บทที่ 775 ทดสอบ

บทที่ 775 ทดสอบ

ผ่านพ้นไปหนึ่งคืน รุ่งเช้าสาว ๆ ตื่นขึ้นล้างหน้าล้างตาแล้วไปกินข้าวโรงอาหาร วันนี้ไม่ต้องฝึกทหารแล้ว หญิงสาวที่ผิวเกือบเสียแทบจะโบยบินด้วยความสุข ผ่านมาครึ่งเดือนผิวคล้ำลงหลายระดับเพราะโดนแดดเผา

เพียงแค่มองก็รู้สึกเศร้าสร้อย

เราตื่นมาส่องกระจกมองอยู่นานสองนาน รู้สึกอายเหลือเกิน แต่ทำอะไรไม่ได้ยังไงก็ต้องไปเรียนโชคดีที่สีผิวนักศึกษาปี 1 ส่วนใหญ่เปลี่ยนแปลงเหมือน ๆ กัน เลยไม่ต้องห่วงว่าจะเป็นที่ขบขัน

อาหารเช้าที่โรงอาหารเรียบง่ายมาก ไม่ได้มีอะไรมากมายเหมือนคนในยุคปัจจุบัน

เสี่ยวเถียนดื่มน้ำเต้าหู้ ส่วนคนอื่น ๆ เลือกกินโจ๊ก

โจ๊กถ้วย หรือซาลาเปาไม่ก็หมั่นโถวสักก้อนไม่ถือว่าเป็นอาหารเช้าที่น้อยเกินไป ไม่เคยเห็นนักเรียนยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อหมั่นโถวแค่ลูกเดียวหรือ? พอกินข้าวเสร็จเราก็เดินคุยกันไปจนถึงห้องเรียน

แม้จะเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ของการเปิดเทอม แต่เราเพิ่งเข้าเรียนแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เสี่ยวเถียนรู้สึกว่าถ้าตนความจำไม่ดี คงหาห้องเรียนไม่เจอแน่ ๆ

“พวกเธอว่าคาบนี้อาจารย์เราจะหน้าตาเป็นยังไงหรือ? จะเป็นคนแก่ ๆ ท่าทางจริงจังหน่อยหรือเปล่า? หรือจะเป็นอาจารย์หนุ่มหล่อเหลาแบบอาจารย์ฮั่ว?” ฉู่เยว่ว่า

“ฉันหวังว่าจะเป็นแบบอาจารย์ฮั่วที่ทั้งหล่อและเด็กนะ เวลามองจะได้สบายตา!” จ้าวหงเหมยตอบทันควัน

ท่าทางที่แสดงออกมาของเพื่อนทำเอาคนอื่นหัวเราะลั่น อันที่จริงเด็กผู้หญิงอายุ 18-19 ปีเป็นช่วงวัยกำลังแตกเนื้อสาว มีใครที่ไหนไม่ชอบหนุ่มหล่อเปล่งประกายบ้างล่ะ?

เราเดินคุยกันจนถึงมาห้องเรียน ตอนนั้นเพื่อนร่วมชั้นเรียนยังมาไม่เยอะเท่าไหร่

เสี่ยวเถียนยิ้มทักเพื่อนที่รู้จัก ก่อนจะหาที่นั่งจับจอง เพราะการเรียนมหาวิทยาลัยจะไม่มีที่ประจำ หลังจากพบที่นั่งที่พอใจก็ทรุดตัวลงก่อนที่คนอื่น ๆ จะนั่งลงตาม

เด็กหญิงหยิบหนังสือเรียนของวันนี้ออกมาเริ่มอ่าน ตอนนี้เหลือเวลาอีกสิบนาทีก่อนคาบเรียนจะเริ่ม เสี่ยวเถียนไม่ใช่คนชอบปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

เมื่อเห็นเด็กหญิงอ่านหนังสือ รูมเมทคนอื่น ๆ ก็เริ่มทำตามบ้าง ภาพนี้ทำให้คนรอบข้างประหลาดใจ

อะไรกันน่ะ? นี่ไม่ใช่เวลาอ่านหนังสือก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสียหน่อย เอาเวลาสิบนาทีมาพูดคุยสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนในชั้นเรียนไม่ดีกว่าหรือ? แล้วทำไมคนจากห้องนี้ถึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือกันล่ะ

……

ตอนนี้เราอ่านวิชาการเขียนพื้นฐาน

ถึงคณะภาษาจีนจะเป็นการเรียนวิชาภาษาจีน แต่มันเป็นวิชาที่ต้องทำความเข้าใจสูงมาก

ตลอดสี่ปีนี้ พวกเราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับภาษาเบื้องต้น ภาษาจีนสมัยใหม่ ภาษาจีนโบราณ ภาษาศาสตร์ สัทวิทยา ตีความ วรรณกรรมจีนโบราณ วรรณกรรมจีนสมัยใหม่ วรรณกรรมจีนร่วมสมัย วรรณกรรมต่างประเทศ วรรณกรรมเบื้องต้น วัฒนธรรมจีนเบื้องต้น โครงสร้างประวัติศาสตร์จีน ภาษาคลาสสิก ทฤษฎีลัทธิมากซ์*[1] และอีกหลายวิชา

แต่เมื่อนึกถึงความสามารถในการปรับตัวของนักศึกษาใหม่ ปีหนึ่งเราจะมีหลักสูตรทั่วไปหลายตัว และวิชาชีพไม่เยอะนัก แต่อาจารย์ฮั่วบอกไว้ตั้งแต่วันแรกว่า วิชานี้การเรียนด้วยตัวเองสำคัญกว่าการฟังบรรยายจากอาจารย์มาก

เพราะวิชาภาษาจีนเราจะเรียนตั้งแต่การฝึกเขียนอักษร ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจารย์ไม่สามารถบังคับได้ การที่จะทำสำเร็จมีแต่นักศึกษาต้องมีวินัยในตัวเองเท่านั้น

เสี่ยวเถียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยไม่ใช่นักเรียนวัยมัธยมอีกแล้ว เราจะไม่มีครูคอยตามจี้ตามไชอีกแล้ว เพราะงั้นเราต้องกระตุ้นตัวเอง และเอาชนะตัวเองให้ได้

สิบนาทีต่อมาห้องเรียนก็เงียบสงัด อาจารย์ประจำวิชามาถึงแล้ว

แม้จ้าวหงเหมยจะหวังเป็นอย่างมากว่าอาจารย์ที่สอนวิชานี้เป็นจะคนหล่อเหลาเหมือนฮั่วซือเหนียน แต่ความจริงกลับโหดร้ายยิ่งกว่า

คาบแรกเป็นอาจารย์อาวุโสคนหนึ่ง เขาสอนวิชาการเขียนพื้นฐานให้กับคณะนี้ พูดถึงอาจารย์คนนี้แล้ว แกมีชื่อว่าสวี่หงหมิง เป็นสมบัติของชาติและถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาจีนศึกษาที่ยังมีชีวิตอยู่

ตอนนี้ท่านอยู่ในวัยเกษียณแล้ว แต่เพราะหลายปีที่ผ่านมาเราขาดอาจารย์คุณสมบัติแบบท่านไป ทางมหาวิทยาลัยจึงพยายามอย่างมากที่จะจ้างท่านให้มาสอน โดยหวังว่าจะสั่งสอนให้เหล่าผู้ศึกษามีความสามารถมากขึ้น

ท่านเป็นอาจารย์ที่อาวุโสจริง ๆ แม้ว่าผมบนศีรษะจะขาวโพลน แต่เวลาสอนแกมีจิตวิญญาณสูงมาก การบรรยายในชั้นเรียนจึงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน

เสี่ยวเถียนไม่ได้อ่านหนังสือจริงจังมากนัก ที่จริงเธอยังมีข้อบกพร่องในเรื่องเรียนรู้อย่างเป็นระบบอยู่ พอได้ฟังการบรรยายที่แสนยอดเยี่ยมของอาจารย์ท่านนี้ เธอจึงเพลิดเพลินใจไปกับมันโดยหวังว่าจะทิ้งตัวลงไปในมหาสมุทรแห่งความรู้ และเดินทางภายใต้การแนะนำของชายชรา

สิ่งที่อาจารย์สวี่ชอบมากที่สุดในชีวิตคือนักเรียนที่รักการเรียนรู้ เวลาที่เขาสอนเขามักจะสังเกตไปรอบ ๆ เสมอ บรรยากาศการเรียนของห้องนี้ดีมาก ๆ นักเรียนส่วนใหญ่ตั้งใจกับบทเรียนอย่างดี มีบางครั้งที่วอกแวกบ้าง แต่ยังสามารถกลับเข้าบทเรียนได้อยู่

ชายชราพึงพอใจมาก เรื่องนี้ไม่น่ากลัวเท่าเด็กหลุดออกไปกลางทางหรอกนะ และในบรรดาทั้งหมด มีซูเสี่ยวเถียนที่ตั้งใจเรียนมากที่สุด วินาทีที่อาจารย์สวี่เดินเข้ามาในห้อง สายตาสังเกตเห็นเด็กหญิงที่อายุน้อยที่สุดกำลังตั้งใจอ่านหนังสือ

เขาได้ยินมาก่อนแล้วว่าคณะนี้มีเด็กผู้หญิงอายุน้อยด้วย ทีแรกก็คิดว่าด้วยวัยของเธอไม่น่าเข้าใจบทเรียนของเขา แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าตัวจะตั้งใจฟังตลอดชั่วโมง บางครั้งเธอก็พยักหน้า และบางครั้งก็ดูสับสน ทำให้ชายชราอย่างเขาอดไม่ได้ที่จะสนใจ

จากนั้นก็ให้เธอตอบคำถามในตอนที่กำลังจะเลิกเรียน

คำถามที่ถามเกี่ยวกับบทเรียนที่สอนไปในวันนี้ ไม่ได้จะทดสอบอะไรหรอก แค่อยากแน่ใจว่าด้วยอายุของเธอจะสามารถเข้าใจได้หรือเปล่า แถมข่าวที่ว่าปีนี้รับสมัครจากเด็กห้องพิเศษเขาก็เคยได้ยินมา แต่ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก

คำว่าห้องเรียนพิเศษ สำหรับเขามันคือการดึงต้นอ่อนช่วยให้เติบใหญ่ ซึ่งเขาต่อต้านวิธีการนี้มาก ๆ แต่เขาเป็นแค่ครูคนหนึ่ง ไม่ใช่คนจากกระทรวงการศึกษา

เพราะงั้นหลังจากความเห็นแย้งที่เสนอไปไม่ได้รับการยอมรับ มันจึงถูกพักไว้แบบนั้น ต่อมาก็ได้รู้ว่ามีเด็กจากห้องเรียนนี้สอบได้เป็นอันดับหนึ่งของปี จึงอยากมาทดสอบความคิดสักหน่อย

หลังจากสอนเสร็จ เขายอมรับเลยว่าสิ่งที่สาวน้อยแสดงออกมาให้เห็นมันเกินความเข้าใจของตนที่มีต่อเด็กวัยยังไม่บรรลุนิติภาวะหมดเลย

เธอแตกต่างจากเด็กห้องพิเศษที่เขาเคยจินตนาการไว้เสียอีก

[1] วิชาแบบเปิดหมายถึง วิชาที่เปิดรับนักศึกษาจากทุกคณะให้ลงเรียน ส่วนใหญ่จำนวนความจุในการรับนักศึกษาของแต่ละเซคจะเยอะ ไม่ต้องรอการอนุมัติอนุญาตให้ลงทะเบียน ว่าง่ายๆ คือถ้าอยากเรียนวิชานี้ก็สามารถเลือกลงได้ทันที