บทที่ 801 ของถูกขโมยไปแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 801 ของถูกขโมยไปแล้ว

บทที่ 801 ของถูกขโมยไปแล้ว

แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงสัญชาตญาณของผู้หญิง

ทว่าป้าจางพบว่ามันแปลกประหลาด

นางไม่ได้รับฟังความจริงที่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงคิดได้เพียงว่ากู้ฟางสี่รู้สึกละอายใจต่อกู้เสี่ยวหวานมาหลายปี ซึ่งนั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงรู้สึกไม่สบายใจ

กู้เสี่ยวหวานยังคงมีความรู้สึกดีต่ออาหญิงคนนี้อยู่ เมื่อนึกถึงความเย็นชาที่ตนเองปฏิบัติต่อท่านอามาหลายวันนี้ นางก็รู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก

แต่นี่ไม่ใช่อาหญิงคนเดิมของนาง อีกทั้งนางไม่เคยติดต่อกับตนมากก่อน ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชา แต่กู้ฟางสี่ไม่คิดอย่างนั้น กู้เสี่ยวหวานคิดว่าบางทีนางอาจจะรู้สึกเศร้ามากที่เห็นนางไม่สนใจตนเอง

เมื่อนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ จากนี้ไป กู้เสี่ยวหวานจะไม่ปฏิบัติตัวเช่นนั้นกับผู้เป็นอาอีกต่อไป

ทุกครั้งที่นางเข้าใกล้กู้ฟางสี่โดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาย่อมเหลือบไปเห็นว่ากู้ฟางสี่ไม่มีแม้แต่เครื่องประดับบนศีรษะ นางจึงมอบปิ่นปักผมให้กับกู้ฟางสี่ แต่กลับไม่เคยเห็นกู้ฟางสี่ปักมันบนศีรษะเลย

กู้เสี่ยวหวานเกิดความฉงนสงสัย แต่การจะเอ่ยถามออกมาโดยตรงนั้นไม่ง่ายเลย เมื่อถึงเวลานั้น คนอื่นอาจจะพูดว่าของก็ให้มาแล้วจะสนใจว่าข้าใช่หรือไม่ทำไมกัน

เมื่อกู้เสี่ยวหวานไม่เอ่ยถาม กู้ฟางสี่ก็จะไม่ปริปากพูดสิ่งใด สิ่งที่กู้เสี่ยวหวานให้ไปนั้นเป็นเหมือนก้อนหินที่จมลงไปในทะเล ไร้ซึ่งข่าวคราว และไม่รู้ว่าถูกเก็บไว้หรือขายทิ้งไปแล้ว

เพียงชั่วพริบตา ดวงดาวเคลื่อนคล้อย และฤดูใบไม้ผลิก็มาถึง

กู้ฟางสี่และหลิวชิงซานยังคงอาศัยอยู่ในบ้านของกู้เสี่ยวหวานตามแผนการทั้งหมดที่พวกเขาตั้งใจ และล่วงเลยเวลามาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว

อย่างไรก็ตาม ปีใหม่นี้เลยผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว และดูเหมือนว่าหลิวชิงซานยังไม่มีท่าทีจะออกไปจากที่นี่

ต่อมาไม่นาน ธาตุแท้ของหลิวชิงซานก็ถูกเปิดเผย

เขาต้องดื่มพร้อมกับอาหารทุกมื้อ และมักจะบ่นเมื่อในบ้านมีเหล้าน้อย

บนโต๊ะอาหารเย็น เขาเขมือบทุกอย่างลงท้องอย่างไม่เกรงใจ

ทุก ๆ วัน เขานอนจนกว่าตะวันจะขึ้น และลุกไปกินข้าวกลางวันเมื่อถึงเวลา หลังจากหายตัวไปจนไม่เห็นเงา หลังจากนั้นก็จะกลับมาอีกทีในเวลาอาหารเย็น ดูเหมือนว่าสวนกู้จะกลายเป็นที่พักชั่วคราวของเขาไปเสียแล้ว

สีหน้าของกู้ฟางสี่นับวันยิ่งจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ และทุกครั้งที่นางเห็นกู้เสี่ยวหวาน นางจะแสดงท่าทางสำนึกผิดออกมา นางต้องการคุยกับกู้เสี่ยวหวาน แต่ก็ไม่สามารถปริปากเอ่ยอะไรออกมาได้!

กู้เสี่ยวหวานคร้านที่จะพูดกับหลิวชิงซาน เพราะตอนนี้ตนเองยุ่งวุ่นวายมาก!

ปีนี้นางวางแผนที่จะปลูกมันเทศ ดังนั้นนางจึงปล่อยให้มันเทศเติบโตและเริ่มเคลื่อนย้ายต้นกล้า หลังจากทำงานยุ่งกันมาครึ่งเดือน ต้นกล้ามันเทศทั้งหมดก็ได้รับการปลูกลงในที่ดินของนางกว่าห้าหมู่

หลังจากจัดการงานอันยุ่งวุ่นวายของนางหมดแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็ค้นพบสิ่งที่แปลกประหลาดอีกอย่าง

ปิ่นปักผมอันหนึ่งที่นางวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งในห้องหายไป

โดยปกติแล้ว กู้เสี่ยวหวานจะใช้ปิ่นปักผมที่ฉินเย่จือมอบให้เท่านั้น แต่ปิ่นปักผมของฉินเย่จือจะวางด้านซ้ายและด้านขวาของในโต๊ะเครื่องแป้งของนาง

อีกทั้งปิ่นปักผมอันนี้ก็ไม่ซ้ำใคร

ดอกอวี้หลาน ดอกเหมย ดอกไห่ถัง ดอกโบตั๋น ดอกชบา และดอกไม้เหล่านั้นก็ดูสมจริงเป็นอย่างมาก

ครั้นลองนับดูแล้ว เกรงว่าจะมีถึงเจ็ดถึงแปดอัน

กู้เสี่ยวหวานชอบมันมาก ปิ่นทั้งหมดทำขึ้นมาจากหยก แต่กู้เสี่ยวหวานชอบปิ่นปักผมไม้รูปดอกเหมยที่สุด

กู้เสี่ยวหวานไม่ทราบถึงราคาปิ่นปักผมอันนั้น ดังนั้นนางจึงคิดว่าฉินเย่จือซื้อมาจากแผงลอย แม้ว่านางจะให้ความสำคัญกับมันมาก แต่นางก็ไม่ได้ซ่อนมันไว้

ในวันธรรมดา มันถูกวางไว้ในลิ้นชักของโต๊ะเครื่องแป้งแบบง่าย ๆ อย่างไรในบ้านก็คงไม่มีผู้ใดมาเคลื่อนย้ายมัน

แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ปิ่นปักผมจะหายไปหนึ่งอัน

กู้เสี่ยวหวานจำมันได้อย่างแม่นยำ แต่ตอนนี้มันกลับหายไปแล้ว และไม่รู้ว่ามันหายไปอยู่ที่ไหน

เมื่อกู้เสี่ยวหวานไปที่ร้านจิ่นฝู นางก็บอกเรื่องนี้กับหลี่ฝาน

และขอให้หลี่ฟานช่วยหาคนผู้หนึ่งในเมือง

วันหนึ่งเสี่ยวเซิ่งจื่อมาหากู้เสี่ยวหวานพร้อมกับปิ่นปักผมสองอัน

อันหนึ่งคือปิ่นปักผมรูปดอกไห่ถังที่กู้เสี่ยวหวานทำหาย และอีกอันคือปิ่นปักผมสีเงินที่กู้เสี่ยวหวานมอบให้กับกู้ฟางสี่ในเวลานั้น

“ข้าพบสิ่งนี้ที่โรงรับจำนำ!” เสี่ยวเซิ่งจื่อบอกกู้เสี่ยวหวานเกี่ยวกับสิ่งที่หลี่ฝานพูด

นางจะต้องจับตาหลิวชิงซานมากขึ้น

เมื่อหลิวชิงซานไม่ได้รับสิ่งดี ๆ จึงไม่มีเงินอยู่ในมือ ดังนั้นเขาจึงเดินเตร่ไปตามถนน

บางครั้งไปที่บ่อนพนันเพื่อดูความสนุกเท่านั้น

หลี่ฝานไม่ยอมแพ้ นำภาพเหมือนของกู้เสี่ยวหวานที่สวมปิ่นปักผม และส่งคนไปที่โรงรับจำนำทุกแห่งในเมือง และในที่สุดก็พบกับปิ่นปักผมสองอันนี้ที่โรงรับจำนำสองแห่ง

นอกจากนี้ ตามคำอธิบายของชายคนนั้น คนที่นำปิ่นปักผมมานั้นมีใบหน้าเมืองลิง รูปร่างไม่สูง มีแววตาหยาบคาย จึงรู้ได้ทันทีว่าคนผู้นั้นคือหลิวชิงซานอย่างแน่นอน

กู้เสี่ยวหวานถือปิ่นปักผมในมืออย่างโกรธจัด และกระแทกประตูออกไป!

มีขโมยอยู่ในบ้าน ใครจะเป็นหัวขโมยคนนี้ได้นอกจากหลิวชิงซาน!

แล้วกู้ฟางสี่รู้เรื่องนี้ด้วยหรือไม่?

กู้เสี่ยวหวานเดินตรงไปที่ประตูห้องของกู้ฟางสี่ ผลักประตูเปิดออกโดยไม่เกรงใจ และเห็นกู้ฟางสี่ยกแขนเสื้อขึ้นและมองไปที่บางสิ่ง เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานเข้ามานางก็รีบปิดแขนเสื้อ และฝืนยิ้มออกมา “เสี่ยว… เสี่ยวหวาน… เจ้ามาแล้ว!”

ในใจของกู้เสี่ยวหวานรู้สึกโกรธเคืองกู้ฟางสี่ ตนเองมอบของสิ่งนี้ให้อาของนางด้วยความตั้งใจ แต่นางกลับเอาไปให้สามีของนางไปจำนำ

“ท่านอา ถ้าท่านไม่มีเงิน ท่านอาก็บอกข้าสิ!” กู้เสี่ยวหวานโยนปิ่นปักผมเงินลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง

กู้ฟางสี่จ้องมองที่ปิ่นปักผมสีเงินบนโต๊ะอย่างว่างเปล่า

“เสี่ยวหวาน… ข้า…”

กู้ฟางสี่ไม่สามารถเอ่ยเอื้อนสิ่งใดออกมาได้ ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

กู้เสี่ยวหวานมอบให้นาง แต่หลิวชิงซานกลับแย่งชิงมันไปอย่างรวดเร็ว

นางไม่คาดคิดว่ากู้เสี่ยวหวานจะเอาสิ่งนี้กลับคืนมาได้ ตอนนี้เมื่อนางเห็นปิ่นปักผมสีเงินอีกครั้ง กู้ฟางสี่ก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา

นางคร่ำครวญ แต่ไม่กล้าเอ่ยคำใดสักคำ

แค่ร้องไห้เงียบ ๆ ราวกับเด็กได้รับบาดเจ็บหนัก

เมื่อเห็นนางเป็นแบบนี้ กู้เสี่ยวหวานก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่เพื่อประโยชน์ของทุกคน นางจำยอมพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังออกมา “ท่านอา ท่านอามาอยู่กับข้า ข้าก็ยินดีต้อนรับเพราะท่านเป็นอาของข้า แต่เมื่อท่านอยู่ที่นี่ ท่านก็ต้องทำตามกฎของครอบครัวข้า ห้ามเข้าหรือออกจากห้องของใครโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ!”