ข่าวลือที่ฮ่องเต้มีรับสั่งให้พระชายาไท่จื่อเป็นผู้ประกอบพิธีบวงสรวงใหญ่ขอฝนคราวนี้เป็นประหนึ่งฟ้าผ่าสะเทือนเลื่อนลั่นลงกลางเมือง
เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในความโกลาหล
ณ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ชายชราผู้มีเครายาวสีขาวโพลนร้องไห้ฟูมฟาย “จะให้สตรีมาประกอบพิธีบวงสรวงใหญ่แทนราชวงศ์ ต้าโจวคงถึงคราวสิ้นแล้ว…”
ครั้นประโยคนี้ลั่นออกไป คนรอบที่ยังมีสติสมประดีรีบเอามืออุดปากชายชราผู้นั้น “ลุง เมามากแล้วล่ะ!”
ชายชราอายุมากแล้ว แต่ร่างกายยังเปี่ยมล้นไปด้วยกำลัง เขาปัดมือคนผู้นั้น สะอึกด้วยฤทธิ์สุราหนหนึ่งก่อนจะกล่าว “ข้าไม่ได้เมา…พระชายาปีศาจเข้ามาอยู่ในแดนมนุษย์ ต้าโจวถึงคราวสิ้นแล้ว!”
องครักษ์จิ่นหลินกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น หัวหน้าคนกลุ่มนั้นเอ่ยเสียงเย็น “พาตัวไป!”
ชายชราที่กำลังชี้โบ๊ชี้เบ๊ตะลึงงัน ก่อนจะรีบกอดหัวหน้าองครักษ์จิ่นหลิน พลางหลั่งน้ำตา “ข้าดื่มมากเกินไป…”
องครักษ์จิ่นหลินแสดงสีหน้ารังเกียจ “เอาตัวไป!”
ในชั่วพริบตา ชายชราก็ถูกลากตัวออกไปจากโรงเตี๊ยมแห่งนั้น องครักษ์จิ่นหลินที่ยังยืนอยู่ด้านในสอดส่ายสายตาผ่านแขกในร้านทีละคน หัวเราะเย็นเยียบหนหนึ่งแล้วจึงหันหลังเดินจากไป
ในโรงเตี๊ยมเงียบสงัดไร้สรรพเสียงชั่วอึดใจ ผ่านไปครู่หนึ่งกว่านักดื่มทั้งหลายจะตื่นจากความฝัน ต่างก็ยกมือปิดปากตัวเองก่อนจะรีบแยกย้าย
การทำเช่นนี้เกินเรื่องไปมากทีเดียว แม้โอรสสวรรค์จะเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม เขาไม่มีทางส่งหน่วยองครักษ์จิ่นหลินมาจัดการกับชาวบ้านเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย แต่การร้องแรกแหกกระเชอว่าต้าโจวใกล้สิ้นแล้วก็เป็นการหาเหาใส่หัว ต่อให้ผู้ปกครองมีคุณธรรมสูงส่งเพียงใดก็คงไม่มีจักรพรรดิองค์ใดทนได้
ชายชราถูกลากตัวไปขังอยู่ในคุก ฤทธิ์สุราพลันมลายหายสิ้น เขารี่เข้ามาเกาะลูกกรงอ้อนวอน “ปล่อยข้าออกไปเถิด เพราะข้าเมาถึงได้พูดจาเยิ่นเย้อไร้สาระ ปล่อยข้าออกไปเถิด…”
เสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากด้านหลังของเขา “เก็บแรงไว้เถิดลุง ในที่นี้มีใครบ้างที่สติดีแล้วพูดจาไร้สาระ”
ชายชราชะงักแล้วจึงหันหลังกลับไป ด้านหลังเขามีทั้งใบหน้าเฉยเมยเลื่อนลอย และใบหน้าระทดระทมตรมตรอม นอกจากนี้เขายังพบสหายเก่าที่เคยร่ำสุรามาด้วยกันอีกคนหนึ่ง
“น้องหวัง ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
สหายเก่าส่งยิ้มขมขื่น “ก็เมาน่ะสิ”
ชายชราท้อใจ เดินไปหย่อนก้นนั่งลงข้างสหายยามยาก แววตาเหม่อจ้องพร้อมรำพึงรำพัน “เมื่อไหร่จะได้ออกไปหนอ หมูสองตัวที่บ้านรอให้ข้ากลับไปให้อาหารอยู่หนา”
อีกคนถอนหายใจ “รอไปก่อนเถอะ หากมีคนมามากขึ้นเรื่อยๆ ที่ไม่พอเมื่อไหร่เดี๋ยวก็คงปล่อยพวกเราที่มาก่อนออกไปเอง”
ไม่อาจทราบได้ว่าประโยคนั้นกระตุ้นอารมณ์โกรธของชายชราได้อย่างไร จู่ๆ เขาก็ร้องตะโกนดังลั่น “พระชายาไท่จื่อเป็นปีศาจ…”
หลายมือพุ่งไปปิดปากชายชรา
สหายเก่าก่นด่า “หากเจ้าเสียสติก็อย่าทำให้พวกข้าต้องซวยไปด้วย ตอนนี้เจ้ายังเชื่ออีกหรือว่าองครักษ์จิ่นหลินไม่กล้าฆ่าคน!”
ด้านนอกห้องขัง องครักษ์จิ่นหลินนายหนึ่งถอนหายใจ “ช่วงนี้มีคนพูดจาไร้สาระมากมายเต็มไปหมด จะให้มานั่งไล่จับเรื่อยๆ เช่นนี้คงไม่ได้”
องครักษ์จิ่นหลินอีกนายหัวเราะพลางกล่าว “เจ้าจะกังวลใจไปไย ตอนนี้คงต้องจับๆ ไปก่อน หลังจากพิธีบวงสรวงใหญ่ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร คาดว่าก็ต้องปล่อยคนเหล่านี้ออกไปอยู่ดี”
“เจ้ากำลังจะบอกว่าพระชายาไท่จื่อจะขอฝนสำเร็จอย่างนั้นหรือ”
“เรื่องนั้นใครจะล่วงรู้ได้ อีกอย่างนั่นก็มิใช่เรื่องที่พวกเราจะเข้าไปยุ่ง ไปเถอะ ไปจับคนพวกนั้นต่อดีกว่า ในเมื่อคนพวกนั้นอยากจะออกก็ต้องแลกกับบางสิ่ง ข้าได้ยินว่าตาลุงที่เพิ่งจับไปเมื่อครู่มีหมูอยู่ที่บ้านอีกสองตัว”
“หมูสองตัวเจ้าก็เอารึ”
“ต่อให้ขามันลีบก็มีเนื้ออยู่ดี”
องครักษ์จิ่นหลินทั้งสองหัวเราะพลางเดินจากไป
ในขณะนั้น เรื่องพิธีบวงสรวงใหญ่ยังเป็นที่กล่าวขานไปทั่วทั้งเมือง แม้แต่เรื่องที่หน่วยองครักษ์จิ่นหลินจับคนไปขังคุกก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน
เพียงชั่วพริบตาก็ถึงวันที่สิบแปดเดือนสี่
ผืนฟ้ายามเช้าขาวโพลน แสงอาทิตย์เต็มดวงเจิดจ้าอาบฟ้า ไร้เมฆ
นี่เป็นวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงแดดแผดเผาน้ำในแม่น้ำจนแห้งเหือดอย่างมิต้องสงสัย
ในวันนี้ คนในเมืองหลวงต่างก็ตื่นแต่รุ่งสาง เดินตามกองขบวนสักการะฟ้าดินไปที่ชานเมือง
บนภูเขาชุ่ยหลัวในเขตชานเมืองมีราชนิเวศน์สำหรับองค์จักรพรรดิ ฝั่งทางตะวันออกมีแท่นบูชาสำหรับทำพิธีขอฝน กองขบวนยาวเหยียดออกเดินทางจากวังหลวงมุ่งหน้าสู่ภูเขาชุ่ยหลัว
ณ ที่นั่น กรมพิธีการทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูเอี่ยมอ่องเหมือนใหม่ สิ่งจำเป็นทั้งสิ้นจัดเตรียมไว้พร้อม รอเพียงการมาถึงของพระชายาไท่จื่อเท่านั้น
เจียงซื่อเดินอยู่หน้าสุดของขบวน เหล่าราษฎรเดินตามมาได้ถึงแค่ตีนเขาก็ถูกองครักษ์ห้ามไว้ จึงทำได้เพียงมองกองขบวนคืบเคลื่อนขึ้นไปตามทาง
เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ เจียงซื่อเปลี่ยนไปเดินเท้า กว่าจะถึงยอดเขา ลมหายใจของนางก็ถี่กระชั้น
“ถึงแก่เวลาอันเป็นสิริมงคลแล้ว ขอเชิญพระชายาไท่จื่อเสด็จขึ้นไปยังบนแท่นบูชาเพื่อเริ่มพิธีขอฝนพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นเสียงแหลมสูงของขุนนาง เจียงซื่อค่อยๆ ก้าวขึ้นไปบนแท่นในขณะที่เสียงบรรเลงเคร่งขรึมดังก้อง
เด็กชายเด็กหญิงในอาภรณ์ดำมะเมื่อมยืนเป็นแถวเรียงรายพร้อมขนปักษาในมือ สิริรวมทั้งสิ้นหกสิบสี่คน คนเหล่านั้นขับร้องและแสดงระบำแปดแถวล้อมรอบแท่นบูชาสูง
‘สุกสกาวดั่งทางช้างเผือก เปล่งแสงระยิบดั่งธาราบนฟ้า
กษัตริย์โอดครวญ…วิบัติอันใดหนอ เหตุใดสวรรค์จึงลงทัณฑ์
ภัยพิบัติกันดารอาหารเกิดขึ้นไม่เสื่อมคลาย ผู้คนต่างอดอยากและล้มตาย
โปรดเมตตาสักคราเถิดสวรรค์
แผ่นดินแห้งแล้ง เหล่าแมลงปกคลุมทั่วปฐพี
จากแท่นบูชาบรรพบุรุษ จวบจนแท่นบูชาสวรรค์
ตัวข้านี้สักการะบูชาฟ้าสวรรค์ไม่ว่างเว้น กราบไหว้เหล่าเทพทวยในทุกภพ
ไยเล่าไม่มีเทพองค์ใดสดับคำร้องทูล สวรรค์ไยจึงละทิ้งเหล่าประชาชนไปเสีย
เภทภัยที่เกิดแก่หมู่มวลของประชาชาติ โปรดเกิดแก่ตัวข้าคนเดียวเถิดหนา
ภัยแห้งแล้งที่ไม่อาจหลบเลี่ยงนี้ เฉกเช่นตัวข้ามิอาจหนีจากความจริง
ตัวข้าประหวั่นพรั่นพรึงต่อเภทภัยที่โหมกระหน่ำประหนึ่งพายุร้าย
ในหมู่มวลชาวต้าโจว หมดสิ้นแล้วคนหัวดำหัวขาว
เหล่าเทพทวยแห่งสวรรค์ จะไม่เคลื่อนความอดอยากไปจากแผ่นดินข้าแล้วจริงหรือ
ข้าแหงนหน้าแลดูสวรรค์นภากาศ พบเห็นดวงดาราส่องสว่างพร่างพราว
บรรดาเหล่าขุนนางและวิญญูชน ต่างถวายอำนาจแด่เบื้องบน
มัจจุราชย่างกรายท่ามกลางเหล่าประชา แต่อย่าให้มันพรากประชาชนของสวรรค์ไป
ขอโปรดอย่าได้เห็นแก่ข้าเพียงผู้เดียว แต่เมตตาพวกเราทั้งปวงให้รอดพ้น
ข้าแหงนหน้าแลดูสวรรค์นภากาศ
นานเท่าใดความอุปถัมภ์จึงจะไหลล้นอีกสักครา’
……
เจียงซื่อคุกเข่าลงบนแท่นสูง ท่วงท่าแช่มช้าจริงจัง หลับตาตั้งจิตอธิษฐาน
บรรยากาศในขณะนั้นขังขึงเอาการ นอกจากบรรดาเด็กๆ ที่เต้นระบำด้วยความขะมักเขม้น คนอื่นๆ กลับมีความคิดเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย พระชายาไท่จื่อจะขอฝนได้สำเร็จจริงๆ หรือ
ซึ่งคำตอบมักออกมาในรูปประโยคปฏิเสธ
ฝนไม่ตกมานานหลายเดือนแล้ว แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าบนภูเขาชุ่ยหลัวก็เหี่ยวแห้งไร้ชีวิตไม่ต่างจากผู้คนที่ได้รับผลกระทบภัยแล้ง
ท้องฟ้าเปลือยเปล่าไร้เมฆ และแสงแดดแผดเผาเช่นนี้ จะมีฝนเทลงมาได้อย่างไร
ช่วงท้ายของการแสดงระบำแปดแถว เสียงขับประสานของเด็กชายและเด็กหญิงค่อยๆ แผ่วลง
‘ข้าแหงนหน้าแลดูสวรรค์นภากาศ พบเห็นดวงดาราส่องสว่างพร่างพราว
บรรดาเหล่าขุนนางและวิญญูชน ต่างถวายอำนาจแด่เบื้องบน
มัจจุราชย่างกรายท่ามกลางเหล่าประชา แต่อย่าให้มันพรากประชาชนของสวรรค์ไป
ขอโปรดอย่าได้เห็นแก่ข้าเพียงผู้เดียว แต่เมตตาพวกเราทั้งปวงให้รอดพ้น
ข้าแหงนหน้าแลดูสวรรค์นภากาศ
นานเท่าใดความอุปถัมภ์จึงจะไหลล้นอีกสักครา’
ณ เชิงเขาชุ่ยหลัว หัวเข่านับไม่ถ้วนคุกลงแทบพื้น กล่าวร้องสุดเสียง “เทพเฮ่าเทียน โปรดส่งฝนลงมาเล้าโลมพวกข้าด้วยเถิด!”
ภูเขาชุ่ยหลัวมิใช่ภูเขาสูง ฉะนั้นผู้คนที่อยู่ข้างล่างสามารถมองเห็นเงาร่างของคนบนแท่นบูชารวมไปถึงการแสดงระบำอันน่าครั่นคร้ามได้อย่างชัดเจน
แต่ทว่าแสงแดดร้อนแรงกัดกินจิตใจของผู้คนให้ห่อเหี่ยวสิ้นหวัง
ทันใดนั้น มีคนหนึ่งลุกพรวดขึ้น เขาสะอึกสะอื้นไปพร้อมกับกล่าวเสียดเย้ย “ฝนไม่ตกหรอก ภัยแล้งในเมืองหลวงทวีความรุนแรงยาวนานเช่นนี้เป็นเพราะสวรรค์กำลังส่งสัญญาณว่ามีวิญญาณชั่วร้าย หากไม่ปลดพระชายาแล้วฝนจะตกได้อย่างไร”
ชาวเมืองที่ตีนเขาเริ่มลุกฮือ รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน
แต่ในตอนนั้น เหล่าทหารที่มีอาวุธครบมือกลับทำได้เพียงยืนนิ่ง ไม่อาจห้ามปรามหรือสนทนากับประชาชนที่กำลังลุกฮือ
การปิดปากประชาชนเป็นงานยากลำบากสำหรับชนชั้นผู้ปกครองมาโดยตลอด
ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย จู่ๆ ก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
“เสียงอะไรน่ะ”
สรรพสิ่งนิ่งงันไม่เคลื่อนไหว
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอีกครั้งประหนึ่งฉุดคนให้หลุดจากภวังค์
“ได้ยินรึเปล่า เสียงฟ้าร้อง นั่นคือเสียงฟ้าร้อง!”
ไม่นาน สายฟ้าฟาดสว่างวาบลงเป็นทางยาว เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วโปรยปรายลงมา
บนแท่นบูชาสูง เจียงซื่อค่อยๆ ลืมตาพร้อมรอยยิ้มเปื้อนหน้า
ฝนเทมาพร้อมสายลมกระโชกแรงพัดชุดพิธีการสีนิลบนร่างของหญิงสาวกระพือไหวอย่างบ้าคลั่งราวกับยืนอยู่ในแดนเทพ
ผู้คนนับร้อยพันด้านล่างแท่นบูชาและเชิงเขาคุกเข่าลง เงยหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าปีติยินดี โห่ร้องด้วยความดีใจ “ฝนตกแล้ว ฝนตกแล้ว!”
เจียงซื่อประสานสายตากับอวี้จิ่นที่ยืนอยู่ที่บันไดหยกพลางส่งยิ้มเล็กน้อย
ก็ใช่น่ะสิ ฝนตกแล้ว