ภาค 4 ตอนที่ 102 ทางเลือกของตน

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ในจวนกั๋วกงราตรีเงียบสงบ ในลานมีเสียงหัวเราะของบ่าวหญิงหญิงรับใช้ดังขึ้นเป็นระยะ

เฉิงกั๋วกงสวมชุดอยู่บ้านธรรมดาพักผ่อนรับลมอยู่ตรงระเบียงทางเดิน นายหญิงอวี้โบกพัดนั่งอยู่เป็นเพื่อนด้านข้าง คุยเล่นหัวเราะกับสาวใช้หญิงรับใช้หลายคน

“ที่นี่ร้อนกว่าทางนั้นของพวกเรามาก” นางเอ่ยขึ้น

“ก้อนน้ำแข็งเตรียมแล้วไหม?” เฉิงกั๋วกงเอ่ยถาม

สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายล้วนยิ้ม

“เตรียมตามคำสั่งท่านกั๋วกงแล้วเจ้าค่ะ” พวกนางเอ่ย

“ข้าแค่พูดไปอย่างนั้น ออดอ้อนสักหน่อยไหม ท่านก็ถือเป็นเรื่องจริงจัง” นายหญิงอวี้โบกพัดยิ้มบอก

ถ้อยคำรักระหว่างสามีภรรยาเช่นนี้ต่อหน้าคนก็เอ่ยออกมา เฉิงกั๋วกงเพียงยิ้มทีหนึ่ง ส่วนสาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายเห็นจนคุ้นชินไม่ถือเป็นสาระ

ในลานบรรยากาศผ่อนคลายสบายใจ

“ท่านชายกลับมาแล้ว”

ด้านนอกเสียงแจ้งลอยมา ตามติดด้วยเงาร่างร่างหนึ่งปรากฏที่ประตูเรือน

“พ่อ แม่ ข้ากลับมาแล้ว” จูจั้นเอ่ย เสียงหงุดหงิดอยู่บ้าง คนก็ไม่เดินเข้าใกล้ ไม่รอสามีภรรยาเฉิงกั๋วกงถามก็หมุนตัว “ข้าไปพักแล้ว”

“ไปหาภรรยาเจ้ามาหรือ?” นายหญิงอวี้เอ่ยถาม

จูจั้นไม่พูดจาคล้ายไม่ได้ยิน

“จั้นเอ๋อร์ เจ้ารอสักประเดี๋ยว ข้ามีเรื่องถามเจ้า” เฉิงกั๋วกงเอ่ยขึ้น

จูจั้นหยุดเท้า

หญิงรับใช้สาวใช้ก้มศีรษะล้วนถอยออกไป ในเรือนเหลือเพียงพวกเขาครอบครัวสามคน

“มา มา มานี่หน่อย อย่ายืนอยู่ในเงามืด” นายหญิงอวี้เอ่ย “ไม่เช่นนั้นข้ามองไม่ชัดว่าเจ้าถูกตีเป็นอย่างไรแล้ว”

พูดจบก็หัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมา

จูจั้นเดินเข้ามาสีหน้ายิ่งไม่น่าดู

“ดูเลย ดูเลย” เขาเอ่ย ยืนอยู่ตรงหน้านายหญิงอวี้

เสื้อผ้าของเขายับเยินอยู่บ้าง บนหน้าก็มีจ้ำเขียว

นายหญิงอวี้ยิ่งหัวเราะลั่น

“โอ้ ถูกต่อยหน้าเสียด้วย” นางเอ่ย ยื่นมือจิ้มหน้าจูจั้น “นี่ก็ไปพบคุณหนูจวินไม่ได้แล้วสิ ขายหน้าเกินไปแล้วจริงๆ”

จูจั้นสูดลมเย็นดังซี๊ดร้องเรียกบิดา

“ท่านดูแม่ข้า” เขาเอ่ยบ่น

เฉิงกั๋วกงหัวเราะนายหญิงอวี้แล้ว

“อย่าแกล้งเขาเลย” เขาเอ่ยแล้วมองจูจั้น

ยังไม่ทันเอ่ยปาก จูจั้นก็พูดก่อน

“พ่อ ท่านไม่ต้องถามแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นเช่นนี้ นี่คืออุบายของหวงเฉิง แล้วก็คือฝ่าบาทต้องการหยั่งเชิงท่าน” เขาเอ่ย “จะดูว่าประชุมเช้าพรุ่งนี้ท่านจะโต้ตอบอย่างไร”

เฉิงกั๋วกงร้องอ้อ

“ถ้าเช่นนั้น…” เขาเอ่ยอีกครั้ง

“ที่ลู่อวิ๋นฉีเจ้าสุนัขตัวนี้เฝ้าวังไหวอ๋องครั้งนี้กลับไม่ใช่เล่นงานท่าน” จูจั้นอ้าปากเอ่ยก่อนอีกครั้ง “เขาเล่นงานคุณหนูจวิน”

“คุณหนูจวิน..” เฉิงกั๋วกงเอ่ยขึ้นมา

“คุณหนูจวินเคยรักษาโรคให้ไหวอ๋อง ตอนนั้นพนันไว้ สร้างชื่อที่เมืองหลวงได้ก็เพราะเรื่องนี้ ลู่อวิ๋นฉีต้องการใช้ไหวอ๋องเป็นแพไปประณามวิชาแพทย์ของคุณหนูจวิน ไม่แน่ท้ายที่สุดยังจะโยนเรื่องปีศาจรังควานใส่หัวนางด้วย” จูจั้นแค่นเสียงเหอะพูดออกมารวดเดียว

เฉิงกั๋วกงร้องอ้อทีหนึ่ง

“พ่อ ท่านไม่ต้องยุ่ง ท่านกับผู้ช่วยหารือกันเรียบร้อยว่าทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นเถอะ” จูจั้นโบกมือเอ่ย “รอไหวอ๋องไปถึงสุสานหลวงแล้ว พวกเราก็รักษาเขาหายได้เหมือนกัน”

เฉิงกั๋วกงขานอ้อทีหนึ่ง

“ได้” เขาเอ่ยแล้วไม่เอ่ยอะไรอีก ยิ้มพลางพยักหน้า “เจ้าไปเถอะ”

จูจั้นขานรับหมุนตัวไป เมื่อหมุนตัวไปแล้วบนหน้าก็ไม่มีความผ่อนคลายสบายใจอย่างก่อนหน้านี้แล้ว สีหน้าเคร่งขรึมก้าวยาวจากไป

นายหญิงอวี้มองแผ่นหลังของเขา ส่ายศีรษะจิ๊ปากสองที

“ด้านหนึ่งเป็นคุณหนูจวิน ด้านหนึ่งเป็นบิดา เลือกยากนักสินะ” นางเอ่ยขึ้นมา

เฉิงกั๋วกงยิ้มนั่งลงไม่เอ่ยวาจา

“ท่านคิดอย่างไร?” นายหญิงอวี้นั่งลงชิดกับเขา ชนหัวไหล่เขานิดหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “ฮ่องเต้พระองค์นี้ก็จริงๆ เชียว คนไม่อยู่แล้ว เขายังสนใจอะไรอีก? เอาเด็กน้อยคนหนึ่งมาทรมาน”

วัวสันหลังหวะ

สี่คำนี้แล่นผ่านในใจสองสามีภรรยาพร้อมกัน แต่แน่นอนใครก็ไม่มีทางเอ่ยออกมา

“ในเกมการเมืองการชิงพระราชอำนาจ มีเด็กไม่เด็กอะไรที่ไหนเล่า ล้วนเหมือนกัน” เฉิงกั๋วกงเอ่ยเสียงอ่อนโยน

นายหญิงอวี้เงียบงันไปครู่หนึ่ง สะบัดพัดลุกขึ้น

“ข้าไปนอนก่อนแล้ว ท่านค่อยๆ คิดเถอะ ตอนประชุมเช้าอย่ารบกวนข้า” นางเอ่ยบอก

เฉิงกั๋วกงอมยิ้มพยักหน้า

“หลับให้สบาย” เขาเอ่ย

นายหญิงอวี้จากไป ในเรือนเหลือเพียงเฉิงกั๋วกงคนเดียว นั่งอยู่บนเก้าอี้รับลมอยู่เป็นเพื่อนแสงดาราพร่างพราวบนผืนฟ้าเงียบๆ

……………………………………….

ที่เมืองหลวงเห็นแสงดาวไม่เท่าในท้องทุ่ง เมืองหลวงรุ่งเรืองเกินไป โคมไฟบนพื้นสว่างกว่าดวงดาวบนฟ้า

สายตาของคุณหนูจวินภายใต้แสงดาว ท่ามกลางแสงโคมไม่หวั่นไหวเนิ่นนาน

“เฮ้ย”

เสียงจูจั้นดังขึ้น ตามติดมาด้วยเสียงแผ่นกระเบื้องขยับ คนก็เดินเข้ามา

“ริมหน้าต่างไม่พอให้เจ้านั่งรึ ยังวิ่งมาบนหลังคาอีก” เขาเอ่ย “เจ้าผู้หญิงคนนี้ทำไมชอบปีนขึ้นปีนลงอยู่เสมอ”

คุณหนูจวินหัวเราะ ยื่นมือชี้

“คำนี้ของท่าน คนผู้หนึ่งที่อยู่ที่นั่นตอนยังเล็กก็มักพูดกับข้าเหมือนกัน” นางเอ่ย

คำอะไร? ใคร?

จูจั้นมองตามที่นางชี้ไป เห็นเพียงครึ่งเมืองหลวงประหนึ่งแดนเซียน อาคารบ้านเรือนเรียงรายเป็นระเบียบ ใครจะรู้ว่าสถานที่ที่นางชี้คือที่ไหน?

พูดถ้อยคำประหลาดไร้ที่มาอยู่เสมอ จูจั้นไม่สนใจนางอีก นั่งลง

ระหว่างทั้งสองคนเงียบงันครู่หนึ่ง

“ระหว่างทางไปสุสานหลวง รบกวนเจ้าดูแลไหวอ๋องสักหน่อย” จูจั้นพลันเอ่ย “ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว”

ไปสุสานหลวง

คุณหนูจวินขานอืมตอบ

“ได้” นางเอ่ย

ระหว่างทั้งสองเงียบงันอีกครั้ง

“นี่ เจ้าโกรธสินะ?” จูจั้นเอ่ยเสียงขรึม

“ข้ามีเวลาโกรธที่ไหน” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย มองเขาทีหนึ่ง ราตรีมืดหม่น เห็นเพียงดวงตาสุกใสของจูจั้น “หากข้าโกรธ ถ้าเช่นนั้นก็คงโกรธตายไปนานแล้ว”

พ่อแม่ถูกทำร้าย พี่น้องถูกกักขัง สำหรับคนผู้หนึ่งแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าโมโหที่สุดในใต้หล้าแล้ว นอกจากเรื่องนี้ เรื่องอื่นใดล้วนรับได้แล้ว มีสิ่งใดน่าโมโห

“ที่จริงข้าก็ไม่ร้ายกาจปานนั้น” จูจั้นพลันเอ่ยอีกหน

คุณหนูจวินพลันหัวเราะแล้ว

“ในที่สุดท่านก็ยอมรับจุดนี้แล้วรึ? น่ายินดี น่ายินดี” นางเอ่ย

จูจั้นสบถคำหนึ่ง

“ข้าเพียงถ่อมตัวนิดหนึ่งเท่านั้น เจ้าอย่าคิดเป็นจริงเชียว” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า

“ก็แค่เสือลงที่ราบถูกสุนัขรังแกเท่านั้น” จูจั้นเอ่ย “วังไหวอ๋องข้าไม่มีหนทางพาเจ้าเข้าไป หากเจ้าจะโกรธก็สมควร”

“ข้าโกรธแต่ไม่ใช่โกรธท่าน ไม่ใช่ท่านไม่ให้ข้าเข้าไปเสียหน่อย” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้นมา “ท่านคนนี้ทำไมเลอะเลือนแล้วเล่า? วิ่งมาเอ่ยคำพูดประหลาดเหล่านี้กับข้า”

พูดพลางก็ขยับเข้ามาด้านนี้มองจูจั้น อาศัยแสงดาวมองดวงหน้ามัวของเขา

“อ้อ ที่แท้ท่านถูกคนตีมา” นางยิ้ม “มาหาข้า พูดจาน้อยเนื้อต่ำใจกับข้า ต้องการให้ปลอบรึ”

พูดพลางยื่นมือไปลูบศีรษะจูจั้น

“ข้าดูแผลซิ…”

จูจั้นกระโดดลุกขึ้น

“เจ้าจริงจังหน่อยได้หรือไม่” เขาตะโกนหงุดหงิด “ข้าพูดเรื่องจริงจังอยู่นะ”

คุณหนูจวินหุบรอยยิ้ม

“ข้าก็พูดเรื่องจริงจังอยู่นะ” นางเอ่ย “วังไหวอ๋องตอนนี้เข้าไม่ได้ก็ช่างเถิด ก็เอาตามที่ท่านว่า พวกเราพบกันระหว่างทางก็ได้ ในเมื่อพวกเขาเอาไหวอ๋องมาเป็นเครื่องมือ ถ้าเช่นนั้นไหวอ๋องย่อมไม่เป็นไร ไม่มีสิ่งใดให้กังวลใจ”

พูดแล้วก็ยิ้ม

“ก็ดี ไหวอ๋องก็ได้ออกมาเที่ยวเล่นด้วย เขาไม่ได้ออกมาตั้งนานหลายปีนักแล้ว โอกาสนี้ก็ดีทีเดียว”

จูจั้นก้มลงมามองนางครู่หนึ่ง

“ข้าไม่อาจขอให้บิดาข้าขวางเรื่องนี้ได้” เขาเอ่ย “แม้ข้าไม่รู้ว่าเพราอะไร แต่ข้ารู้ว่าไหวอ๋องสำคัญต่อเจ้า ไม่ว่าด้วยมโนธรรมหรือเหตุผล ข้าก็ควรขอบิดาข้าให้ช่วยเหลือ”

“ท่านก็พูดแล้ว นั่นคือจากมโนธรรมกับเหตุผล แต่จากสติปัญญาแล้ว ทำเช่นนี้ไม่มีความหมายอย่างสิ้นเชิง” คุณหนูจวินเอ่ย “รู้ชัดว่าเป็นกับดัก ยังจะกระโดดลงไปหรือ? นี่โง่เขลาเกินไปแล้ว”

พูดพลางก็หัวเราะอีก

“เรื่องโง่เขลาเช่นนี้ ข้าเคยทำครั้งหนึ่งแล้ว”

ถือดาบเข้าวัง ลำพังคนเดียวลอบสังหารฮ่องเต้ เวลานั้นนางไม่คิดถึงสิ่งอื่น เพียงคิดว่าเพื่อแก้แค้นให้พระบิดาพระมารดา คิดเพียงจะสังหารศัตรูตรงหน้าเดี๋ยวนี้ นี่คือความรู้สึกทั้งหมดของนาง ส่วนเรื่องนี้ทำได้หรือไม่ได้ เปลี่ยนวิธีการอื่นทำได้หรือไม่ได้ กระทั่งทำได้แล้วทำอย่างไร ทำไม่ได้แล้วทำอย่างไร นางไม่คิดทั้งสิ้น

เวลานั้น นางเพียงคิดถึงความแค้นลึกล้ำ คิดว่าต่อให้ตกตายไปด้วยกันก็จะไม่ให้คนผู้นั้นมีชีวิตอยู่

เรื่องเช่นนี้เคยทำครั้งหนึ่งก็พอแล้ว นางตายคนเดียวก็พอแล้ว

“สถานการณ์เช่นนี้มีเรื่องมากมายที่ทำได้” นางมองไปหาจูจั้น “ตัวอย่างเช่นสิ่งที่ท่านจัดการ สิ่งนี้เหมาะสมยิ่ง”

จูจั้นเงียบงันครู่หนึ่ง

“เอาเถอะ เจ้าปลอบข้าได้แล้ว” เขาเอ่ย “ขอบใจ”

คุณหนูจวินมองเขาแล้วยิ้มทีหนึ่ง

“ถ้าเช่นนั้นจะต้องมอบกายตอบแทนเป็นการขอบคุณหรือไม่เล่า?” นางเอ่ย

จูจั้นสบถทีหนึ่ง กำลังจะเอ่ยคำพูด ในลานเสียงตะโกนของเฉินชีก็ลอยมา

“คุณหนูจวิน คุณหนูจวิน ท่านชายยังไม่กลับมา หรือว่าจะวิ่งไป…” เขากดเสียงคล้ายต้องการพูดเบาๆ แต่ก็กลัวคุณหนูจวินบนหลังคาไม่ได้ยินจึงตะเบ็งเสียงอีก

“เจ้าสิวิ่งไปแล้วน่ะ” จูจั้นตวาดอย่างไม่สบอารมณ์ขัดเขา

เฉินชีตกใจสะดุ้งโหยงจากนั้นก็หัวเราะแห้งๆ

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้าพูดผิดแล้ว” เขารีบเอ่ย “ข้าจะบอกว่าท่านชายกลับมาค่ำ ต้องเตรียมอาหารมื้อดึกหรือไม่”

“ไป ไป ไป” จูจั้นเอ่ย

เฉินชียิ้มวิ่งจี๋ออกไปแล้ว

คุณหนูจวินก็ลุกขึ้นยืนด้วย

“เจ้าทำอะไร?” จูจั้นถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างระแวง

“ข้าดูทิวทัศน์ค่ำคืนพอแล้ว จะไปกินอาหารมื้อดึกแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย “ท่านจะกินด้วยกันหรือไม่?”

พูดจบไม่รอคำตอบก็เดินผ่านเขาไป

จูจั้นพรูลมหายใจอยู่ข้างหลัง มองเงาร่างของสตรีที่ยิ่งบอบบางเพราะพร่ามัวท่ามกลางความมืดของราตรี เขาเงียบงันครู่หนึ่งก็ตามไป

แสงดาวค่อยๆ หม่นหมอง แสงโคมมืดลง ราตรีถดถอย แสงอรุณเริ่มปรากฏ

บนถนนใหญ่เริ่มมีคนเคลื่อนไหว รถม้า เกี้ยวต่างๆ นานา นี่คือบรรดาขุนนางที่ร่วมประชุมใหญ่ วันนี้ไม่เหมือนวันวาน บรรดาขุนนางที่พบกันบนถนนล้วนพูดคุยสนทนากันหลายประโยค สีหน้าคล้ายตื่นเต่นแต่ก็คล้ายวิตก

ไม่นานขบวนคนม้าขบวนหนึ่งก็เดินมาบนถนนใหญ่ กายสวมอาภรณ์สีม่วงอยู่หน้าด้านหลังผู้ติดตามเกือบร้อยคน ยิ่งใหญ่อลังการแสดงอำนาจ ขุนนางผู้น้อยชุดสีครามทั้งหลายบนถนนรีบหลบทาง

นี่คือขบวนเกียรติยศของเฉิงกั๋วกง ท่ามกลางสายตามองส่งของผู้คนเฉิงกั๋วกงขี่ม้าย่างก้าวกำลังจะถึงถนนเสด็จพระราชดำเนินอย่างรวดเร็วยิ่ง

เพราะยังเช้ากว่าการประชุม ขุนนางไม่น้อยจึงหยุดที่ร้านอาหารแผงลอยริมถนนเสด็จพระราชดำเนินทานอาหาร

เฉิงกั๋วกงก็หยุดเช่นกัน เขาก็จะทานอาหารนิดหน่อยที่นี่ด้วยหรือ?

เฉิงกั๋วกงไม่ได้มองแผงอาหารเช้า แต่มองไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

“ไป” เขาพลันเอ่ย กระตุ้นม้าหันเลี้ยว

ผู้ติดตามตะลึงเล็กน้อย

“ท่านกั๋วกงจะไปที่ใดขอรับ?” เขาเอ่ยถาม

“ไปเยี่ยมคนผู้หนึ่ง” เฉิงกั๋วกงเอ่ยตอบ

…………………