เล่ม 1 ตอนที่ 198-1 ล่าสัตว์ เจ้าขนสีขาวตัวน้อย

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 198-1 ล่าสัตว์ เจ้าขนสีขาวตัวน้อย

“เจ้าระดูมาใช่หรือไม่” สวินหลันถาม

“ระดูมาคลื่นไส้ได้ด้วยหรือ” จีหว่านถามกลับ

สวินหลันยิ้มน้อยๆ “เปล่า ข้าเพียงเห็นเจ้าสีหน้าย่ำแย่จึงถามเช่นนี้”

จีหว่านตอบว่า “เพิ่งมาเมื่อไม่กี่วันก่อน หากไม่ใช่ว่าเคยมาแล้ว ข้าก็คงคิดว่าตนเองตั้งครรภ์เหมือนกัน”

สวินหลันรินน้ำชาถ้วยหนึ่งส่งให้นาง “ดื่มชาสักหน่อย”

หลีซื่อเดินมาได้ครึ่งทางก็ปวดท้องไปเข้าห้องส้วม เมื่อออกมาสีหน้าพลันดำทะมึน

สาวใช้เก็บกระโปรงที่ผลัดเปลี่ยนจนเรียบร้อยแล้วปลอบโยนเสียงเบา “เอ้อร์หน่ายนายไม่ต้องกังวล ท่านยังอายุน้อย แล้วก็ไม่เหมือนซื่อจื่อหน่ายนายที่ตั้งครรภ์ไม่ได้ ท่านยังตั้งครรภ์ได้อีก”

“ผู้ใดบอกว่าข้าไม่ได้ตั้งครรภ์ บางคนตั้งครรภ์อยู่ก็มีระดูมาได้เหมือนกัน! ตอนข้าตั้งท้องลูกคนโต ก็มีสองวันที่มีเลือดมาเลยไม่ใช่หรือ” หลีซื่อไม่เชื่อเด็ดขาว่าตนเองไม่ได้ตั้งครรภ์

สาวใช้ก้มหน้า “เอ้อร์หน่ายนายกล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ

ภายในตำหนักข้างของตำหนักผิงชุน เฉียวเวยได้พบพระสนมที่เล่ากันในพงศาวดาร ผู้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานคือกุ้ยเฟยผู้งามสะพรั่งในวัยกลางคนสวมอาภรณ์สีเหลืองทอง กุ้ยเฟยคนเป็นดั่งเช่นนาม กิริยาท่าทางสง่างามสูงศักดิ์ แม้เรือนร่างจะอวบอิ่มไปบ้าง แต่ใบหน้าเล็กจ้อย เครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มดั่งสลักเสลาอย่างประณีต งดงามยิ่งนัก

ตอนงานฉลองวันเกิดรัชทายาทก่อนหน้านี้ เฉียวเวยเคยมีวาสนาพบหน้ากับกุ้ยเฟยหนหนึ่ง แต่จนปัญญาด้วยยามนั้นมีคนกินถูกก้อนหินน้อยในอาหาร นางมีคดี ‘ร้ายแรง’ ติดตัว นางจึงไม่มีเวลาว่างสนใจสตรีทั้งหลายด้านหลังม่าน ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่รู้จักกุ้ยเฟย แต่กุ้ยเฟยกลับเห็นนางแวบแรกก็จำได้ เหตุผลไม่ใช่อื่นใด เพราะพระนางรักษากิริยาอันสำรวมสง่างามมาตลอด ไม่สะท้านแม้ต้องลมยินเสียงอสนีบาต แต่วันนั้นกลับถูกเฉียวเวยทำให้พ่นน้ำชาออกมาสองหน เรียกได้ว่าภาพลักษณ์เสียหายย่อยยับจึงขุ่นเคืองอยู่พักหนึ่ง

กุ้ยเฟยมองสำรวจเฉียวเวยจากหัวจรดเท้า อาจเพราะเพิ่งแต่งงานใหม่ นางจึงสวมกระโปรงคาดอกสีขาวทับด้วยเสื้อแพรโปร่งสีแดงสดใส เปิดเผยวับๆ แวมๆ แต่ก็งามไปอีกแบบหนึ่ง เอวบางอ้อนแอ้นไม่ถึงสองมือกอบ ผูกสายคาดเอวสีแดงหนึ่งเส้น ชายผ้าทิ้งตัวคล้ายกิ่งหลิว เรือนร่างสูงระหง รูปร่างเลิศล้ำ ไม่ดูสำรวมอ่อนโยนเหมือนคุณหนูสูงศักดิ์ตระกูลขุนนาง แต่กลับงดงามสดใสและเป็นอิสระเสรี ท่าทางห้าวหาญชวนให้คนหลงใหล

นางกวักมือ “เดินเข้ามาซิ”

“เพคะ พระสนม”

เฉียวเวยเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว เมื่อคิดได้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าตนผู้นี้ก็คือพระสนมผู้เป็นที่โปรดปรานในยุคโบราณ ในใจเฉียวเวยก็ตื่นเต้นอยู่ครู่หนึ่ง

ความตื่นเต้นเช่นนี้ทำให้กุ้ยเฟยรู้สึกเปรมปรีดิ์ยิ่งนัก กุ้ยเฟยอมยิ้มมองใบหน้าของนาง จากนั้นก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ แล้วตรัสขึ้นว่า “งามเหมือนกับมารดาของเจ้าจริงๆ”

ทุกคนล้วนเอ่ยเช่นนี้ เฉียวเวยจึงตอบว่า “พระสนมเคยพบมารดาของหม่อมฉันหรือเพคะ”

กุ้ยเฟยพยักหน้า “มารดาของเจ้าเคยเข้ามารักษาอาการป่วยให้อดีตฮองเฮา ข้ามีวาสนาพบหน้ากับนางอยู่หลายหน ข้าเคยพบเจ้าด้วย”

“เอ๋” เฉียวเวยประหลาดใจ

กุ้ยเฟยตรัสว่า “ตอนนั้นเจ้ายังเล็กมาก แม่ของเจ้าอุ้มเจ้าเข้าวังมาคารวะฮองเฮา ฮองเฮาเห็นเจ้าหน้าตางดงามนักจึงกำหนดคู่ครองดีๆ ให้เจ้า”

เฉียวเวยยิ้มละไม

กุ้ยเฟยตรัสด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ไม่แปลกที่เจ้าจะรู้วิชาแพทย์ หนก่อนจำไม่ได้ว่าเจ้าคือแม่นางตระกูลเฉียว ข้าได้ยินว่าบิดาของเจ้ากลับมาแล้ว ร่างกายหายดีแล้วหรือ”

เฉียวเวยกราบทูลอย่างนอบน้อม “ทูลพระสนม ท่านพ่อหายดีทุกประการแล้วเพคะ ขอบพระทัยพระสนมที่ใส่พระทัย”

กุ้ยเฟยพยักหน้า ในสายตาของกุ้ยเฟย ท่วงท่ายามคำนับของเฉียวเวยเห็นข้อให้ติติงอยู่บ้าง แต่ได้ยินว่าเฉียวเวยเคยระเหเร่ร่อนอยู่ข้างนอกนานถึงหกปี เมื่อเป็นเช่นนั้นก็คงจะรักษาท่าทางสูงสง่าไว้ได้ยาก จากนั้นกุ้ยเฟยก็หันไปมองเด็กน้อยหน้าตาดั่งหยกสลักทั้งสองคนข้างกายเฉียวเวย ดวงตาเป็นประกายอย่างห้ามตนเองไม่ได้ “บุตรของอัครมหาเสนาบดีหรือ”

เฉียวเวยตบหัวไหล่ของเจ้าตัวจ้อยทั้งสองคนเบาๆ “รีบคารวะพระสนมเร็วเข้า”

เจ้าซาลาเปาน้อยประสานกำปั้นน้อยๆ อย่างงดงาม คารวะอย่างจริงจัง เสียงนุ่มนิ่มเอ่ยขึ้นว่า “คารวะพระสนม”

กุ้ยเฟยได้ยินคำนี้ก็ชอบใจ ยิ้มแย้มเรียกทั้งสองคนให้เข้ามาหา ทันทีที่นางเห็นใบหน้าของจิ่งอวิ๋นก็ตกตะลึง เด็กคนนี้คล้ายยิ่นอ๋องอยู่บ้าง แต่เมื่อนึกทบทวนให้ละเอียดก็ไม่แปลก ฝ่าบาทกับองค์หญิงเจาหมิงแต่เดิมก็หน้าตาคล้ายกัน หน้าตาของยิ่นอ๋องละม้ายคล้ายกับฝ่าบาท หน้าตาของหมิงซิวก็ได้มาจากเจาหมิง เด็กคนนี้คงจะหน้าเหมือนหมิงซิวเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นหากจะพูดว่าผู้ใดเหมือนผู้ใดแล้วล่ะก็ เจ้าเด็กเข้าใจยากสามคนนั้นมากกว่าที่เหมือนยิ่นอ๋องตัวน้อยราวกับแกะ

กุ้ยเฟยจับมือทั้งสองคนอย่างสนิทสนมแล้วตรัสถามเสียงอ่อนโยน “มีนามว่าอะไรกันบ้าง”

จิ่งอวิ๋น “จิ่งอวิ๋นพ่ะย่ะค่ะ”

วั่งซู “วั่งซูเพคะ”

กุ้ยเฟยตริตรองแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พยัคฆ์คำรามวาโยครวญคลั่ง มังกรผงาดครองหมู่เมฆมลคล จันทราเทพเยื้องย่างนำ มฤคินทร์ปักษีกรีดกรายตาม นามดี นามดี!”

วั่งซูมองลูกกวาดข้างพระหัตถ์ของกุ้ยเฟยตาวาว กุ้ยเฟยยิ้มหวาน จากนั้นส่งถาดมาให้ด้วยพระองค์เอง “กินเถิด”

วั่งซูกลืนน้ำลาย หันกลับไปมองมารดาของตน เมื่อเห็นมารดาพยักหน้าจึงคว้าหมับ แต่ก็ยังไม่ลืมเอ่ยขอบคุณ “พระสนมกุ้ยเฟยท่านเป็นคนดียิ่งนัก มิน่าหน้าตาจึงงดงามถึงเพียงนี้!”

กุ้ยเฟยกลั้นไม่ไหวสรวลออกมา ก่อนจะบีบใบหน้าน้อยของนางเบาๆ “ปากเล็กจ้อยแต่หวานถึงเพียงนี้ กินลูกกวาดเข้าไปมากใช่หรือไม่

วั่งซูตอบอย่างใสซื่อ “ใช่เพคะๆ! ข้ากินลูกกวาดทุกวันเลย!”

คนทั้งห้องหัวเราะครืน

เด็กทั้งสองคนได้ลูกกวาดเพิ่มอีกเล็กน้อย

กุ้ยเฟยชี้ไปยังสตรีวัยกลางคนผู้สวมอาภรณ์ชาววังสีน้ำเงินดูหรูหรากับสตรีวัยกลางคนสวมอาภรณ์ชาววังสีม่วงที่อยู่ด้านข้าง แล้วแนะนำว่า “นี่คือฮุ่ยเจาอี๋ เสด็จแม่ของเจาอ๋อง ส่วนคนนี้คือพระชายาของเจาอ๋อง เจ้าเคยพบหน้าแล้ว”

เฉียวเวยพาลูกทั้งสองเข้าไปคารวะพวกนางสองคน

ฮุ่ยเจาอี๋ดูเป็นคนซื่อ ได้ยินมาว่าเริ่มแรกนางไม่ค่อยรู้ว่าจะแย่งชิงความโปรดปรานเช่นไร แม้ให้กำเนิดเจาอ๋องออกมาก็ยังไม่อาจสร้างโอกาสพลิกชะตาชีวิตตนเองได้ ผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ก็ยังเป็นพระสนมขั้นผินคนหนึ่ง แม้แต่เจาอ๋องก็ไม่ค่อยได้รับความโปรดปรานนัก แต่ความโชคร้ายใช่ว่าจะเป็นเรื่องร้าย การไม่ได้รับความโปรดปรานก็มีข้อดีของการไม่ได้รับความโปรดปราน อย่างแรกคือมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยไร้อันตรายมาจนถึงบัดนี้ ดูฮองเฮาในตอนนั้นสิกลับลาโลกไปตั้งแต่ในช่วงวัยอันงดงาม

เจาหวังเฟยกับเฉียวเวยเคยกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย แต่เฉียวเวยเป็นภรรยาของอัครมหาเสนาบดีแล้ว ในความเป็นจริงอำนาจของอัครมหาเสนาบดีมีมากกว่าของเจาอ๋อง เจาหวังเฟยยังสำเหนียกในฐานะของตนอยู่บ้างจึงแย้มยิ้มเริ่มบทสนทนากับเฉียวเวย คล้ายกับว่าเรื่องราวอันไม่น่าพอใจเมื่อหนนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงภาพหลอนของตัวเฉียวเวยเองเท่านั้น

“ไม่ได้พบซื่อจื่อน้อยมานานแล้ว” เฉียวเวยทัก

เจาหวังเฟยขยับมือชี้ “อยู่ตรงนั้นแหนะ”

เฉียวเวยมองตามไปก็เห็นซื่อจื่อน้อยอยู่ในห้องฝั่งตรงข้าม ซื่อจื่อน้อยโตกว่าจิ่งอวิ่นกับวั่งซูหนึ่งปี แต่รูปร่างพอๆ กัน เขากำลังกอดของห่อใหญ่ที่ไม่ทราบว่าคือสิ่งใด หาเรื่องชวนคุยกับตัวน้อยทั้งสามที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น

ตัวน้อยทั้งสามเป็นคุณหนูตัวน้อยจากจวนยิ่นอ๋อง เส้นผมของพวกนางงอกออกมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังเหมือนเด็กชายตัวน้อยสามคนอยู่ ทว่าเครื่องหน้าทั้งห้างดงามจนเหลือจะพรรณนา ดูแล้วชวนให้คนชมชอบยิ่งนัก

ซื่อจื่อน้อยก็ชมชอบเช่นกัน เขาขนสมบัติลับของตนเองออกมาทั้งหมด อยากจะแบ่งปันกับสหายตัวน้อยทั้งหลาย

แต่จนปัญญาที่ตัวน้อยทั้งสามเย็นชาอย่างยิ่ง นอกจากกินอาหารก็กินอาหาร ไม่สนใจซื่อจื่อน้อยสักนิดเดียว

จิ่งอวิ๋นมองเห็นสหายที่ไม่ได้พบกันมานานจึงจูงมือน้องสาว วิ่งตึงตังเข้าไปในห้อง

จิ่งอวิ๋นอยากมาหาซื่อจื่อน้อย แต่ผู้ใดจะคิดว่าพอเข้าห้องมาก็ถูกตัวน้อยทั้งสามเห็นเข้าอย่างจัง

คนที่หนึ่งเงยหน้า คนที่สองเงยหน้า คนที่สามก็เงยหน้าขึ้นมาตาม

หลังจากนั้นตัวน้อยทั้งสามก็เหมือนลูกแมวเห็นหนูตัวจ้อย ทิ้งขนมในมือพุ่งเข้ามาหาจิ่งอวิ๋น!

ไม่นานพวกจีซวงก็มาถึง สิ่งที่ทำให้คนประหลาดใจก็คือจีหว่านก็อยู่ด้วยกัน

พวกเขาคารวะพระสนมทั้งหลาย กุ้ยเฟยถามถึงครรภ์ของจีซวง จีซวงยิ้มตอบว่า “หกเดือนแล้วเพคะ”

หลังจากนั้นก็มีภริยาขุนนางอีกหลายคนเข้ามา รวมถึงหลีซื่อจากจวนกั๋วกงก็เข้ามาคารวะพระสนมทั้งหลายด้วย

จวนแม่ทัพตัวหลัวก็มีคนมาเช่นกัน แต่กลับไม่ใช่ตัวหลัวหมิงจู นางไม่ชอบเรื่องครึกครื้นเช่นนี้ แล้วก็ไม่ใช่ตัวหลัวจื่ออวี้ เพราะนางกำลังทะเลาะมึนตึงกับยิ่นอ๋อง แล้วยิ่งไม่ใช่คุณหนูรองผู้ล้มหมอนนอนเสื่อตลอดปีผู้นั้น แต่เป็นตัวหลัวฮูหยินภรรยาเอกคนแรกของแม่ทัพ

ตระกูลตัวหลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม กุ้ยเฟยจึงต้อนรับตัวหลัวฮูหยินอย่างเกรงใจเป็นพิเศษ จูงตัวหลัวฮูหยินมานั่งด้านข้างตนเอง บังเอิญว่าที่นั่งนี้มองเห็นตัวน้อยทั้งสามที่อยู่หลังฉากกั้นหยกพอดิบพอดี ตัวหลัวฮูหยินรู้สึกปวดตาขึ้นมาในบัดดล!

เฉียวเวยนั่งได้ประเดี๋ยวเดียว ภรรยาของเหล่าขุนนางจำนวนไม่น้อยก็ทยอยเดินทางมาถึง แต่กลับไม่เห็นยอดหญิงงาม ถามหัวหน้าชุยถึงทราบว่าชนเผ่าเกาเย่ว์ถูกกลุ่มคนลึกลับลอบโจมตี ยอดหญิงงามกับพี่รองจึงรีบเร่งเดินทางกลับเผ่าเกาเย่ว์ตั้งแต่ยามกลางคืนแล้ว

เฉียวเวยยิ้มจางๆ แปดส่วนคงจะเป็นฝีมือของยิ่นอ๋องอีกแล้ว เพื่อสลัดยอดหญิงงามผู้นี้ให้หลุด บุรุษใจทมิฬหินชาติคนนั้นทำได้ทุกสิ่งจริงๆ