นเท่านั้นที่ควรค่าแก่การบ่มเพาะ มันแข็งแกร่งกว่าวิชาวัฏจักรหงส์อมตะของราชวงศ์โจว ราชวงศ์ซางที่ยิ่งใหญ่ของข้าจะไม่ด้อยกว่าราชวงศ์โจวแน่นอน!”
ซูอันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินการดูถูกเหยียดหยามในเสียงขององค์รัชทายาท เห็นได้ชัดว่าความเกลียดชังของเขาที่มีต่อราชวงศ์โจวนั้นลึกซึ้งมาก
เขาถามอย่างรวดเร็วว่า “แล้วเพื่อนของข้าล่ะ? นางสามารถบ่มเพาะทักษะนี้ได้ไหม? นางจะได้รับรางวัลแบบไหน?”
อู่เกิงกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “วิชาเทพยุทธ์กลืนสวรรค์เป็นสิ่งที่มีเพียงจักรพรรดิซางเท่านั้นที่จะสามารถบ่มเพาะได้ และไม่สามารถใช้ได้สำหรับนาง แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล นางมีส่วนแบ่งรางวัลของนางเอง”
จากนั้นหยกชิ้นหนึ่งก็ตกไปอยู่ในมือของเพ่ยเหมียนหมาน “นี่คือหยกปัญญาแห่งสวรรค์” อู่เกิงอธิบาย “มันสามารถดูดซับพลังชี่ของโลก ช่วยให้เจ้าบ่มเพาะได้เร็วเป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง ตราบใดที่หยกชิ้นนี้ไม่แตก แม้ว่ากายเนื้อจะพินาศ แต่จิตวิญญาณก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”
เพ่ยเหมียนหมานถือแผ่นหยกไว้ในฝ่ามือ นางรู้สึกราวกับว่าวิญญาณของนางได้รับการหล่อเลี้ยง มันง่ายที่จะเห็นว่าสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มอัตราการบ่มเพาะของนางได้อย่างไร นอกจากนี้จากที่เขาพูด มันไม่เหมือนกับการให้ชีวิตที่สองกับนางหรอกหรือ?
อู่เกิงกล่าวต่อว่า “สุดท้าย ผู้ถือหยกชิ้นนี้จะได้รับการยอมรับจากรูปปั้นนกฮูกที่ทำหน้าที่เป็นท่อส่งสำหรับการทดสอบนี้ รูปปั้นนั้นก็เป็นสมบัติที่น่าเกรงขามเช่นกัน เนื่องจากเจ้าเคยใช้ชีวิตในฐานะฟู่ห่าว มันจะเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับเจ้า”
ดวงตาของเพ่ยเหมียนหมานเป็นประกาย “ขอบคุณท่านองค์รัชทายาท!”
“ควรจะเป็นข้าที่ขอบคุณเจ้าสองคน” อู่เกิงประสานมือ “ตอนนี้พวกเจ้าสามารถจากไปได้ดั่งที่เจ้าปรารถนา ส่วนคนบาปผู้นี้ก็สามารถไปแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษของข้าได้อย่างภาคภูมิ…”
จากนั้นเขาก็หันหลังเดินจากไป ร่างที่ดูอ้างว้างของเขาค่อย ๆ จางหายไปในความว่างเปล่า
“เราจะออกจากมิติลับนี้ได้อย่างไร?” ซูอันก็ตระหนักว่าเขาไม่ได้ถามคำถามที่สำคัญที่สุด น่าเสียดายที่ไม่มีการตอบกลับ เขาไม่รู้ว่าอู่เกิงตั้งใจไม่ตอบคำถามนี้ หรือว่าเขาจากโลกนี้ไปแล้ว…
พื้นที่รอบตัวพวกเขาเริ่มบิดเบี้ยว ทั้งสองคนรู้สึกไร้น้ำหนัก และเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งคู่ก็พบว่าตัวเองยังคงสัมผัสรูปปั้นนกฮูกของฟู่ห่าว
นี่คือสถานที่ที่เริ่มการทดสอบ ไม่มีใครอยู่รอบตัวพวกเขา ก่อนหน้านี้ พวกเขากังวลว่าศพของหยาจางจะรอซุ่มโจมตีอยู่ แต่หลังจากผ่านการทดสอบของอู่เกิง พวกเขารู้ว่าหยาจางทั้งภักดีและเชื่อถือได้
ที่จริงแล้วซูอันต้องการเจอหยาจางอีกสักครั้ง แต่ทหารผู้ภักดีนั่นน่าจะกลับไปนอนที่โลงศพของตัวเองแล้ว
“หืม? ทำไมเจ้ากลับมาเร็วขนาดนี้? การทดสอบล้มเหลวอย่างนั้นเหรอ?” เสียงที่คุ้นเคยของหมี่ลี่ดังขึ้น
ซูอันตกตะลึงกับคำพูดของนาง “เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วที่เราได้สัมผัสรูปปั้นนี้?”
“ไม่นานขนาดนั้น น่าจะแค่หายใจไม่กี่ครั้ง เจ้าล้มเหลวในการเริ่มการทดสอบหรือเจ้าผ่านมันไปแล้ว?” หมี่ลี่มีความคิดที่คลุมเครือว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“แน่นอน เราผ่านการทดสอบแล้ว” ซูอันถอนหายใจ “คิดไม่ถึงเลยว่าโลกภายนอกเวลาจะผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีทั้ง ๆ ที่ข้าใช้ชีวิตในการทดสอบไปหลายทศวรรษแล้ว”
แม้ว่าช่วงเวลาระหว่างยุคของอู่ติงและตี้ซินจะยาวนานหลายศตวรรษ แต่ซูอันและเพ่ยเหมียนหมานใช้ชีวิตในการทดสอบเพียงไม่กี่ทศวรรษเท่านั้น
“ในการทดสอบเหล่านี้เวลาเดินตามจังหวะของมันเองซึ่งเป็นสาเหตุที่ความรู้สึกเนิ่นนานของเจ้าเป็นเรื่องธรรมดา” หมี่ลี่ตอบว่า “หลังจากนี้เจ้าค่อยเล่าให้ข้าฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในการทดสอบ ส่วนตอนนี้เจ้าต้องบอกมาก่อนว่าเจ้าได้อะไรมาบ้างจากการผ่านการทดสอบ?”
ทันใดนั้น นางเพิ่งรู้ตัวว่ามันเป็นเวลานานแล้วที่นางไม่ตื่นเต้นกับสิ่งใด นางไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อยเมื่อนางพบเรื่องที่น่ายินดีที่สนับสนุนการบ่มเพาะของตัวเองในอดีต
แต่ทำไมตอนนี้นางถึงมาตื่นเต้นไปกับซูอันที่อาจแข็งแกร่งขึ้น?
นางค่อนข้างงุนงงเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ในที่สุดก็ลงความเห็นว่าคงเป็นเพราะความกระตือรือร้นที่จะสร้างร่างกายใหม่ ยิ่งซูอันแข็งแกร่งมากเท่าไร นางก็ยิ่งสามารถบรรลุเป้าหมายได้เร็วเท่านั้น มันคงจะเป็นอย่างนั้น…
ซูอันตอบกลับ “ข้าได้รับวิชาที่ชื่อ ‘เทพยุทธ์กลืนสวรรค์’”
“เทพยุทธ์กลืนสวรรค์?” หมี่ลี่ผงะ
“ท่านรู้จักเหรอพี่หญิงใหญ่?” ซูอันค่อนข้างตกใจกับปฏิกิริยาของนาง
“แน่นอน! เทพยุทธ์กลืนสวรรค์ของราชวงศ์ซางเป็นเคล็ดวิชาที่เคยสั่นคลอนโลกมาก่อน!” สีหน้าของหมี่ลี่นั้นอ่านยาก “เคล็ดวิชาแทบทั้งหมดในโลกนี้ แก่นแท้ของมันคือคล้อยตามกฎฟ้าดิน โดยพื้นฐานแล้ว กฎของฟ้าดินใช้ความอุดมสมบูรณ์เพื่อชดเชยข้อบกพร่อง แต่วิชาลับของราชวงศ์ซางใช้แนวทางตรงกันข้าม มันใช้ข้อบกพร่องเพื่อเติมเต็มให้ตนเองสมบูรณ์แบบโดยอาศัยการกลืนกินพลังชี่ของผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง…”