ทหารหน้าประตูเมืองขวางชาวบ้านที่เข้าออกไว้ชั่วคราวอำนวยความสะดวกให้ขบวนคนและม้าขบวนหนึ่งผ่าน
ขบวนคนเหล่านี้มีบุรุษมีสตรีมีผู้เฒ่ามีเด็กน้อย คนส่วนใหญ่ยังสวมชุดทหาร
“ใคร?”
“ขบวนใหญ่โตปานนี้เชียว?”
“เป็นคนจวนเฉิงกั๋วกง”
“คุณหนูจวินก็มาด้วย”
ได้ยินว่าเป็นคนจวนเฉิงกั๋วกง ชาวบ้านที่ถูกขวางก็เลิกโมโหทันที นอกจากนี้ยังมีคุณหนูจวินอีก ทุกคนมองไปอย่างดีอกดีใจ ใครกันทำให้จวนเฉิงกั๋วกงกับคุณหนูจวินตั้งขบวนใหญ่เช่นนี้มารับได้?
เมื่อรถม้าเจ็ดแปดคันหยุดลง กลุ่มคนที่รอคอยด้านนี้ก็รุมเข้าไป
“แม่!” จ้าวฮั่นชิงพุ่งเข้าไปกอดสตรีที่เพิ่งลงจากรถ
น้าเซียวหวิดถูกชนล้ม นางยิ้มแล้วตบปลอบจ้าวฮั่นชิง
“คุณหนู”
ในเวลาเดียวกันยังมีเสียงสตรีแหลมปรี๊ดเสียงหนึ่งดังขึ้น ทุกคนตาลายวูบหนึ่งก็เห็นหลิ่วเอ๋อร์โถมเข้าใส่บนร่างคุณหนูจวิน ร้องไห้เสียงดัง
คุณหนูจวินยิ้มพลางลูบศีรษะนาง
“หลิ่วเอ๋อร์ถูกขุนจนอ้วนแล้ว เกือบชนข้าล้ม” นางยิ้มเอ่ย
หลิ่วเอ๋อร์หยุดร้องไห้เปลี่ยนเป็นหัวเราะ
“ไม่อ้วนนะเจ้าคะ ข้าทำงานทุกวัน” นางเช็ดน้ำตาเอ่ย
“พี่สาวหลิ่วเอ๋อร์มองพวกเราทำงานทุกวัน” เด็กทั้งหลายที่ลงมาจากรถหัวเราะคิกคักเข้ามาร้องบอก
หลิ่วเอ๋อร์พลันถลึงตากระทืบเท้า
“ไปไปไป” นางเอ่ย
เด็กทั้งหลายไม่กลัวนาง หัวเราะฮิฮะโถมเข้าหาบุรุษสตรีสวมชุดทหารทั้งหลายที่เข้ามารับ
“พ่อ !”
“อาเถี่ยเจี่ยว!”
“แม่!”
สองฝ่ายกอดอยู่ด้วยกันอย่างรวดเร็ว เสียงหัวเราะน้ำตาผสมปนเปไปหมด
ตอนนั้นเขาชิงซานทิ้งคนเฒ่าอ่อนแอกับเด็กอายุน้อยกว่าสิบสี่ปีไว้แล้วเลือกสตรีสิบนางดูแลคนเหล่านี้ ทั้งหมดที่เหลือติดตามคุณหนูจวินออกจากเขา คนไม่น้อยในนั้นทั้งครอบครัวไปด้วยกันหมด แน่นอนย่อมมีสามีภรรยาลูกชายลูกสาวแยกจากเช่นกัน เวลานี้พบพานกันอีกครั้งย่อมยินดีอย่างยิ่ง
แล้วก็มีคนหลั่งน้ำตาเงียบงัน นั่นคือครอบครัวของคนทั้งหลายที่ตายในการรบ แม้รู้ข่าวนานแล้ว แต่เวลานี้ได้พบกันก็ยังคงยากปิดบังความเจ็บปวด
“คุณหนูท่านผอมลงแล้ว” หลิ่วเอ๋อร์พินิจดูนางแล้วเอ่ยขึ้น เบะปากจะร้องไห้ “ข้ารู้อยู่แล้วเชียวไม่มีข้าดูแลไม่ไหว”
พูดพลางมองไปทางจ้าวฮั่นชิงอีกหน
“ท่านดูสิตัวนางเองกลับขุนจนอ้วนฉุ”
จ้าวฮั่นชิงเบ้ปากใส่นาง
น้าเซียวลูบดวงหน้านาง ในดวงตายากปิดบังความตื่นเต้น
“ใช้ ขุนมาดีจริงๆ” นางเอ่ย “ข้ายังเกือบจำไม่ได้”
จ้างฮั่นชิงเองก็ลูบดวงหน้าตนเองด้วย
“สวยขึ้นทุกทีแล้วใช่หรือไม่?” นางหัวเราะคิกคักเอ่ย
น้าเซียวพยักหน้ามองไปหาคุณหนูจวิน
คุณหนูจวินก็พยักหน้ายิ้มให้นาง
“ทุกคนมีสิ่งใดพูดคุยก็ไปที่บ้านคุยเถอะ” เซี่ยหย่งเอ่ยเรียก
ภรรยาของเซี่ยหย่งรีบปลอบบรรดาสตรีและเด็กน้อยทั้งหลาย
ที่พักจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว วันที่สองที่คุณหนูจวินเข้าเมืองหลวง เต๋อเซิ่งชางก็เริ่มตระเตรียม ซื้อซอยแห่งหนึ่งไว้ เก็บกวาดบ้านสิบกว่าหลัง เพียงพอรับประกันว่าผู้คนของกองทหารชิงซานจะอยู่ได้เหมือนบ้าน
“คุณหนูอยู่ที่ไหนข้าก็อยู่ที่นั่น” หลิ่วเอ๋อร์กอดแขนคุณหนูจวินพลางเอ่ย คล้ายสักชั่วครู่ก็ไม่คิดจากไกล
“แน่นอน” คุณหนูจวินอมยิ้มบอก “เจ้าขี้เกียจนานปานนี้ ควรทำงานได้แล้ว”
ทุกคนพากันขึ้นรถ จูจั้นที่ไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนั้นเวลานี้เดินเข้ามายืนตรงหน้าน้าเซียว
“ท่านแม่ข้าตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว เชิญนายหญิงไปพักผ่อนที่บ้าน” เขาคำนับเอ่ย
แม้สีหน้ายามเดินเข้ามาไม่ใคร่จะยินดีอยู่บ้าง แต่หนึ่งถ้อยคำหนึ่งคำนับมีมารยาทครบถ้วน
น้าเซียวมองประเมินเขาแล้วมองไปหาคุณหนูจวิน
“นี่คือท่านชายสินะ” นางอมยิ้มเอ่ย
คุณหนูจวินขานรับ จูจั้นก็คำนับอีกหน
“ในเมื่อท่านหญิงกั๋วกงเชื้อเชิญ ข้าย่อมต้องไป” น้าเซียวเอ่ย ไม่หวาดหวั่นวิตกสักนิด ยิ่งไม่ปฏิเสธ คล้ายนี่เป็นเรื่องที่เหมาะสมสมควร
เหมือนครอบครัวของตนเอง
คุณหนูจวินฉับพลันคิดอยากเหมือนจ้าวฮั่นชิง อิงแอบอีกด้านหนึ่งของน้าเซียว
ความคิดนี้ทำให้นางกระดากอยู่บ้าง นางโตป่านนี้แล้ว ต่อให้ในใจรักใคร่นับถือพระมารดากับพี่สาว นางก็ดูแคลนการไปกระทำเช่นนั้น คิดว่าชีวิตหนึ่งยังยาวนานย่อมมีโอกาสแสดงออก ผลสุดท้ายไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว
นางยกเท้าเดินเข้าไป คล้องแขนน้าเซียว อิงศีรษะกับหัวไหล่นาง
“ท่านหญิงกั๋วกงตระตรียมงานเลี้ยงไว้ต้อนรับขับสู้ท่านเรียบร้อยแล้ว” นางเอ่ยบอก
……………………………………….
……………………………………….
รถม้าขับแยกเป็นสองทาง เซี่ยหย่งพาคนเขาชิงซานเดินทางไปก่อน น้าเซียวพาจ้าวฮั่นชิงกับหลิ่วเอ๋อร์ขึ้นรถของจวนกั๋วกง
คุณหนูจวินยื่นมือแนบแก้มตนเองเงียบๆ ยังร้อนอยู่นิดๆ ไม่รู้ถูกคนเห็นว่าหน้าแดงหรือไม่
การกระทำเมื่อครู่ของนางทำออกมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบต่อหน้าคนมากมายปานนี้อย่างไรก็กระดากอายอยู่บ้าง โชคดีทุกคนล้วนจมจ่ออยู่กับความยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งจึงไม่ได้สนใจ
มีคนแค่นเสียงเหอะสองทีอยู่ด้านข้าง
คุณหนูจวินมองทีหนึ่ง จูจั้นยักคิ้วใส่นาง
“คนหนุนหลังมาแล้ว ดีใจปานนี้เชียว?” เขาเอ่ยขึ้น
คนหนุนหลังรึ?
คุณหนูจวินยิ้มจนดวงตาโค้ง
“ใช่แล้ว ริษยาล่ะสิ? อิจฉาล่ะสิ?” นางเอ่ยแล้วยักคิ้วให้เขาบ้าง “หวาดกลัวล่ะสิ?”
จูจั้นแค่นเสียงเหอะ
“ข้ากลัวอะไร? ข้าบอกเจ้า ล้วนไม่มีประโยชน์” เขาเอ่ยขึ้น “รีบหยุดความคิดที่ไม่ควรมีเสีย อย่าก่อเรื่องไปถึงท้ายที่สุดน่าเกลียด”
คุณหนูจวินกุมหน้ายิ้มให้เขา
“ข้าไม่น่าเกลียดหรอก” นางว่า “ท่านไม่ใช่บอกว่าข้าน่ามองยิ่งหรือ”
จูจั้นสบถทีหนึ่ง หมุนตัวปุบก็จากไป คุณหนูจวินยิ้มติดตาม สองคนต่างขึ้นม้าของตนเอง
น้าเซียวที่นั่งอยู่ในรถม้ารั้งสายตากลับมาแล้วยิ้มนิดๆ
“คุณหนูจวินกับท่านชายเข้ากันดีทีเดียว” นางเอ่ย
“ใช่แล้ว พี่สาวดีปานนี้ ใครไม่ชอบนางเล่า” จ้าวฮั่นชิงว่า
หลิ่วเอ๋อร์ก็พยักหน้าตามด้วย
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว คนที่ไม่ชอบคุณหนูของข้าล้วนเป็นคนเลว” นางเอ่ยเสริม
น้าเซียวหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
นางน้อยนักจะหัวเราะลั่นเช่นนี้ หรือพูดได้ว่านานนักแล้วที่ไม่ได้หัวเราะเช่นนี้
ไม่หัวเราะได้นานนัก นานสิบปีหลายปี แต่หัวเราะเบิกบานทีหนึ่งก็ง่ายดายเช่นนั้นอีก มนุษย์เป็นตัวตนที่ลำบากและรู้จักพอจริงๆ
นางมองดวงหน้าที่ไม่จำเป็นต้องสวมผ้าปิดหน้าแล้วของจ้าวฮั่นชิง แม้ยังแปลกอยู่อย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ถึงขั้นทำให้คนหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว แล้วมองดูหลิ่วเอ๋อร์ จากนั้นนางก็ยื่นมือลูบศีรษะทั้งสองคน
“ใช่” นางว่า “คนที่ไม่ชอบนางล้วนเป็นคนเลว”
……………………………………….
……………………………………….
งานเลี้ยงในครอบครัวที่จวนกั๋วกงครึกครื้นยิ่งและตามสบายยิ่ง น้าเซียวเผชิญหน้ากับสามีภรรยาเฉิงกั๋วกงอย่างนิ่งสงบสบายๆ สามีภรรยาเฉิงกั๋วกงก็ปฏิบัติกับอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร ระหว่างงานเลี้ยงไม่ถามถึงอดีตแม้แต่นิด พูดถึงเพียงปัจจุบัน ชื่นชมจ้าวฮั่นชิงกับคุณหนูจวิน อาหารมื้อหนึ่ง นอกจากจูจั้นทุกคนล้วนกินอย่างสำราญใจยิ่ง
งานเลี้ยงเลิกราเฉิงกั๋วกงขอตัว ท่านหญิงเฉิงกั๋วให้คุณหนูจวินจัดการให้น้าเซียวพักผ่อน
“พักที่นี่แล้วค่อยไป” นางว่า “เลือกสาวใช้สองสามคนไปปรนนิบัติด้วย”
น้าเซียวไม่เอ่ยถ้อยคำเกรงใจ อมยิ้มน้อมรับ
“ข้าล่ะชอบคุยกับคนเช่นนี้อย่างท่าน ไม่คิดร้ายพร่ำพูดมากมายปานนั้น” นางหญิงอวี้ยิ้มยินดีพูดขึ้น ตบบนมือของน้าเซียวเบาๆ “ข้ารู้อยู่แล้วเชียวไม่ใช่คนพวกเดียวกันไม่อยู่บ้านเดียวกัน…”
จูจั้นไอสองที คล้ายดื่มชาแล้วสำลัก
นายหญิงอวี้ไม่สนใจเขา
“…นิสัยคุณหนูจวินเหมือนท่าน” นางเอ่ยต่อ “นายหญิงเซียว ท่านก็รู้ว่าเรื่องแต่งงานนี่เป็นเรื่องหลอก ลำบากคุณหนูจวินแล้วจริงๆ”
นายหญิงเซียวอมยิ้มส่ายศีรษะ
“ทำการใหญ่ไม่พะวงเรื่องเล็กน้อย” นางว่า “ไม่ลำบาก”
จูจั้นรีบพยักหน้า
นายหญิงอวี้ยิ้มพลางพยักหน้า
“พูดถูกต้อง” นางเอ่ย ตบบนมือน้าเซียวเบาๆ อีกหน “ถ้าเช่นนั้นข้าก็เรียกท่านว่าแม่ยายสักคำ”
ตรรกะนี่ไม่ถูกต้องกระมัง?
จูจั้นอึ้ง
“แม่ แม่ อย่านับญาติมั่วซั่วสิ” เขาหลุดปากรีบร้อนเอ่ย
นายหญิงอวี้ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง
“สตรีคุยกันเจ้าสอดปากอะไร” นางเอ็ดเสียงเบา “ไปเลือกสาวใช้หญิงรับใช้สักหลายคนมาให้นายหญิงใช้”
นี่ไม่ใช่เรื่องที่สตรีทำหรือ? ให้เขาไปทำอีกแล้ว! จูจั้นถลึงตาแต่สุดท้ายก็ไม่กล้าขัดมารดากระฟัดกระเฟียดจากไป
“ท่านหญิงมีบุตรชายดี” น้าเซียวอมยิ้มเอ่ย
นายหญิงอวี้ยิ้มไม่ถ่อมตัวสักนิด
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” นางว่า
คุณหนูจวินลานายหญิงอวี้แล้วพานายหญิงเซียวกับจ้าวฮั่นชิงมาถึงสถานที่พักของตนพักผ่อน
“เจ้าไปบอกอารองเซี่ยของเจ้าสักคำ ข้าจะพักด้วยกันกับอาสะใภ้เซี่ยวของเจ้าแล้วกัน ไม่อยากอยู่คนเดียวแล้ว เดียวดายนัก” น้าเซียวคิดอะไรขึ้นได้ บอกกับจ้าวฮั่นชิง “เจ้าไปบอกเขาก่อน ไม่ให้ถึงเวลาเปลี่ยนอีก”
จ้าวฮั่นชิงขานอ้อแล้ว ดีอกดีใจจากไป
ในห้องเหลือเพียงน้าเซียวกับคุณหนูจวินสองคน
คุณหนูจวินเอาชามา
“ท่านน้า” นางเอ่ย “ท่านมีคำพูดอันใดจะถามข้าหรือ?”
น้าเซียวมองไปหานาง
“เขาตายตั้งแต่เมื่อไร?” นางเอ่ยถาม
มือที่ถือชาของคุณหนูจวินแข็งทื่อนิดหนึ่ง
………………………