บทที่ 669 ผู้พิทักษ์! บรรพบุรุษที่อ่อนโยนที่สุดของเผ่าเวท! (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 669 ผู้พิทักษ์! บรรพบุรุษที่อ่อนโยนที่สุดของเผ่าเวท! (2)

ข้าควรทำอย่างไรดี?

เสี้ยววิญญาณขององค์เง็กเซียนยังคงอยู่บนร่างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์นั้น!

หรือว่า ข้าต้องไปยังแดนยมโลกด้วยร่างที่แท้จริงของข้า?

ข้าต้องเข้าไปในจักรวาลขนาดเล็กที่ไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย และถูกปิดผนึกแน่นสนิท ซึ่งยังอาจปิดกั้นการรับรู้ของจอมปราชญ์ได้หรือไม่?

แม้ต้าเต๋อโฮ่วถู่จะใจดีมีเมตตาและพระองค์เองก็คงไม่ทำอะไรข้า… แต่

หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมาเล่า?

มันย่อมจะไม่ปลอดภัยเลยที่เขาจะบุ่มบ่ามไปที่นั่นด้วยร่างที่แท้จริงของเขา!

หลี่ฉางโซ่วกำลังคิดว่า เขาควรจะจัดการกับสถานการณ์นั้นอย่างไร

หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาก็ยังตัดสินใจไม่ได้

ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ตัวนั้นอีกครั้ง และเบนจิตสนใจของเขาไปในทันที!

ที่ข้างๆ แผ่นจานสังสารวัฏหกวิถีในแดนยมโลก

ในขณะนั้น หัววัว หน้าม้า และทูตเกี่ยววิญญาณที่อยู่รายรอบซึ่งกำลังเฝ้าดูความสนุกตื่นเต้น พวกเขาต่างเอียงศีรษะและมองดูกระแสวังวนสีดำที่ปรากฏขึ้นบนกำแพงภูเขา

มีเสียงคำรามเบาๆ ดังขึ้นจากกระแสวังวน แล้วนักพรตเต๋าชราที่มีเส้นผมสีขาวและเคราสีขาวก็ถูกกระแสวังวนนั้น พ่นออกมา

เขาม้วนกลิ้งไปบนพื้นสองครั้ง และพลังเซียนในร่างของเขาดูเหมือนจะสลายไปได้ทุกเมื่อ!

จากนั้นกระแสวังวนก็หายไป…

บัดนั้น ภายในรัศมีสามลี้โดยรอบล้วนเงียบกริบ!

ใบหน้าของหัววัวซีดเผือดในขณะที่เขาร้องตะโกนว่า “องค์ราชินี! โปรดพิจารณาด้วย ม่อ! นี่คือ เทพแห่งอำนาจของศาลสวรรค์ ม่อ!

ผู้เป็นเซียนที่องค์เง็กเซียนแห่งศาลสวรรค์ไว้วางใจมากที่สุด เป็นศิษย์ใหม่ของจอมปราชญ์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋า และยังเป็นสหายสนิทของผู้ยิ่งใหญ่หลายคนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋า ม่อ!”

ในขณะนั้น หน้าม้าจ้องมองเหตุการณ์นั้นอย่างว่างเปล่า แผงคอเรียบของเขายุ่งเหยิงในสายลมเย็น

“มันจบแล้ว พวกเราได้… ประกาศสงครามกับศาลสวรรค์แล้ว…”

โชคดีที่นักพรตเต๋าชราบนพื้นกระดิกนิ้วของเขาได้ทันเวลา เขาค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ พร้อมกับที่แสงเซียนเปล่งแสงกระพริบไปทั่วร่างของเขา

เขาฟื้นตัวขึ้นจากสภาพที่สะบักสะบอมและฟื้นฟูท่าทางของผู้เป็นเซียนของเขาอย่างรวดเร็ว

จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ตรวจสอบรายการสิ่งของต่างๆ บนร่างกายของเขาทันที เสี้ยววิญญาณขององค์เง็กเซียนไม่ได้สูญหายไป และตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์สำรองที่เขาเตรียมไว้ก็ไม่เป็นไรเช่นกัน

ทว่า…

เหตุใดฝ่าเท้าของข้าถึงมีสองรู?

และมีรูเข็มเล็กๆ สองสามรูบนนิ้วของข้า?

เส้นผมสองปอยที่ด้านหลังของเขาก็ดูเหมือนจะถูกถักเป็นเปีย…

หลี่ฉางโซ่วกระตุกมุมปากเล็กน้อย แล้วจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ไม่ดี

“อืม แค่กๆ!” หลี่ฉางโซ่วกระแอมในลำคอและใช้พลังเซียนอุดรูที่ฝ่าเท้าของเขา

จากนั้นเขาก็แย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “มีบางอย่างผิดปกติกับร่างจำแลงของข้า สหายเต๋าทั้งสอง ท่านช่วยไปเชิญจ้าวแห่งแดนยมโลกมาและขอให้เขาช่วยถามเรื่องนี้กับองค์ราชินีในนามของข้าได้หรือไม่?”

หัววัวและหน้าม้าต่างมองหน้ากัน แล้วทั้งสองก็รีบตกลง จากนั้นหัววัวก็หันกลับและวิ่งออกไปไกล

อาจกล่าวได้ว่า เขาวิ่งไปไม่เห็นฝุ่น

จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ยังคงจับจ้องตรวจสอบตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขาต่อไปในขณะที่มีเสียงก้องอยู่ในใจของเขา

องค์ราชินีเป็นบรรพบุรุษที่อ่อนโยนที่สุดของเผ่าเวท

ท่านแน่ใจหรือไม่?

……

หลังจากนั้นไม่นาน ราชาฉินก่วงและราชาฉู่เจียงก็รีบเข้ามา เมื่อพวกเขาเห็นหลี่ฉางโซ่วยืนอยู่ตรงนั้น พวกเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“เทพวารี โปรดอย่าตำหนิข้าเลย”

ราชาฉินก่วงยิ้มและกล่าวว่า “พวกเราไม่ระวังและคิดให้รอบคอบ พวกเราไม่ได้พิจารณาว่าร่างจำแลงของท่านนั้นแตกต่างไป”

ที่เรียกว่าแตกต่างนั้น หมายความว่า ร่างจำแลงที่สร้างขึ้นส่วนใหญ่ในโลกบรรพกาลจะมีความตระหนักรู้ในตนเอง[1]ในระดับหนึ่ง

แต่เห็นได้ชัดว่า ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วนั้นใช้วืธีอื่นที่แตกต่างออกไปแล้วโดยมีเพียงร่างหลักของเขาเท่านั้นที่มี “สมอง”

ส่วนตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์อื่นๆ ก็ล้วนเป็นหุ่นเชิด

วิชาจำแลงกายนอกร่างทั้งสองวิธี ล้วนมีข้อดีและข้อเสียในตัวเอง

เห็นได้ชัดว่า พลังเวทของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่หลี่ฉางโซ่วสร้างขึ้นมานั้น เหมาะสมกับสถานการณ์ของเขามากกว่า

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ข้าเชิญท่านทั้งสองคนเข้าสู่เขตแดนนี้และถามองค์ราชินีได้หรือไม่”

ราชาฉินก่วงและราชาฉู่เจียงต่างก็มองหน้ากันแล้วพยักหน้ารับทันที

“ได้ๆ ย่อมเป็นเช่นนั้น ”

“หากพวกเราเคยล่วงเกินท่านเทพวารีให้ขุ่นเคืองใจมาก่อนหน้านี้ ก็ขอให้เทพอย่าได้เก็บเอามาใส่ใจ พวกเราเพียงแค่รู้สึกขอบคุณท่านเท่านั้น ไม่เช่นนั้น เราย่อมจะไม่ปล่อยให้ท่านเทพวารีได้เข้าใกล้องค์ราชินีโดยตรงอย่างแน่นอน”

“แน่นอนว่า ไม่”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวและโค้งคารวะเต๋าให้

จากนั้นจ้าวแห่งแดนยมโลกทั้งสองก็หันหลังกลับและเดินไปที่หน้าผา

พวกเขาตะโกนเสียงดังและถูกลำแสงสองสายดึงดูดเข้ามา

มันเป็นประตูควบคุมด้วยเสียงจริงๆ

หลี่ฉางโซ่วคิดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ในขณะนั้น เขาพบว่า ดูเหมือนว่า จะมีแผนการเล็กน้อยจากแดนยมโลก

ดูเหมือนว่า อีกฝ่ายจะอยากให้ข้าได้สัมผัสกับต้าเต๋อโฮ่วถู่?

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจเบาๆ ในใจ หากเป็นเช่นนั้น มันย่อมเป็นเรื่องยากที่เขาจะได้เห็นร่างทรงพลังโบราณนั้นในอนาคต…

หากไม่มีความจำเป็น ร่างหลักของเขาก็ไม่อาจเคลื่อนไหวไปมาได้

หลังจากผ่านไปสองสามอึดใจ ก็มีกระแสวังวนอีกแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นบนกำแพงภูเขา จากนั้นราชาฉินก่วงและราชาฉู่เจียงก็กระโดดออกมาและมองไปที่หลี่ฉางโซ่วอย่างขออภัย

ราชาฉู่เจียงกล่าวว่า “เทพวารี องค์ราชินีรู้เรื่องนี้แล้ว

เวลานี้ สังสารวัฏหกวิถีพร้อมแล้ว และพวกเราสามารถเข้าสู่สังสารวัฏได้ทุกเมื่อ”

ราชาฉินก่วงยิ้มและกล่าวว่า “เทพวารี โปรดอย่าเอาเรื่องในวันนี้มาใส่ใจเลย พวกเราไม่รู้จริงๆ…”

“ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนั้นหรอก”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและผายมือทำท่าทางเชื้อเชิญ เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่ยุ่งและไม่คิดมากกับมัน

เขาต้องการมุ่งเน้นไปที่การทำงานให้สำเร็จและกลับไปที่ศาลสวรรค์โดยเร็วที่สุด

ราชาฉินก่วงทำท่าทางเชื้อเชิญ หลี่ฉางโซ่วโค้งคำนับกลับให้ และเชิญจ้าวแห่งแดนยมโลกทั้งสองกลับไปที่ตำหนักจ้าวแห่งแดนยมโลกด้วยกัน

ทว่าในขณะที่จ้าวแห่งแดนยมโลกทั้งสองหันกลับมา

หลี่ฉางโซ่วก็ถึงกับพูดไม่ออก หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเส้นสายสีดำทันที

………………………………………………………………..

[1] ความสามารถในการมองเห็นตัวเอง รับรู้ เข้าใจ และตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคิด อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ