บทที่ 802 ตัวตนที่คงอยู่เพียงหนึ่งเดียว

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 802 ตัวตนที่คงอยู่เพียงหนึ่งเดียว

“ภัยพิบัติเช่นใด”

สิงหงเสวียนขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม ถึงแม้นางจะให้ความสำคัญกับหานเจวี๋ยมากที่สุด แต่ลูกในท้องก็อยู่กับนางมาเนิ่นนานปานนี้ ช่วยนางฝึกบำเพ็ญ นางยังไม่เคยได้ตอบแทนลูก ก็ต้องคิดหาทางกำจัดลูกแล้วอย่างนั้นหรือ

จะเป็นไปได้อย่างไร!

อีกฝ่ายกล่าวว่า “การถือกำเนิดของเขาจะนำพาภัยพิบัติมาให้ทั่วทั้งฟ้าบุพกาล เขาจะกลายเป็นศัตรูกับทั้งฟ้าบุพกาล แม้แต่สามีของเจ้าก็จะกลายเป็นศัตรูของเขาเช่นกัน ตัวตนยุคบรรพกาลที่ไม่อาจกล่าวนามได้เหล่านั้นจะทยอยลงมือ ปิดผนึกบ่วงกรรม ผนึกห้วงกาล ข้าเสียสละไปมากมายอย่างยิ่ง ถึงมาเข้าฝันเจ้าได้”

เมื่อสิงหงเสวียนได้ฟังก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด

อีกฝ่ายกล่าวต่อว่า “อีกอย่างเจ้าก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าบุตรที่เจ้าให้กำเนิดออกมาจะดีหรือร้าย พรสวรรค์ของเขาเจ้าเองก็รับรู้ได้ หากว่าเป็นไปในทางร้าย เจ้าจะควบคุมเขาได้จริงๆ น่ะหรือ

“เขาทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นได้ ตัวเขาย่อมแข็งแกร่งยิ่งกว่า เขาจะถือกำเนิดขึ้นพร้อมพลังสุดกล้าแกร่ง เขาคือมหันตภัยตั้งแต่ถือกำเนิด เดิมทีเขาไม่สมควรเกิดมา ตอนแรกสามีของเจ้าก็ไม่ต้องการมีเขา เป็นเจ้าที่ดื้อรั้น

“เจ้าอย่าได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องโหดร้ายเลย บ่วงกรรมเริ่มต้นขึ้นที่เจ้า ก็สมควรจบลงที่เจ้า”

พอสิ้นเสียงโลกทั้งใบพลันเริ่มบิดเบี้ยว กลายเป็นหมอกเลือนราง

จากนั้นก็ตื่นจากฝัน

สิงหงเสวียนลืมตาขึ้น

นางมีสีหน้าซับซ้อน โชคชะตาและบ่วงกรรมอันหนักอึ้งกดทับจนนางแทบจะหายใจไม่ออกแล้ว

นางลูบไล้หน้าท้องของตน แสดงสีหน้าเจ็บปวดขมขื่น

เป็นเพราะความเอาแต่ใจของนางเช่นนั้นจริงๆ หรือ

ทันใดนั้นนางคิดอะไรขึ้นได้ พลันรู้สึกโล่งใจ

“ข้าจะว้าวุ่นไปไย ข้ามีวันนี้ได้ก็เพราะพึ่งพาท่านพี่ คุณสมบัติของเด็กคนนี้ก็ไม่ได้มาจากข้า แต่มาจากท่านพี่ ข้าไม่ควรกังวลเรื่องนี้เลย ต้องเอาไปบอกท่านพี่”

สิงหงเสวียนพึมพำกับตัวเอง จากนั้นจึงลุกขึ้นมุ่งหน้าไปขอเข้าพบหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยกำลังตรวจดูจดหมายอยู่ เกิดจินตนาการบรรเจิดเพราะจดหมายที่น่าสนใจบางส่วน

เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของสิงหงเสวียน จึงเปิดประตูใหญ่อารามเต๋าทันที ให้นางเข้ามา

สิงหงเสวียนเข้ามานั่งลงข้างๆ หานเจวี๋ย บอกเล่าความฝันก่อนหน้านี้ให้เขาฟังอย่างละเอียด

หลังจากฟังจบ หานเจวี๋ยไม่ได้ตกใจ เขารู้เรื่องนี้มานานแล้ว

อย่างไรก็ตาม เขาพอใจกับพฤติกรรมที่สิงหงเสวียนแสดงออกยิ่งนัก

“เจ้าทำได้ดีมาก เมื่อเกิดเรื่องที่ไม่เข้าใจก็ต้องมาแจ้งข้า อย่าได้คิดหาทางจัดการเอาเอง” หานเจวี๋ยดึงมือสิงหงเสวียนขึ้นมา ตบหลังมือนางเบาๆ เผยด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ

หากว่าสิงหงเสวียนคิดไม่ตก สังหารบุตรชายของตน หรือเลือกวิธีการสุดโต่ง คิดพาบุตรชายหนีไป ก่อให้เกิดผลลัพธ์ร้ายแรงตามมา เช่นนั้นก็วุ่นวายแล้ว

สิงหงเสวียนยิ้มอ่อนหวานกล่าวว่า “เรื่องนี้อาจจะเป็นแผนร้าย คิดทำให้ข้าว้าวุ่นใจเพื่อถ่วงรั้งท่านพี่หรือไม่”

หานเจวี๋ยกล่าว่า “ไว้ข้าจะทำนายดู ตอนนี้ให้เจ้าทำเหมือนที่ผ่านมา สมควรฝึกบำเพ็ญก็ฝึกบำเพ็ญไป หลังจากพิสูจน์มรรคผลเบิกฟ้าแล้ว ยังคงต้องฝึกบำเพ็ญต่อ เข้าใจหรือไม่”

สิงหงเสวียนพยักหน้ารับ

หลายชั่วยามต่อมา สิงหงเสวียนจากไป นางรู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก ผ่อนคลายลงอีกครั้ง

ภายในอารามเต๋า

หานเจวี๋ยเริ่มใช้ความสามารถวิวัฒนาการ ‘ผู้ที่สิงหงเสวียนพบในแดนความฝันคือตัวนางจากอนาคตจริงหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยห้าแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[เป็นตัวนางจากอนาคตจริงๆ]

ตัวนางในอนาคตมีค่าตัวถึงห้าแสนล้านปีเชียวหรือ

หานเจวี๋ยถามต่อ ‘สิ่งที่ตัวนางในอนาคตพูดเป็นความจริง หรือว่าเป็นกับดักลวง’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยห้าแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่สามารถวิวัฒนาการโดยตรงได้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์สูงสุด]

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

กล่าวอีกอย่างคือไม่สามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริงหรือไม่ อาจจะถูกศัตรูล่อลวงปั่นหัวก็เป็นได้

นี่คือสัญญาณอันตรายอย่างหนึ่ง ศัตรูอาจใช้ประโยชน์โจมตีจากอนาคตได้!

ดูเหมือนจำเป็นต้องทำนายดูอนาคตอีกครั้งแล้ว!

‘ข้าอยากรู้ว่าสถานการณ์หลังสิ้นสุดมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่จะเป็นอย่างไร’

หานเจวี๋ยสอบถาม ข้าอยากดูฉากจบโดยตรง คงได้กระมัง!

ความจริงแล้วเขาทราบดียิ่ง ทุกครั้งที่เขาทำนายอนาคต ล้วนจะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในอนาคต

แต่ก็ไม่ได้แปลว่าการทำนายอนาคตจะไม่มีประโยชน์ อย่างน้อยก็ทำให้เขาหลีกเลี่ยงปัญหายุ่งยากได้มากมาย

ยกตัวอย่างเช่นจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย หากไม่ใช่เพราะทำนายดูเหตุการณ์อยู่หลายครั้ง เขาคงร่างดับวิญญาณมลายไปตั้งแต่ล้านกว่าปีก่อนแล้ว

[จำเป็นต้องหักอายุขัยห้าแสนล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

มากขนาดนี้เชียวหรือ!

ดำเนินการต่อ!

หานเจวี๋ยเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ

อาการวิงเวียนตาลายที่ห่างหายไปนานปรากฏขึ้นอีกครั้ง หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น จิตรับรู้กลับมาแจ่มชัดอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาเขาคือห้วงอวกาศเวิ้งว้างดังเดิม หมอกม่วงแผ่ปกคลุม ปราณฟ้าบุพกาลสายแล้วสายเล่าดูราวกับกระแสไฟฟ้าที่แล่นสลับกันไปมาอยู่ในห้วงอวกาศเวิ้งว้าง

รกร้างและวังเวง!

ทุกอย่างกลายเป็นความว่างเปล่า!

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เกิดอะไรขึ้นกับการทำนายครั้งนี้

ห้วงมิติพลันหดตัว ชวนให้ลายตา

ทันใดนั้นเขามองเห็นเงาร่างหนึ่ง

เงาร่างนั้นทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ศิลาตัวหนึ่ง เก้าอี้ศิลาตัวนี้ดูพิสดารน่าขนลุก ส่วนยอดพนักประดับกะโหลกไว้หลายหัว ในบรรดานั้นมีกะโหลกใบหนึ่งที่หานเจวี๋ยเคยเห็นมาก่อน เคยพบในอาณาเขตปฐมภพ เป็นเทพมารฟ้าบุพกาลตนหนึ่ง

หานเจวี๋ยหรี่ตามอง พบว่าเงาร่างนี่ไม่ใช่ตัวเขา

นี่คือผู้ใดกัน?

คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ศิลาสวมอาภรณ์สีม่วงปักลวดลายสีดำ ปล่อยผมสยาย กลิ่นอายอันน่าหวาดกลัวสุดขีดแผ่ออกมาจากร่าง

ใบหน้าของเขาหล่อเหลาอย่างยิ่ง เพียงแต่แววตามืดดำอำมหิต มุมปากเจือรอยยิ้มเหี้ยมโหด

คนผู้นี้เป็นใคร

หานเจวี๋ยไม่รู้จักอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง

เพียงรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูคุ้นตายิ่งนัก คล้ายกับหานทั่วและหานอวี้

ช้าก่อน!

หรือจะเป็นบุตรชายที่ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นคนนั้นของเขา

เงาร่างชุดม่วงชูสองมือขึ้น สีหน้าลุ่มหลงมัวเมา พึมพำว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของข้า ไม่มีผู้ใดสามารถขวางข้าได้อีกต่อไป ข้าคือเทพมารอนธการเพียงหนึ่งเดียว และเป็นตัวตนที่คงอยู่เพียงหนึ่งเดียว ข้าจะสรรค์สร้างทุกอย่างขึ้น ข้าคือเทพมารอนธการ ตัวตนสูงสุด!”

หานเจวี๋ยฟังแล้วพลันมีสีหน้าแปลกพิกล

เป็นบุตรชายของเขาจริงๆ

ตัวตนที่คงอยู่เพียงหนึ่งเดียวหมายความว่าอย่างไร

ไอ้ลูกทรพีคงไม่ใช่ว่าแม้แต่ผู้เฒ่าก็ถูกเจ้าสังหารด้วยกระมัง

ในเวลานี้เอง ภาพลวงตาได้พังทลายลง

จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยกลับสู่ความเป็นจริง

เขาเริ่มครุ่นคิด

หากเป็นบุตรชายคนเล็กของเขาจริงๆ เช่นนั้นภายหน้าก่อนที่เขาจะเติบใหญ่ขึ้นก็ชิงจับโยนเข้าไปในคุกสวรรค์อนธการเสียก่อน ป้องกันไม่ให้เด็กคนนี้กระทำปิตุฆาต

แต่เมื่อใคร่ครวญดูอีกที ไม่ถูกต้อง ต่อให้ตัวเขาในอนาคตสู้บุตรชายไม่ได้ แต่ก็น่าจะซ่อนตัวในอาณาเขตเต๋าได้

หรือว่าตัวเขาในอนาคตจะแกล้งตาย

หานเจวี๋ยไม่ได้ใช้ความสามารถวิวัฒนาการอีก ทุกอย่างนี้ยังอยู่ห่างไกลเกินไป เขายังไม่อาจหาข้อสรุปได้

หากว่ารูปการณ์โดยรวมไม่เปลี่ยนแปลงอีก เทพมารอนธการจะล้มล้างฟ้าบุพกาลได้สำเร็จ

อาจเป็นเพราะการมีอยู่ของอาณาเขตเต๋า ทำให้บุตรชายของเขาสามารถเติบโตได้อย่างปลอดภัยจนถึงขั้นที่เกรียงไกรไร้พ่าย

ขอเพียงบุตรชายของเขาไม่ออกจากอาณาเขตเต๋า มีความเป็นไปได้สูงที่อนาคตเมื่อครู่นี้จะเกิดขึ้นจริงๆ

‘ดังนั้น ข้าต้องพยายามฝึกบำเพ็ญ ไม่อาจหย่อนยานได้ ล้วนเป็นเทพมารอนธการเช่นกัน มีเพียงข้าเลิกฝึกบำเพ็ญเท่านั้น ถึงจะถูกเทพมารอนธการอีกตนไล่ตามทันได้’

แววตาของหานเจวี๋ยฉายแววเด็ดเดี่ยวขึ้นมา!

ต้องฝึกบำเพ็ญ!

เขาหลับตาลง เข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญ

….

ภายในห้วงมิติมืดมัว ปราณฟ้าบุพกาลเข้มข้นราวกับหมอกหนาที่ปกคลุม

อี๋เทียนและอีกเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ริมทะเลสาบผืนหนึ่ง ผิวทะเลสาบขุ่นมัว ปรากฏระลอกคลื่นอย่างต่อเนื่อง

อี๋เทียนมองเงาร่างที่อยู่ข้างกาย เอ่ยถาม “บรรพชนมาร เหตุใดเขายังไม่ออกมาอีก”

หากเทียบกับในอดีตแล้วบรรพชนมารเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน มีรูปร่างเหมือนมนุษย์แล้ว สวมเสื้อคลุมสีดำตัวยาว แขนเสื้อและชายเสื้อขาดรุ่งริ่ง ราวกับมีเพลิงทมิฬแผดเผาอยู่

ใบหน้าเขาซีดขาว เครื่องหน้าคมสันชัดเจน หว่างคิ้วมีลวดลายแนวดิ่งสามแถว เรือนผมสีดำยาวเท่าความยาวเสื้อ ตัวคนดูราวกับฝันร้าย น่าหวาดหวั่นขวัญผวา

………………………………………………………………