บทที่ 795 การถกเถียงในสำนักซ่อนเร้น

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 795 การถกเถียงในสำนักซ่อนเร้น

“ขอบพระคุณนายท่านยิ่ง! นายท่านมีพระคุณ ข้าจะปกป้องมรรคาสวรรค์ให้ดีแน่นอน แม้ร่างแหลกกระดูกสลาย ก็ไม่นึกเสียดายเลย!”

ผานซินรับป้ายคำสั่งพิฆาตมรรคาไป กล่าวด้วยความตื้นตัน

เขาเริ่มโขกศีรษะให้ไม่หยุด

ยอดสมบัติสังหารระดับเสรีแม้แต่ในฟ้าบุพกาลก็นับเป็นยอดสมบัติหายาก สำหรับอริยะเสรีอย่างเขา มีประโยชน์แน่นอน!

หานเจวี๋ยตบไหล่เขา เอ่ยเตือนด้วยความจริงจัง “มิ่งลึกลับเกินไป ขณะที่ยังไม่มีความมั่นใจว่าจะล้มล้างพวกเขาได้ เป็นเรื่องยากที่มรรคาสวรรค์จะเผชิญหน้ากับพวกเขา เจ้าต้องทราบในจุดนี้ มรรคาสวรรค์ในตอนนี้ดูเหมือนจะแข็งแกร่ง แต่มรรคาสวรรค์ในช่วงก่อนมหาเคราะห์เป็นอย่างไร เจ้าน่าจะรู้ดี”

ผานซินพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น กล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ข้าจะไม่ไปพัวพันมิ่งอีก”

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “แน่นอน หากว่ามีผู้ใดกล้ามุ่งร้ายต่อมรรคาสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากเจ้ามีความมั่นใจก็สังหารได้เลย!”

“ขอรับ!”

ผานซินตื้นตันยิ่ง หลังจากหานเจวี๋ยจากไป เขาลูบคลำป้ายคำสั่งพิฆาตมรรคาอย่างรักใคร่หักใจวางไม่ลง

เขารับรู้ได้ถึงพลังที่แฝงเร้นอยู่ในป้ายคำสั่งพิฆาตมรรคา จิตสังหารนั้นแรงกล้ายิ่ง อาจจะสู้ความเผด็จการของขวานเบิกฟ้าไม่ได้ แต่ก็ไม่ด้อยไปกว่ากันสักเท่าไรเลย

เมื่อหานเจวี๋ยกลับมาถึงอารามเต๋าในเขตเซียนร้อยคีรี ก็เคลื่อนย้ายมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง ปลดปล่อยเทพมารจิตสังหารที่เพาะเลี้ยงไว้ออกมา ให้มู่หรงฉี่มารับตัวไปดูแล

มู่หรงฉี่มีความสุขยิ่ง ในที่สุดก็มีสหายร่วมทัพมาเพิ่มแล้ว

ยิ่งเหล่าเทพมารแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไร เขาก็เริ่มคาดหวังตั้งตารอฉากที่กองทัพเทพมารออกตะลุยไปทั่วฟ้าบุพกาล

หลังจากทั้งสองออกไป อู้เต้าเจี้ยนมองหานเจวี๋ย เอ่ยถามว่า “นายท่าน เมื่อไรถึงจะให้พวกเรากลับเข้าหมื่นโลกาฉายชัดได้เจ้าคะ พวกเรารับประกันได้ว่าจะไม่แพร่งพรายความลับ เพียงอยากติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกบ้าง”

หานเจวี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงเลือกพยักหน้าตอบรับ

เขาเชื่อใจในตัวพวกมู่หรงฉี่และหานมิ่งว่าไม่มีทางพูดออกไปแน่ อีกอย่างในอนาคตเหล่าศิษย์สืบทอดล้วนจะกลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล ไม่จำเป็นต้องปกปิดมิดชิดเกินไป

ที่สำคัญคืออาณาเขตเต๋าของหานเจวี๋ยไร้พ่ายแล้ว ต่อให้เรื่องกองทัพเทพมารหลุดออกไป ก็ไม่จำเป็นต้องกลัว!

หานเจวี๋ยพลันกระตุ้นความคิด มอบสิทธิในการเข้าถึงหมื่นโลกาฉายชัดให้เหล่าศิษย์สืบทอดในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง ส่วนเทพมารฟ้าบุพกาลขนานแท้ ละไว้ก่อนชั่วคราว

เขาถ่ายทอดเสียงหาศิษย์สืบทอดทุกคนในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง กำชับมิให้ผู้ใดแพร่งพรายข้อมูลกองทัพเทพมารออกไปแม้แต่ครึ่งคำ หากพบเข้าจะถูกลงโทษอย่างหนัก เมื่อจัดการทุกอย่างนี้เรียบร้อย เขาก็กลับไปที่อาณาเขตเต๋าหลักและเริ่มฝึกบำเพ็ญ

ภายในหมื่นโลกาฉายชัด

อู้เต้าเจี้ยน มู่หรงฉี่ ลี่เหยา ต้าซั่นเทียน หานมิ่ง หยางตู๋ กวนปู้ไป้และจิ้งจอกชาดปรากฏตัวขึ้น ในบรรดานั้นจิ้งจอกชาด ต้าซั่นเทียน หานมิ่ง หยางตู๋ กวนปู้ไป้สนใจใคร่รู้ในหมื่นโลกาฉายชัดยิ่งนัก โชคดีที่มีมู่หรงฉี่คอยอธิบายแก่พวกเขา

พื้นที่ในหมื่นโลกาฉายชัดไม่นับว่าใหญ่นัก เปรียบเสมือนตำหนักมืดสลัวหลังหนึ่ง มีไว้ให้พวกเขาใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเท่านั้น

“คนที่หายตัวไปกลับมาแล้ว!”

จู่ๆ ไก่คุกรัตติกาลก็ตะโกนขึ้นมา สร้างความตกใจให้ศิษย์สืบทอดคนอื่นๆ ที่กำลังพูดคุยกันอยู่ในหมื่นโลกาฉายชัด

ทุกคนล้อมวงกันเข้ามา สอบถามว่าที่ผ่านมาพวกเขาไปอยู่ที่ใดกัน

พวกมู่หรงฉี่ตอบเพียงว่าเป็นการจัดสรรของเจ้าสำนัก เป็นความลับ บอกไม่ได้

พอได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับหานเจวี๋ย เหล่าศิษย์สืบทอดต่างไม่กล้าถามมาก

จ้าวเซวียนหยวนเดินเข้ามาหา เอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ “พี่น้องเอ๋ย พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่าพวกเราสามพี่น้องเพิ่งทะลวงระดับเมื่อไม่นานมานี้”

มู่หรงฉี่ถามด้วยความอยากรู้ “ระดับใดหรือ”

“เซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าระยะกลาง!”

“ร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ”

มู่หรงฉี่อุทาน ทว่านึกขันอยู่ในใจ

แต่ข้าบรรลุถึงระดับเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าระยะปลายแล้ว!

ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น จิ้งจอกชาดและเทพมารขุนพลสวรรค์ ล้วนบรรลุถึงระดับเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าระยะปลายทั้งสิ้น

ทันใดนั้นโจวฝานพลันปรากฏตัวขึ้น เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แค่ระยะกลางก็กล้าวางท่าแล้วหรือ ข้าน่ะระยะสมบูรณ์แล้ว!”

เจียงอี้แค่นเสียง “ทำวางท่าอันใดกัน หากไม่มีเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ เจ้าจะพิสูจน์มรรคได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่เลย”

โจวฝานตอบกลับอย่างภาคภูมิใจ “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่มีเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่บ้างเล่า”

“ฮ่าๆ”

“เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรดี แค่สามารถใช้ป้องกันได้ ใช้โจมตีคนได้ ซ้ำยังมีส่วนช่วยในการบำเพ็ญเท่านั้น”

เหล่าศิษย์สืบทอดเข้าสู่หมื่นโลกาฉายชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ชั่วขณะนั้น ภายในหมื่นโลกาฉายชัดพลันคึกคักขึ้นมา

ฟางเหลียงก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว

เมื่อเห็นฟางเหลียง มู่หรงฉี่เดินเข้าไปหาทันที ในอดีตทั้งสองมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่ง ตอนนี้ก็เช่นกัน ไม่ได้พบกันนานมาก ทว่ายังคงผูกพันกันนัก

ภายในหมื่นโลกาฉายชัด พวกเขารับรู้ถึงกลิ่นอายของกันและกันไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ทราบถึงตบะ

สองสหายเดินออกไปด้านข้าง พูดคุยกัน

กวนปู้ไป้เอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง “พวกเจ้าทั้งหลายเร่งฝึกฝนเข้าเถิด อย่าได้ถูกพวกเราทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ!”

เมื่อเอ่ยออกมาเช่นนี้ ทุกคนต่างมองไปที่เขา

มู่หรงฉี่ถลึงตาใส่กวนปู้ไป้แวบหนึ่ง ถ่ายทอดเสียงหา “เจ้าอยากยั่วโมโหท่านอาจารย์ปู่หรือ เขาเป็นผู้ก่อตั้งห้วงมิตินี้ขึ้น! ทุกการกระทำของเจ้าล้วนอยู่ในสายตาเขา!”

กวนปู้ไป้หุบปากทันที

ไก่คุกรัตติกาลเดินเข้ามาหา ถามซักไซ้ว่า “ติดตามนายท่าน พวกเจ้าฝึกบำเพ็ญได้เร็วมากหรือ”

กวนปู้ไป้ตอบอ้อมแอ้ม “พอใช้ได้ เทียบได้กับมีเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่หลายอันที่อยู่ในมือนั่นแหละ”

เขาไม่ทราบว่าเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่เป็นของเช่นใด แต่ขัดตากับการวางท่าของโจวฝาน

วาจาของเขาทำให้โจวฝานรู้สึกโมโห แต่ในใจกลับประหลาดใจมากยิ่งขึ้น

ชั่วขณะนั้น จิตใจของหล่าศิษย์สืบทอดล้วนเกิดความปั่นป่วนขึ้นจากการสนทนาในหมื่นโลกาฉายชัด

….

ณ แดนต้องห้ามอันธการ มือใหญ่มโหฬารข้างหนึ่งลอยมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือหงายขึ้น ยังคงมองเห็นข้อกระดูกขาวโพลน

สิบสองบรรพชนเผ่าจอมเวทพร้อมทั้งจอมเวทหลายร้อยคนยืนอยู่ในฝ่ามือ บรรพชนจอมเวทแบ่งออกเป็นจักรพรรดินีผืนพิภพ ตี้เจียง จวี้หมาง จู้หรง รู่โซว ก้งกง เสวียนหมิง เฉียงเหลียง จู๋จิ่วอิน เทียนอู๋ ซีจือ เซอปี่ซือ ต่างถือกำเนิดขึ้นจากแก่นโลหิตของผานกู่

จักรพรรดินีผืนพิภพมองไปที่ตี้เจียง เอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่ ท่านแน่ใจหรือว่าเจตจำนงของเทพบิดาอยู่ที่มรรคาสวรรค์”

ตี้เจียงกล่าวต่อ “น่าจะไม่ผิดแน่”

จู้หรงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อหาเจตจำนงของเทพบิดาพบ ก็สามารถคืนชีพให้เทพบิดาได้ เมื่อถึงเวลานั้นเผ่าจอมเวทของพวกเราจะปกครองฟ้าบุพกาล แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว!”

บรรพชนจอมเวทคนอื่นๆ ก็หัวเราะขึ้นมาเช่นกัน ใบหน้าเปี่ยมด้วยความคาดหวังต่ออนาคตอันงดงาม

จักรพรรดินีผืนพิภพกล่าวด้วยความกังวล “มรรคาสวรรค์ในตอนนี้แตกต่างไปจากในอดีต หากพวกเราไปถึงมรรคาสวรรค์แล้วก่อความวุ่นวายขึ้น ถึงแม้ข้าจะมีไมตรีกับหานเจวี๋ย แต่ไมตรีในส่วนนี้ไม่เพียงพอจะทำให้พวกเราบุ่มบ่ามทำตามใจได้”

เฉียงเหลียงแค่นเสียงเอ่ย “กลัวอันใดเล่า จู๋จิ่วอินสำเร็จเป็นอริยะมหามรรคแล้ว ต่อให้มิใช่คู่ต่อสู้หานเจวี๋ย หานเจวี๋ยก็คงไม่ถึงขั้นกล้าฉีกหน้าพวกเราตรงๆ กระมัง”

ในศึกใหญ่วังสวรรค์ก่อนหน้านี้ หานเจวี๋ยสร้างความตื่นตะลึงให้พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าพูดจาวางโตเช่นกัน

ตี้เจียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถอะ ข้ามีขอบเขตอยู่ในใจ อีกทั้งมรรคาสวรรค์เป็นดินแดนที่เทพบิดาบุกเบิกขึ้น เดิมทีพวกเราก็ไม่คิดจะเป็นศัตรูกับมรรคาสวรรค์อยู่แล้ว”

เมื่อจักรพรรดินีผืนพิภพได้ฟังก็คลายสีหน้ากังวลลง

ในเวลานี้เอง กลิ่นอายแกร่งกล้าสายหนึ่งโจมตีเข้ามาจากด้านหน้า ขวางมือใหญ่ข้างนี้ไว้โดยตรง

สิบสองบรรพชนเผ่าจอมเวทตั้งท่าป้องกันทันที เตรียมพร้อมต่อสู้

“สิบสองบรรพชนเผ่าจอมเวท แก่นโลหิตแห่งผานกู่ เดิมสมควรเป็นผู้สืบทอดอย่างชอบธรรมของผานกู่ ทว่าหลังจากเทพบิดาของพวกเจ้าบุกเบิกฟ้าดิน มรรคาสวรรค์กลับไม่ได้ตกเป็นของพวกเจ้า พวกเจ้ากลายเป็นตัวหมากของอริยะ น่าขันเสียจริง”

เสียงหัวเราะเย้ยหยันเสียงหนึ่งแว่วดังขึ้น ท่ามกลางความมืดมิดด้านหน้า มีใบหน้าใหญ่ยักษ์น่าหวาดผวาปรากฏขึ้นมา หัวเราะอย่างบ้าคลั่งยิ่ง แก้วตาใหญ่โตมโหฬารกว่าฝ่ามือหลายร้อยเท่า ราวกับมียักษ์ที่สูงใหญ่ดุจเขาไท่ซานก้มหน้ามองมดปลวกตัวหนึ่งอยู่

ตี้เจียงตวาดเสียงเข้ม “เจ้านับเป็นตัวอันใดกัน คิดจะขวางทางหรือ”

เสียงหัวเราะเยาะหยันแว่วขึ้นอีกครั้ง “พวกเจ้าถูกมรรคาสวรรค์สะกดไว้ในแดนบรรพกาลมานับยุคสมัยไม่ถ้วน จักรพรรดินีผืนพิภพก็ไม่อาจหลุดพ้นจากสังสารวัฏได้ ถูกอริยะมรรคาสวรรค์ควบคุม ยามนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้อิสระคืนมา พวกเจ้ายังจะกลับไปประจบเอาใจมรรคาสวรรค์อีก พวกเจ้าไม่รู้สึกว่ามันช่างน่าขันเสียจริงหรอกหรือ”

………………………………………………………………