บทที่ 851 เข้าใจราชสำนัก

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 851 เข้าใจราชสำนัก

สีหน้าของฉู่ชูเหยียนเริ่มจริงจัง ตอนนี้นางหันมาสนใจเรื่องที่สำคัญกว่า “นอกจากจักรพรรดิแล้ว ยังมีบุคคลแปดคนที่ได้รับการยกย่องว่าผู้มียศศักดิ์สูงสุด ทุกคนเรียกพวกเขาว่าแปดอ๋อง”

“บิดาของซือคุนคู่แค้นของเจ้าก็เป็นหนึ่งในแปดอ๋องเช่นกัน ตำแหน่งของเขาคือเสนาบดีสงคราม”

นางกล่าวต่อ “แน่นอน เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก แม้ว่าแปดอ๋องจะมีฐานะทางสังคมสูง แต่ตำแหน่งเหล่านี้ไม่มีอำนาจที่แท้จริง พวกเขาไม่ได้จัดการเรื่องราชการใด ๆ นี่เป็นเหตุผลที่แม้ว่าเจ้าจะทำให้ตระกูลซือขุ่นเคือง แต่สิ่งต่าง ๆ ก็ไม่เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิด”

ซูอันหัวเราะ “ซือคุนผู้นั้นวางตัวราวกับตนเองอยู่เหนือทุกคนเสมอจนข้าหลงคิดไปว่าตระกูลของเขาแข็งแกร่งที่สุด แต่ท้ายที่สุดมันก็เป็นแค่เสือกระดาษ”

“ข้าพูดเพราะข้าไม่ต้องการให้เจ้ารู้สึกกดดันมากเกินไป” ฉู่ชูเหยียนกล่าวเตือน “อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแปดอ๋องจะเป็นเพียงตำแหน่งที่ถูกเขียนขึ้น แต่สถานะของพวกเขาไม่สามารถปฏิเสธได้ พรรคพวกและลูกหลานของพวกเขาหลายคนมีตำแหน่งสูงกระจัดกระจายไปทั่วราชสำนัก เจ้าจะประมาทไม่ได้…”

ซูอันหัวเราะ “ข้าทำให้จักรพรรดิไม่พอใจแล้ว เพิ่มตระกูลซือเข้ามาอีกตระกูลมันย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”

ฉู่ชูเหยียนถอนหายใจ “เจ้าเป็นคนมองโลกในแง่ดีจริง ๆ”

เขาพูดถูก ณ เวลานี้ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือจักรพรรดิ ตระกูลซือไม่มีนัยสำคัญจะเทียบเคียงได้

นางเริ่มอธิบายอำนาจต่าง ๆ ในเมืองหลวง “ผู้บัญชาการทัพด่านหน้าและแม่ทัพใหญ่รักษามาตุภูมิเป็นตาของข้า…ส่วนราชันลมปราณดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพอาชาขาว เดิมทีตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งเล็ก ๆ โดยไม่มีอำนาจทางทหารที่แท้จริง แต่ราชันลมปราณเป็นกรณีที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เขามีเหล่าแม่ทัพที่อยู่ใต้บังคับบัญชามากพอสมควร”

ซูอันพยักหน้า “ข้าเข้าใจ ใครก็ตามที่กล้าแหย่หนวดมังกรอย่างจักรพรรดิได้ คงไม่ใช่คนธรรมดา”

เขาเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับราชันลมปราณมากมายในเมืองจันทร์กระจ่าง มองเผิน ๆ เหมือนว่าราชันลมปราณกำลังต่อสู้กับหลานชายของเขาซึ่งเป็นองค์รัชทายาทเพื่อครองบัลลังก์ แต่ในความเป็นจริงการต่อสู้ของเขามักจะมุ่งตรงต่อจักรพรรดิ ไม่มีทางที่เขาจะเป็นคนอ่อนแอไปได้

“แม่ทัพรถศึกหลิวกวงเป็นพระบิดาของจักรพรรดินี เช่นเดียวกับพี่ชายของหลิวเหย่า”

ซูอันคิดว่าตำแหน่งนี้เทียบเท่ากับเหล่าพระญาติของจักรพรรดิ จักรพรรดิน่าจะวางเขาไว้ในตำแหน่งที่สูงเช่นนี้เพื่อกดดันราชันลมปราณ

แม้ว่าหลิวเหย่าจะมีระดับการบ่มเพาะถึงระดับเก้า แต่ดูเหมือนว่าเขาจะอารมณ์เสียง่ายและหยาบคายเกินไป ซูอันสงสัยว่าพี่ชายของเขามีความสามารถมากกว่าหรือไม่?

“แล้วอ๋องเหลียงดำรงตำแหน่งอะไร?” ซูอันกล่าวด้วยความสงสัย ไม่มีทางที่อ๋องเหลียงจะเป็นเพียงอ๋องเฉย ๆ โดยไม่มีตำแหน่งทางการ

ฉู่ชูเหยียนตอบว่า “อ๋องเหลียงดำรงตำแหน่งแม่ทัพแนวหลัง”

“แม่ทัพแนวหลัง?” ซูอันงุนงงง ตำแหน่งนี้ฟังดูค่อนข้างซับซ้อน

ฉู่ชูเหยียนอธิบายว่า “ถ้าจะให้ข้าอธิบายก็คือ กองทัพทั้งหก อันได้แก่ แนวหน้า ฝ่ายป้องกัน ฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวา ทัพเคลื่อนที่ไว และทัพซุ่มโจมตี แนวหน้านำกองทัพเข้าสู่สนามรบ ในขณะที่ฝ่ายป้องกันมีหน้าที่ปกป้องค่ายทหาร กองทัพรักษาการณ์ซ้ายและขวาขึ้นตรงต่อคำสั่งจากแม่ทัพทหารฝ่ายซ้ายและแม่ทัพฝ่ายขวา พวกเขารับรองความปลอดภัยของพระราชวัง ทัพม้าและทัพจรยุทธ์เป็นกองกำลังตอบโต้ไวของพระราชวังใช้เพื่อจัดการกับเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นกะทันหัน กองทัพทั้งหกนี้ประกอบขึ้นเป็นกำลังทหารของวังหลวง

“นอกจากกองกำลังเหล่านี้แล้ว ยังมีกองทัพอีกสี่กองทัพในเมืองหลวงที่ดูแลประตูเมืองและความปลอดภัยสาธารณะ แต่ละกองทัพมีหน้าที่รับผิดชอบในแนวหน้า แนวหลัง แนวซ้าย และแนวขวา ซึ่งอ๋องเหลียงเป็นแม่ทัพแนวหลัง

ซูอันพยักหน้า ในที่สุดเขาก็พอเข้าใจคร่าว ๆ ถึงโครงสร้างทางการทหารในวังหลวง

ฉู่ชูเหยียนกล่าวต่อว่า “แก่นแท้ของอำนาจในราชสำนักอยู่กับขุนนางที่ปรึกษาหลวง ขุนนางที่ปรึกษากลาง และสภาราชสำนัก ขุนนางที่ปรึกษาหลวงประกอบด้วยขุนนางคนสนิทซึ่งหารือเรื่องสำคัญร่วมกับจักรพรรดิ พวกเขามีหน้าที่ร่างพระราชกฤษฎีกา สภาราชสำนักมีหน้าที่ตรวจสอบและอนุมัติพระราชกฤษฎีกา ส่วนขุนนางที่ปรึกษากลางมีหน้าที่จัดการกับกิจการต่าง ๆ ของราชสำนักโดยเฉพาะ…”

ซูอันถามคำถามเป็นครั้งคราว และในไม่ช้าก็เข้าใจการทำงานคร่าว ๆ ของราชสำนัก

แม้ว่าหน่วยงานหลักทั้งสามนี้มีชื่อเสียงเท่าเทียมกัน แต่ขุนนางที่ปรึกษากลางและสภาราชสำนักมีอำนาจมากกว่าขุนนางที่ปรึกษาหลวง แต่ไม่มีอะไรแน่นอน หากจักรพรรดิอ่อนแอกว่าหรือไร้ความสามารถ ขุนนางที่ปรึกษากลางและสภาราชสำนักอาจสูญเสียอำนาจ และขุนนางที่ปรึกษาหลวงจะกลายเป็นแกนหลักของราชสำนักแทน

อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิองค์ปัจจุบันเป็นผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังที่สุดในโลก ดังนั้นเขาจึงสามารถยกระดับสถานะของขุนนางที่ปรึกษากลางและเหล่าเสนาบดีขึ้นมาได้

“ขุนนางที่ปรึกษาหลวงเพ่ยหมิงและเพ่ยเจิ้ง ต่างก็มาจากตระกูลเพ่ยซึ่งเป็นตระกูลของเหมียนหมาน” ฉู่ชูเหยียนกล่าวเสริมในทันใด

“ทำไมตระกูลของพวกเจ้าถึงแข็งแกร่งมากขนาดนี้?” ดวงตาของซูอันเบิกกว้าง ตระกูลของเหล่าสาว ๆ ที่มีสัมพันธ์กับเขานั้นยิ่งใหญ่ซะจนชายหนุ่มรู้สึกว่าชีวิตต่อให้ไม่ต้องทำอะไรก็สบายไปทั้งชาติ

ฉู่ชูเหยียนขมวดคิ้ว “สถานะของเหมียนหมานในตระกูลของนางค่อนข้าง…ไม่ได้สวยหรูอย่างที่เจ้าคิด”

“เกิดอะไรขึ้นในตระกูลของนาง?” ซูอันถามอย่างรวดเร็ว “จริงสิ ก่อนหน้านี้ที่นางรีบจากไป นางเปรยกับข้าว่าแม่ของนางดูเหมือนจะมีปัญหา”

ฉู่ชูเหยียนลังเลก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าคิดว่ามันคงจะดีกว่า หากรอให้เหมียนหมานเป็นคนบอกเจ้าด้วยนางตัวเอง มันไม่ดีเท่าไรถ้าข้าเป็นคนพูด”

ซูอันสับสนเมื่อเห็นความลังเลของนาง มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่…?

ฉู่ชูเหยียนกลับมาที่หัวข้อหลัก “นอกจากสามฝ่ายนี้แล้ว ยังมีเสนาบดีอีกเก้าคน พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบด้านการเมืองและเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ เช่น สถาบันการศึกษา เป็นต้น”

ซูอันรู้ว่าสถาบันจันทร์กระจ่างมีอาจารย์ที่โดดเด่นและชุบเลี้ยงบุคคลที่มีความสามารถจำนวนมาก อาณาจักรมีสถานศึกษาเช่นนี้มากมายทั่วไปทุกแคว้น และเมื่อทั้งหมดทั้งมวลรวมกันมันจึงกลายเป็นพลังที่น่าเกรงขามอย่างแท้จริง

“นี่เป็นข้อมูลสรุปคร่าว ๆ เกี่ยวกับตำแหน่งในราชสำนัก เจ้ายังไม่เคยเจอพวกเขาดังนั้นเจ้าคงจะนึกหน้าไม่ออก ถ้าเรามีโอกาสข้าจะแนะนำพวกเขาให้เจ้ารู้จักทีละคน” ฉู่ชูเหยียนรู้สึกหดหู่ใจ นางไม่แน่ใจว่าอาซูจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่หลังจากที่ได้พบกับจักรพรรดิ

ซูอันไตร่ตรองสิ่งที่เขาได้ยินแล้วกล่าวว่า “คำถามสุดท้าย จากคนเหล่านี้ทั้งหมดที่เจ้าพูดถึงทั้งหมด ใครบ้างที่อยู่ฝ่ายของราชันลมปราณและใครที่ยังคงภักดีต่อองค์จักรพรรดิ? ใครบ้างที่ยังคงความเป็นกลาง?”

ตระกูลฉู่ถูกทั้งสองฝ่ายกระหนาบข้างในเมืองจันทร์กระจ่าง การแย่งชิงอำนาจนี้ระหว่างทั้งสองฝ่ายจะรุนแรงขึ้นในเมืองหลวงอย่างแน่นอน

ซูอันจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ก่อน เพื่อให้เขามีความมั่นใจเมื่อเขาเผชิญหน้ากับจักรพรรดิในภายหลัง