เล่ม 1 ตอนที่ 199-1 เสน่ห์แห่งผืนป่า ไล่จับเพียงพอนเมฆา

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 199-1 เสน่ห์แห่งผืนป่า ไล่จับเพียงพอนเมฆา

หลังเข้าสู่เหมันต์ สัตว์ป่าทั้งหลายที่เที่ยวเตร่อยู่ในป่าก็ลดน้อยลง แต่สนามล่าสัตว์ของวังหลวงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ ถึงอย่างไรสัตว์ที่ให้ล่าก็ถูกเลี้ยงไว้ ต้องการเท่าใดก็มีเท่านั้น

สัตว์ป่าในสนามล่าสัตว์ดุร้ายไม่เท่ากับสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าอย่างแท้จริง แต่สุดท้ายก็ยังมีความเป็นสัตว์ป่าอยู่ บรรดาแม่ทัพทหารย่อมไม่หวาดกลัว ทว่าสำหรับทายาทจักรพรรดิผู้ไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่เช่นรัชทายาทย่อมอันตรายอยู่บ้างแล้ว

รัชทายาทนั่งอยู่บนหลังม้าอย่างเบื่อหน่าย ขันทีผู้คอยจูงม้าไม่กล้าเดินเข้าไปลึก เพียงวนอยู่รอบนอก เห็นองค์ชายไม่มีความตั้งใจจะง้างคันศรสักนิด ขันทีจึงกล่อมว่า “องค์ชาย ดีเลวท่านก็ล่ากระต่ายสักตัวสองตัวดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

รัชทายาทแค่นเสียงหยัน

ขันทีถอนหายใจ ผู้อื่นเข้าสนามล่าสัตว์ล้วนกระตือรือร้นราวกับฉีดเลือดไก่มา แต่นายท่านของตนเข้าสนามล่าสัตว์กลับง่วงเหงาหาวนอน กระต่ายไม่กี่ตัวเมื่อหนก่อน ล้วนเป็นพวกเขาไล่ต้อนจนไปชนกับม้าของรัชทายาท วันนี้แปดส่วนก็คงจะต้องใช้ลูกไม้เก่าอีกหนแล้ว

ขณะที่กำลังถอนหายใจ ทันใดนั้นขันทีก็รู้สึกว่ามีประกายแสงเย็นเฉียบพุ่งผ่านเหนือศีรษะ ใกล้จนแทบจะบาดถูกหนังศีรษะของเขา ขนอ่อนของเขาลุกซู่อย่างฉับพลัน หัวใจบีบรัด สองแขนกอดร่างกาย หลังจากนั้นจึงได้ยินเสียง ฉึก! คล้ายกับว่าลูกศรปักลงบนต้นไม้

เขาเบิกตาโตหันไปดู บนต้นอู๋ถงฝั่งตรงข้ามมีลูกศรดอกหนึ่งปักอยู่จริงๆ ครึ่งหนึ่งของตัวลูกศรจมลงในลำต้น ขนหางสีเหลืองสดสั่นไหวขึ้นลงเพราะเรี่ยวแรงมหาศาล ใบต้นไม้ร่วงกราว วิหคที่ยังมิทันอพยพตื่นตระหนกบินหนี กระพือปีกพรึ่บพรั่บส่งเสียงร้องอย่างหวาดผวา

ขันทีกุมหัวใจที่หวาดกลัวจนแทบจะระเบิด มารดามันสิ นี่ศรของผู้ใดกัน ยิงเฉี่ยวศีรษะเขาเช่นนี้ ไม่กลัวยิงถูกเขาตายบ้างหรือไร

เขาหันกลับไปดูว่ารัชทายาทบาดเจ็บหรือไม่ ก็บังเอิญเห็นรัชทายาทกำลังเก็บคันศรพอดี สีหน้าของเขาเคร่งขรึมอยู่พริบตาหนึ่ง แตกต่างจากอาการเอ้อระเหยลอยชายตามปกติราวฟ้ากับดิน ขันทีคิดว่าตนตาลายจึงขยี้ตา เมื่อหันไปมองรัชทายาทอีกหน รัชทายาทก็กลายเป็นหนุ่มน้อยผู้ซึมกะทือผู้นั้นอีกแล้ว

ขันทีไม่กล้าถามแม้แต่คำเดียว ตอนเขาจูงม้าเดินผ่านต้นไม้ต้นนั้น เขาลองดึงศรเล่มนั้นออกมา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดึงไม่ขยับ

เพียงพอนเมฆาหลบพ้นศรหนึ่งดอกก็มุดลึกเข้าไปในพุ่มไม้ราวกับเหาะ

วิ่งทะยานไประยะหนึ่ง ศรอีกดอกก็ยิงมาหามันอีก!

เพียงพอนเมฆากระโดดตัวลอย ลูกศรปักลงบนพื้นจุดที่มันอยู่ก่อนหน้านี้

ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!

ศรสามดอกลอยมาพร้อมกัน เพียงพอนเมฆากระโจนลงด้านล่าง กลิ้งตัวในพุ่มไม้หลายตลบ ลูกศรยิงพลาดเป้า ปักลงบนต้นไม้ทั้งหมด

เจาอ๋องตบฝ่ามือลงบนอานม้า แล้วดึงลูกศรอีกดอกหนึ่งออกมาจากกระบอกลูกศร เล็งไปยังเพียงพอนเมฆาที่วิ่งราวกับบิน แล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะยิงไม่ถูกเจ้า!”

กล้ากระโจนใส่เขา ทำให้เขาขายหน้าต่อหน้าผู้คน เขาจะต้องสังหารเพียงพอนตัวนี้ให้จงได้!

ทักษะการยิงศรของเจาอ๋องเป็นที่เลื่องลือในหมู่องค์ชาย ยามอดีตฮ่องเต้ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ เจาอ๋องยังเป็นเพียงเด็กที่ยังไม่โต แต่เขาแสดงพรสวรรค์อันไม่ธรรมดาในด้านการยิงธนูออกมาแล้ว อดีตฮ่องเต้พระราชทานคันศรเล่มใหญ่ที่พระองค์เคยใช้บนสนามรบให้แก่เขา มันก็คือคันศรเล่มที่อยู่ในมือเล่มนี้เอง

เขาอาศัยคันศรเล่มนี้สังหารเหยื่อมาแล้วไม่รู้เท่าไร เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ จึงไม่กล้าทำตัวโดดเด่นอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ ยามนี้ฮ่องเต้เอนเอียงมาโปรดปรานซื่อจื่อน้อย จนพอพระทัยเขาเพิ่มขึ้นสองสามส่วนไปด้วย เขาจึงไม่จำเป็นต้องแอบซ่อนเช่นก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว

เขาวางลูกศรพาดสาย กำลังจะยิงออกไปอย่างเต็มกำลัง ทว่าทางตะวันออกเฉียงใต้กลับมีศรอีกดอกหนึ่งยิงมาตัดหน้าเขา!

แน่นอนว่าศรดอกนั้นก็ยิงไม่ถูกเพียงพอนเมฆาเช่นเดียวกัน แต่ยิงขนเพียงพอนของมันขาดร่วงลงมาหลายเส้น

เจาอ๋องโมโหขึ้นมาแล้ว เขายิงตั้งนานขนเพียงพอนสักเส้นก็ยิงไม่โดน ผู้ใดน่าชังเช่นนี้

“โอ๊ะ เสด็จพี่ก็อยู่ด้วย” ยิ่นอ๋องนั่งอยู่บนหลังม้า บังคับม้าเยาะย่างเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน

เจาอ๋องแค่นเสียงหยัน “ข้าอยู่หรือไม่เจ้าจะไม่รู้เชียวหรือ เจ้าจงใจแย่งเหยื่อของข้าชัดๆ!”

ยิ่นอ๋องตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “คำนี้เสด็จพี่พูดผิดแล้ว เสด็จพ่อกล่าวว่า เหยื่อตัวนี้ ผู้ใดล่าได้ก็เป็นของผู้นั้น เสด็จพี่ยังล่ามันมาไว้ในมือไม่ได้ จะบอกว่าข้าแย่งของเสด็จพี่ได้เช่นไร”

เจาอ๋องถลึงตามองยิ่นอ๋อง ความจริงในฐานะองค์ชายที่ไม่ได้รับความโปรดปรานเหมือนกัน พวกเขาสองคนล้วนเข้าอกเข้าใจความเจ็บปวดของกันและกันอยู่บ้าง แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ยิ่นอ๋องเคยเป็นที่โปรดปรานมาก่อน พระสนมอานเฟยมารดาบังเกิดเกล้าของเขาเคยเป็นพระสนมที่ได้รับความโปรดปรานเทียบเคียงอดีตฮองเฮา แต่น่าเสียดายนางวางยาพิษทำร้ายอดีตฮองเฮา นับตั้งแต่นั้นจึงสูญเสียความโปรดปราน จนสุดท้ายชีวิตยังสู้โอรสของสนมขั้นผินคนนี้อย่างเขาไม่ได้

แต่เขารู้ว่าน้องชายคนนี้ไม่ธรรมดาเช่นนั้นเหมือนที่เห็นภายนอก มิเช่นนั้นเขาจะมีลูกกับคุณหนูเผ่าเกาเย่ว์ตั้งสามคนโดยไม่กระโตกกระตากได้อย่างไรกัน

“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ในใจเจ้าเกลียดชังริษยาข้าอยู่”

ยิ่นอ๋องยิ้มหยัน “ข้าเกลียดชังริษยาเสด็จพี่ตั้งแต่เมื่อใด เพราะเหตุใด”

เจาอ๋องตอบอย่างลำพอง “เพราะข้ามีลูกชายแล้ว แต่เจ้ากลับมีแต่ลูกสาวสามคน เสด็จพ่อตามใจหลานชายคนโตจนแทบจะยกลอยขึ้นฟ้า แต่ไม่ชายตาแลลูกสาวของเจ้าสักนิด ริษยาล่ะสิ น้องเจ็ด”

ยิ่นอ๋องถูกขยี้แผลเข้าอย่างจัง แววตาเย็นยะเยือก ย้อนอย่างดูแคลน “นั่นแล้วอย่างไร ข้าก็ไม่เห็นว่าท่านจะได้กลายเป็นรัชทายาท”

เจาอ๋องมุมปากกระตุก “อย่ามาพูดจาส่งเดช ข้าไม่เคยมีใจคิดกบฏ”

“เหอะ” ยิ่นอ๋องยิ้มหยัน

อีกด้านหนึ่งจีหมิงซิวกับเฉียวเวยเข้ามาในป่าแล้ว

ตอนแรกจีหมิงซิวนั่งอยู่บนม้าของตนเอง หลังจากรอบด้านไม่มีคนแล้วจึงกระโดดข้ามมาบนม้าของเฉียวเวย โอบกอดเฉียวเวยจากด้านหลัง มือหนึ่งโอบเอวบางของเฉียวเวยไว้ อีกมือหนึ่งกำบังเหียนไว้แน่น หมายถึงสายบังเหียนม้าตัวนั้นของตนเอง

สายบังเหียนม้าของเฉียวเวยอยู่ในมือของนางเอง นางค้นพบว่าการขี่ม้าเหมือนจะไม่ได้ยากเท่าที่จินตนาการไว้ ดูสิ มันเชื่องทีเดียว อยากจะไปที่ใด กระตุกสายบังเหียนก็ได้แล้ว

มือของจีหมิงซิวไล้ผ่านขาของนางแผ่วเบา “รัดให้แน่นๆ”

ขาของเฉียวเวยความรู้สึกไวอย่างประหลาด เขาแตะเช่นนี้ก็เกร็งในพริบตา

จีหมิงซิวเลื่อนมือลงมายังต้นขาด้านในของนาง “แน่นเกินไปแล้ว อ้ากว้างอีกหน่อย”

ลมหายใจเขาเขาเป่ารดอยู่ริมใบหูของนาง ใบหูของเฉียวเวยราวกับถูกเปลวเพลิงแผดเผา ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงทีละนิด “ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่…”

จีหมิงซิวตอบ “สอนเจ้าขี่ม้าสิ เจ้าคิดว่าข้าคิดจะทำสิ่งใด”

ประเดี๋ยวบอกให้รัดแน่นๆ ประเดี๋ยวบอกให้อ้ากว้างๆ ชวนให้คนจินตนาการไปไกลได้ง่ายดายยิ่งรู้หรือไม่

“จับสายบังเหียนไม่ถูก จับตรงนี้” จีหมิงซิวชี้ตำแหน่งที่ถูกต้องบนสายบังเหียน

เฉียวเวยเม้มปาก ทันใดนั้นก็หันหลังกลับไป จูบบนใบหน้าของเขาหนึ่งที

จีหมิงซิวตะลึงไปชั่ววูบ

จากนั้นเฉียวเวยก็จูบอีกหน หนนี้จุมพิตบนริมฝีปากของเขา

จีหมิงซิวเพิ่มแรงที่โอบเอวนาง แล้วถามเป็นนัยๆ “ระดูหมดแล้วหรือ”

เฉียวเวย “ยัง”

แล้วยังจะยั่วเขาอีก!

จีหมิงซิวกลับไปนั่งบนม้าของตนเองอย่างไม่ลังเล!

แต่เฉียวเวยกลับตวัดขาเรียวยาวข้ามมา นางคว้าตัวเขาแล้วปีนข้ามไป นั่งหันข้างอยู่ในอ้อมแขนของเขาพลางกะพริบตาใส่

จีหมิงซิวหรี่ตาลง แล้วหยิกใบหน้าของนาง “จงใจใช่หรือไม่”

เฉียวเวยพยักหน้า

จีหมิงซิวทั้งฉุนทั้งขบขัน เจ้าตัวร้ายกาจน้อย รู้ว่าเขาทำอันใดนางไม่ได้จึงตั้งอกตั้งใจยั่วเขา

จีหมิงซิวมองไปรอบด้าน เห็นว่าไม่มีคนมา เขาก็จับหลังศีรษะของนางแล้วประทับจุมพิตแผ่วเบา

จุมพิตนี้ อ่อนโยนอย่างถึงที่สุด แม้แต่สายลมยังอ่อนโยนตามไปด้วย

หัวใจของนางเต้นแรงอย่างร้ายกาจ ใบหน้าแดงก่ำ ลมหายใจก็สับสน