บทที่ 632-2 เสี่ยวจิ้งคงมาแล้ว! (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 632-2 เสี่ยวจิ้งคงมาแล้ว! (2)

จากนั้นหนึ่งในกลุ่มอันธพาลอู่เย่ว์อีกคนก็ยกเท้าขึ้นเตรียมถีบบัณฑิตที่เพิ่งพูดขัดคอเมื่อครู่

ทว่าชั่วพริบตาเดียว ร่างของบัณฑิตอู่เย่ว์คนนั้นกลับถูกเตะล้มจนร้องโอดครวญเสียเอง!

“เซียวลิ่วหลัง!” บัณฑิตเทียนฉงสี่คนตะโกนขึ้นพร้อมกัน

กู้เจียวจ้องเขม็งอย่างดุเดือดไปที่บัณฑิตอันธพาลที่กำลังจิกหัวโจวถง “ปล่อยเขาลงเดี๋ยวนี้ อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำสอง”

อีกฝ่ายใช้สายตากวาดมองกู้เจียวขึ้นลง ก่อนจะหยุดที่รอยปานแดง “เจ้าขี้เหร่นี่เป็นใครกัน แถมมาสั่งให้ข้าปล่อยเจ้านี่ไปอีก ถ้าข้าปล่อยมันไป ใครจะเลียตีนข้าแทนมันล่ะ หรือเจ้าจะทำแทน”

“อยากได้คนเลียตีนนี่เอง ได้สิ จัดไป!” กู้เจียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาเสร็จก็ควักมีดขึ้นแล้วแทงเข้าไปที่เส้นประสาทกล้ามเนื้อแขนของอีกฝ่าย

ความรู้สึกชาแผ่ซ่านไปทั่วทั้งแขนจนอีกฝ่ายต้องคลายมือจากโจวถง ร่างของโจวถงเซล้มแต่กู้เจียวคว้าตัวเขาไว้ได้ทัน จากนั้นกู้เจียวยกเท้าขึ้นและเตะหน้าอกของคู่ต่อสู้อย่างแรง!

กลุ่มอันธพาลที่เหลือพอเห็นดังนั้นก็ปรี่เข้ามาโจมตี กู้เจียวสามารถล้มหนึ่งในพวกมันอย่างง่ายดายด้วยการเคลื่อนไหวเพียงน้อยนิด และในชั่วพริบตา กลุ่มบัณฑิตอันธพาลทั้งเจ็ดก็ล้มลงกับพื้นและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

หนึ่งในนั้นที่เป็นหัวหน้าเริ่มแสดงท่าทีหวาดผวาออกมา

เขาปิดหน้าอกแล้วลุกขึ้นขณะที่จ้องมองกู้เจียวอย่างดุเดือดและก้าวเท้าถอยหลังโดยไม่รู้ตัว “เจ้าเป็นใคร!”

“ลูกพี่พวกเอ็งไงล่ะ!” กู้เจียวเอามือจิกหัวแล้วกระทุ้งเข่าลงไปที่หน้าท้องอีกฝ่ายจนร่างงอเป็นกุ้งต้ม

พอเห็นรองเท้าของเขาหลุดออกจากเท้า กู้เจียวก็คว้าร่างของอีกฝ่ายแล้วโยนลงบริเวณข้างๆ รองเท้า “อยากเลียก็เลียเอง!”

เอ่ยจบ กู้เจียวก็หันไปบอกกับโจวถงและคนอื่นๆ “มัวยืนอึ้งอยู่ได้ ยังไม่รีบตามมาอีก”

โจวถงมองดูร่างหมดสภาพของพวกบัณฑิตอู่เย่ว์ แล้วรีบเดินตามกู้เจียวติดๆ “เอ่อ อื้อ!” จากนั้นหันไปพูดกับสหายของเขา “เร็วเข้า มาเถอะ!”

พวกเขาเลยรีบก้าวเท้าข้ามกองร่างที่หมดสภาพของพวกอันธพาล และวิ่งตามหลังกู้เจียวติดๆ

จงติ่งก็เช่นกัน

สายตาของพวกเขาที่มองกู้เจียวแตกต่างไปจากเมื่อก่อน ในแววตามีแต่ความรู้สึกชื่นชมและความใกล้ชิดอีกด้วย

โจวถงเอาแต่แอบมองกู้เจียว

“มีอะไรรึ” กู้เจียวหันไปถามหลังจากเริ่มรู้สึกรำคาญ

หัวใจของโจวถงแทบจะกระเด็นออกจากลำคอของเขาตอนที่อีกฝ่ายจ้องกลับมาดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตรอก โจวถงก็รู้สึกว่าเขาไม่ควรกลัวขนาดนี้ “ขอบคุณมาก! และข้าก็ต้องขอโทษด้วย!”

“เหตุใดเจ้าถึงต้องพูดขอโทษอยู่เรื่อยล่ะ”

โจวถงตอบด้วยท่าทีประหม่าเล็กน้อย “เมื่อครู่นี้ ข้า… ข้าถูกบังคับให้ต้องพูดขอโทษ อันที่จริง ไม่ใช่ข้าที่เดินชนพวกนั้น แต่เป็นพวกนั้นต่างหากที่จงใจขัดขาข้า พวกบัณฑิตอู่เย่ว์ชอบหาเรื่องพวกเราอยู่บ่อยๆ “โจวถงตระหนักว่าเขาเริ่มพูดอ้อมประเด็นมากเกิน จึงรีบกลับมาที่ประเด็นหลัก ที่ข้าเอ่ยขอโทษเจ้านั่นก็เพราะ… ข้าเคยเข้าใจเจ้าผิดไป…”

เขาคิดว่าเซียวลิ่วหลังก็คงเป็นเหมือนกับอันธพาลกลุ่มนั้น ล้วนแต่เป็นคนที่ชอบใช้ความรุนแรงและบ้าพลัง แต่ข้อเท็จจริงพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่

พลังของเขาไม่ได้ใช้เพื่อกลั่นแกล้งผู้คน

“เจ้า เจ้าไม่ใช่พวกชอบใช้ความรุนแรงใช่ไหม เรื่องเมื่อวานที่คอกม้า เจ้าทำเพื่อช่วยคุณหนูซูสินะ ส่วนเรื่องวันนี้ เจ้าก็ทำเพื่อพวกเรา เจ้าช่างเป็นจิตใจดีเหลือเกิน สหายเซียว!”

กู้เจียวที่จู่ๆ รู้สึกราวกับมีคนมามอบโล่ความดีให้ “…”

พลางนึก นี่เขากำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่แน่ๆ

หลังจากเจอเรื่องที่ทำให้เสียเวลา พอพวกเขามาถึงที่ศาลาเซียนหลวน ก็พบว่าการแข่งขันจบลงแล้ว ผู้อาวุโสเมิ่งนั่งรถม้าออกไปเป็นที่เรียบร้อย

จงติ่งถึงกับก็อดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญ “นี่ข้าไม่ได้ทันเจอท่านผู้อาวุโสหรือนี่! อยู่ห่างกันแค่นี้เอง! โถ่ ข้านี่ซวยชะมัด ชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสครั้งที่สองอีกแล้ว”

กู้เจียวไม่สนว่าจะได้เจอท่านผู้อาวุโสหรือไม่ นางแค่อยากเจอมู่ชิงเฉิน

หารู้ไม่ว่ามู่ชิงเฉินเองก็ไม่อยู่ที่นั่นแล้วเหมือนกัน

“เหตุใดมู่ชิงเฉินถึงโดดเรียนได้ แต่พวกเราทำไม่ได้ล่ะ” กู้เจียวเอ่ยถาม

คนอย่างเขามีสิทธิพิเศษอะไร

จงติ่งอธิบายด้วยท่าทีอิจฉา “แม้ว่าเขาจะไม่เคยมาเรียนเลย แต่เขาก็ได้อันดับหนึ่งในการสอบทุกครั้ง บัณฑิตดีๆ แบบนี้มีหรือจะถูกไล่ออก ดังนั้นเจ้าสำนักก็เลยจัดการเรียนการสอนพิเศษให้ที่เรือนของเขา”

“แล้วบัณฑิตคนอื่นๆ ไม่มีความเห็นอะไรเลยรึ”

พูดถึงเรื่องนี้ จงติ่งถึงกับถอนหายใจ “คนที่มีปัญหาส่วนใหญ่ก็มักจะไปขอท้าเขา แต่กลับไม่มีใครทำคะแนนได้ดีกว่าเขาเลย”

กู้เจียวเอามือลูบคาง “เก่งขนาดนั้นเชียวรึ”

จงติ่งทำท่าเอามือปาดน้ำตา “แต่รอบนี้ข้าได้ยินมาว่าเกิดเรื่องบางอย่างกับตระกูลของเขา เลยต้องออกจากเมืองเซิ่งตูไปสักพักหนึ่ง”

กู้เจียวออกอาการตกใจ “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะไม่ได้เจอเขาไปอีกพักใหญ่เลยสิ”

แล้วจะเข้าไปตำหนักราชครูได้อย่างไรกัน!

ตกกลางคืน

ณ มุมหนึ่งของสำนักบัณฑิตแห่งหนึ่งในเมืองชั้นใน เด็กน้อยตัวน้อยที่เกือบจะกลมกลืนกับราตรีกำลังแอบวิ่งออกไปพร้อมห่อเล็กๆ ในอ้อมแขนของเขา

พี่เขยตัวแสบออกไปอาบน้ำแล้ว

เขาใช้โอกาสนี้แอบหนีออกมา!

เขาต้องตามหาเจียวเจียวให้ได้!

เจ้าเด็กน้อยในชุดดำทั้งคลานเข้าไปในรูสุนัข ปีนต้นไม้ ปีนข้ามกำแพง กระโดดจากต้นไม้ และไต่ลง เขาทำทั้งหมดในคราวเดียว!

ในที่สุดเขาก็หาทางออกมาจากสำนักบัณฑิตจนได้!

เขายืนอยู่ใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่และยืนอยู่บนถนนอันเงียบสงบ!

เจียวเจียว เด็กน้อยของเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว!

ตุ๊บ!

เจ้าตัวเล็กเกิดสะดุดล้มกะทันหัน

“ช้าก่อนเจ้าม้า…”

รถม้าคันหนึ่งกำลังมาด้วยความเร็วสูง ดีที่เขาเห็นห่อเล็กๆ ที่ตกอยู่บนพื้นเสียก่อน ไม่อย่างนั้นมีหวังได้ทับจนแบน

สารถีรถม้ารีบดึงบังเหียนและหยุดรถม้า

“เกิดอะไรขึ้น” บุคคลในรถม้าเอ่ยถาม

“ใต้เท้า เอ่อ คือว่า มีเด็กขอรับ” สารถีใช้เวลาอยู่พักใหญ่ถึงจะเห็นว่าใต้หีบห่อนั้นมีร่างของเด็กน้อยนอนล้มอยู่

“ไปดูสิ” บุคคลในรถม้าสั่ง

“ขอรับ”

สารถีลงจากรถ เดินไปหาเด็กคนนั้น

เขาสงสัยว่าเด็กคนนี้แค่เป็นลมหรือตายไปแล้ว ทันทีที่เขาย่อตัวลงและพยายามสำรวจการหายใจ เจ้าตัวเล็กก็เงยหน้าขึ้นทันที!

“แม่จ๋า!”

สารถีตกใจจนวิ่งหนีออกมา!

คนในรถได้ยินความเคลื่อนไหวจึงยกมือเปิดม่าน “เกิดอะไรขึ้นรึ”

เจ้าตัวน้อยค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้น หยิบห่อเล็กๆ ขึ้นมาและอุ้มไว้ในอ้อมแขนของเขาและจ้องมองท่านอาวุโสเมิ่งด้วยสีหน้าออดอ้อน “ท่านปู่ ช่วยพาข้าไปหาเจียวเจียวได้ไหม”