บทที่ 811 ความแข็งแกร่งของผานกู่ ความเลือดร้อนของหานเจวี๋ย

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 811 ความแข็งแกร่งของผานกู่ ความเลือดร้อนของหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยถือหนังสือแห่งความโชคร้ายไว้ เริ่มลังเล

จะสาปแช่งผานกู่ให้อยู่ในสภาพไหนดี

ไม่ได้ ถ้าแช่งจนตายไปตรงๆ เป้าหมายของเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลจะไม่เป็นผล ต้องคิดวางแผนอีกครั้งแน่

คงต้องรอให้ผานกู่ต่อสู้กับเหล่าเทพมารฟ้าบุพกาล แล้วหานเจวี๋ยค่อยสาปแช่ง ให้บรรลุเป็นรูปการณ์ที่สองฝ่ายบาดเจ็บเสียหายทั้งคู่ เพื่อซื้อเวลาในการบ่มเพาะฝึกปรือตัวเอง

หานเจวี๋ยไม่จำเป็นต้องจบภัยพิบัติครั้งนี้ลงโดยตรง แค่ยืดภัยพิบัติให้ยาวนานขึ้นก็พอ

เช่นนั้นก็รอไปก่อนเถอะ รอจนกว่าพวกเขาจะสู้กัน

หานเจวี๋ยเก็บหนังสือแห่งความโชคร้าย

….

ข่าวการฟื้นคืนชีพของผานกู่แพร่มาถึงภายในมรรคาสวรรค์ ด้วยการป่าวประกาศของสำนักแห่งดวงชะตา สรรพสิ่งจึงได้ทราบเรื่องนี้เช่นกัน

ไม่น่าเชื่อเลยว่าอริยะสวรรค์เกียงไกรจะเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล อีกทั้งผานกู่ก็ต้องการมาสังหารอริยะสวรรค์เกรียงไกรด้วย

มีคนที่เลือกสนับสนุนอริยะสวรรค์เกรียงไกร และมีคนที่เลือกสนับสนุนผานกู่

แต่สรุปโดยรวมแล้ว สิ่งมีชีวิตที่เลือกสนับสนุนอริยะสวรรค์เกรียงไกรมีมากกว่า

สำหรับสรรพสิ่งแล้ว ผานกู่อยู่ห่างไกลเกินไป ตำนานเล่าขานของเขาก็สั้นยิ่ง ตรงข้ามกับอริยะสวรรค์เกรียงไกรที่ได้ยินกันจนชินหู

หากเทียบกับชาติก่อนของหานเจวี๋ย ก็เหมือนเผ่ามนุษย์ได้ทราบว่าเทพผู้สร้างโลกตนหนึ่งกำลังจะสู้กับโพธิสัตว์กวนอิม มนุษย์ส่วนใหญ่ต้องเลือกสนับสนุนฝ่ายหลังอยู่แล้ว

อริยะสวรรค์เกรียงไกรก็เคยช่วยมรรคาสวรรค์ไว้หลายต่อหลายครั้งจริงๆ อีกทั้งไม่ได้ทิ้งมลทินใดๆ ไว้ในโลกมนุษย์เลย

เขาก็นับเป็นอริยะที่ลึกลับที่สุดด้วย รู้เพียงว่ามักจะปิดด่านฝึกบำเพ็ญ

มรรคาสวรรค์ในปัจจุบันนี้นับว่ามีปัญหารุมเร้าทั้งนอกใน ด้านนอกมีผานกู่เตรียมโจมตี ภายในมีความพยาบาทที่ถูกกฎแห่งสันติสุขกดทับไว้

มหาเคราะห์ไร้ขอบเขตกำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้ง

ทางฝั่งฉินหลิงรวบรวมผู้ทรงพลังได้มากมายแล้ว ล้วนเป็นศัตรูเก่าของสำนักพุทธทั้งสิ้น หรือไม่ก็เป็นผู้บำเพ็ญที่ไม่พอใจกับวิถีของโลกนี้

พวกเขาล้วนรอคอยให้ฉินหลิงทะลวงระดับอยู่

ทันทีที่เขาสำเร็จเป็นครึ่งอริยะ นั่นคือเวลาเปิดศึกกับสำนักพุทธ

สำนักพุทธเองก็ทราบเรื่องนี้เช่นกัน แต่อับจนหนทาง พวกเขาไม่สามารถพุ่งเป้าไปที่ฉินหลิงด้วยข้อหาซ้ำซากจำเจได้ ฉินหลิงเคยถูกสะกดไปหนึ่งแสนปีแล้ว หากลงมืออีก จะขัดต่อความชอบธรรมตามหลักสันติภาพ

วันเวลาเคลื่อนคล้อยไป

ผ่านพ้นไปปีแล้วปีเล่า

ในวันนี้เอง

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น

เขาปิดด่านเป็นเวลาเก้าพันเจ็ดร้อยสามสิบสองปี

เขาหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา ด้วยทราบผ่านร่างแยกว่าเหล่าเทพมารเข้าปะทะกับผานกู่แล้ว

เทพมารฟ้าบุพกาลหลายสิบตนเปิดศึกกับผานกู่ด้วยความโกรธเกรี้ยว ห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าพังทลาย เพียงเริ่มสู้ก็ปรากฏห้วงอวกาศดั้งเดิมแล้ว ร่างแยกของหานเจวี๋ยกำลังตามน้ำไปเรื่อย ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น เทพมารตนอื่นส่วนมากก็เป็นเช่นนี้ ตัวหลักที่ต่อกรกับผานกู่คือเทพมารปฐมภพ

เทพมารปฐมภพแข็งแกร่งจริงๆ ตอนแรกเป็นฝ่ายครองความได้เปรียบ แต่จนใจที่ศัตรูคือผานกู่ ยิ่งสู้ผานกู่ก็ยิ่งแข็งแกร่ง แข็งแกร่งขึ้นจนดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วผานกู่จะสามารถพลิกกลับมาชนะได้

หานเจวี๋ยเริ่มสาปแช่ง

พลังเวทไหลทะลักเข้าสู่หนังสือแห่งความโชคร้าย เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก

สาปแช่งได้!

ดูเหมือนผานกู่จะไม่มีไข่มุกแห่งกรรม!

ด้วยการแทรกแซงของหานเจวี๋ย ผานกู่ได้รับผลกระทบจริงๆ ไม่สามารถจบการต่อสู้ได้ภายในครึ่งวัน

ห้าวันต่อมา ผานกู่เริ่มสะกดข่มเทพมารฟ้าบุพกาลทั้งหลาย เทพมารปฐมภพบาดเจ็บสาหัสแล้ว มรรคจิตถูกเฉือนออกไปครึ่งหนึ่ง ถึงแม้จะฝึกบำเพ็ญฟื้นฟูได้ แต่ก็ต้องใช้เวลา

อายุขัยของหานเจวี๋ยเริ่มลดฮวบลง

เขาสาปแช่งไปพลาง ชมการต่อสู้ผ่านสายตาของร่างแยกไปพลาง

ผานกู่ไม่มีขวานเบิกฟ้า ทว่าในมือกลับถือดาบเล่มหนึ่ง ดาบเล่มนี้เป็นดาบกระดูก ใบดาบใหญ่มโหฬาร ใหญ่กว่าร่างของเขาเสียอีก หากมองเผินๆ คงนึกว่าเป็นขวานเบิกฟ้าอีกเล่ม

ผานกู่ไม่มีพลังวิเศษหรือวิชาเวทอันลึกซึ้ง ทั้งหมดล้วนอาศัยการรุกโจมตี รวมถึงใช้ร่างกายเข้าปะทะ

ไม่มีการตั้งรับ มีแต่รุกโจมตี กำเริบเสิบสาน!

แต่เมื่อหานเจวี๋ยเริ่มใช้อายุขัยสาปแช่งผานกู่ รอบกายผานกู่ก็เริ่มมีไอดำสายแล้วสายเล่าผุดออกมา ทำให้ความเร็วในการต่อสู้ของเขาถดถอยลง

เหล่าเทพมารมองเห็นฉากนี้ ขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นในฉับพลัน

ผานกู่ก็ใกล้จะต้านไม่อยู่แล้วอย่างนั้นหรือ

เทพมารปฐมภพสังเกตเห็นไอดำรอบตัวผานกู่ สีหน้าตื่นตะลึงยิ่ง

นั่นมัน…

เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ!

เทพมารปฐมภพแปลกใจ เหตุใดเจ้าแดนต้องห้ามอันธการถึงช่วยเขา

หรือว่าผานกู่ก็คุกคามเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเช่นกัน

ถูกแล้ว หากผานกู่แข็งแกร่งขึ้นมา บุกตะลุยไปทั่วฟ้าบุพกาลแล้วเจ้าแดนต้องห้ามอันธการจะทำความทะเยอทะยานของตนให้เป็นจริงได้อย่างไร

มองจากการแสดงออกของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ คนผู้นี้จะต้องมีความทะเยอทะยานวางแผนต่อฟ้าบุพกาลเป็นแน่!

เทพมารปฐมภพคิดๆ ไปก็ลงมืออีกครั้ง เตรียมสู้ตายลากผานกู่ลงหลุมไปด้วยกัน

อีกด้านหนึ่ง อายุขัยของหานเจวี๋ยเริ่มลดลงเรื่อยๆ

ด้วยการลงมือของเขา ผานกู่เริ่มถูกรุมโจมตีแล้ว

‘ผานกู่ เจ้าแข็งแกร่งจริงๆ ต่อสู้กับเทพมารฟ้าบุพกาลมากมายขนาดนี้ด้วยตัวคนเดียว ถึงขั้นที่มีตัวตนระดับยอดมหามรรคอยู่ด้วย ทว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าเลย เจ้าแข็งแกร่งเช่นนี้ ต้องอวยยศแล้วจริงๆ’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

มองจากที่ผานกู่ข่มเทพมารปฐมภพได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าหานเจวี๋ยจะไม่ใช่คู่มือของเขา

พอดีเลย ถือโอกาสทำให้ผานกู่บาดเจ็บสาหัส ต้องหยุดพักไปสักระยะ ให้เวลาหานเจวี๋ยได้พัฒนาตัวเอง

ยามที่อายุขัยของหานเจวี๋ยลดลงจนใกล้จะถึงห้าแสนล้านล้านปี เทพมารปฐมภพก็โจมตีผานกู่จนบาดเจ็บสาหัสได้ สองแขนของผานกู่สลายเป็นเถ้าธุลี ทว่ารัศมียังคงดุร้ายอยู่

อย่างไรก็ตามผานกู่มิใช่สัตว์ร้าย เมื่อต่อสู้ไปอีกสักพีก หลังจากแน่ใจแล้วว่าตนฟื้นฟูแขนกลับมาไม่ได้ เขาก็ทำได้เพียงล่าถอยไป

เทพมารที่เหลือเห็นว่ามีชัยจึงไล่ตามโจมตีไปติดๆ ในกล่องจดหมายของหานเจวี๋ยมีแจ้งเตือนว่าผานกู่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเด้งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

แจ้งเตือนสุดท้ายคือมีผู้ทรงพลังลึกลับออกโรงช่วยผานกู่ให้หนีรอดไปได้

เผ่าเทพมารได้รับชัยชนะ!

เทพมารปฐมภพคำรามด้วยความโกรธา เสียงดังทะลุห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่า สะเทือนอดีตสั่นคลอนปัจจุบัน

….

หานเจวี๋ยวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลง ถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง

ผานกู่ช่างยอดเยี่ยมนัก!

ถึงแม้ผานกู่จะปราชัย หนีไปได้ แต่เขากลับรู้สึกว่าผานกู่ไม่ได้แพ้เลย

เขาถูกผานกู่กระตุ้นให้เลือดร้อนขึ้นมา

ชาตินี้ต้องสู้กับผานกู่สักครั้งให้ได้ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ในตอนนี้!

หากสู้กับผานกู่แบบตัวต่อตัวในสถานการณ์ที่มีเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลหนุนหลังอยู่ ตนไม่มีทางเอาชนะได้

หากว่ากลับกันคือ ผานกู่เพิ่งถือกำเนิดได้นานแค่ไหนเล่า ทว่ากลับสามารถข่มยอดมหามรรคได้แล้ว…

มีคนที่ถือกำเนิดขึ้นพร้อมพลังอันเลิศล้ำยิ่งใหญ่จริงๆ น่ะหรือ

สายตาของหานเจวี๋ยมองไปยังอารามเต๋าข้างๆ มองทะลุหน้าท้องของสิงหงเสวียนเข้าไป มองดูบุตรชายของตน

สายเลือดของเด็กคนนี้เทียบชั้นกับอริยะได้แล้ว รอจนเขาถือกำเนิดขึ้น จะเทียบกับผานกู่ได้หรือไม่

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา

จู่ๆ หานเจวี๋ยก็ค่อนข้างตั้งตารอการถือกำเนิดของบุตรชายอยู่บ้าง

จนปัญญาที่ฟ้าบุพกาลรองรับเทพมารอนธการได้เพียงตนเดียว

นอกเสียจากหานเจวี๋ยจะก้าวพ้นไปจากสถานะเทพมารอนธการ

ต่อจากเทพมารอนธการแล้วยังมีขั้นที่สูงกว่าอีกหรือไม่

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าเป็นไปได้

เทพมารอนธการรุ่นก่อนดับสูญลงเพราะการปรากฏขึ้นของฟ้าบุพกาล ฟ้าบุพกาลเข้าแทนที่อนธการ อนธการจึงดับสูญ

แต่เหตุใดเขาถึงไม่ยับยั้งฟ้าบุพกาลเล่า

ฟ้าบุพกาลแข็งแกร่งกว่าเขาอย่างนั้นหรือ

หรือจะเป็นเพราะเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล

ไม่น่าใช่ เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลก็เพิ่งมีตบะระดับผู้สร้างมรรคาเท่านั้น

หานเจวี๋ยสงสัยว่าเทพมารอนธการรุ่นก่อนจะเป็นระดับเทพผู้สร้าง เป็นไปได้ว่าเขาจะแสวงหาพลังที่สูงล้ำยิ่งขึ้นไปอีกแต่ล้มเหลว ถึงทำให้ฟ้าบุพกาลฉวยโอกาสได้

ระดับที่แข็งแกร่งที่สุดในฟ้าบุพกาลยุคปัจจุบันนี้ก็แค่ผู้สร้างมรรคาเท่านั้น

ช้าก่อน

แล้วนอกฟ้าบุพกาลเล่า

‘ข้าอยากรู้ว่านอกฟ้าบุพกาลมีตัวตนที่เหนือกว่าผู้สร้างมรรคาหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่มี]

หานเจวี๋ยโล่งใจ

เขาถามต่อว่า ‘นอกฟ้าบุพกาลตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดคือระดับใด’

นอกฟ้าบุพกาลคือดินแดนเวิ้งว้าง ไม่มีสิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ แต่หากว่ามีสิ่งมีชีวิตที่เขาไม่รู้จักอยู่เล่า

ตัวตนที่เหมือนสิ่งอัปมงคล!

[ยอดมหามรรค ถูกจองจำไว้ในดินแดนเวิ้งว้าง ไม่มีชีวิตและอิสระ]

หานเจวี๋ยรู้สึกโล่งใจอย่างสมบูรณ์แบบ

ฟ้าบุพกาลกว้างไกลไร้ขอบเขต หากว่านอกฟ้าบุพกาลยังมีห้วงมิติที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่าหรือมีตัวตนที่ทรงพลังกว่าอยู่ เช่นนั้นหานเจวี๋ยจะเริ่มสงสัยแล้วว่ามีตัวตนสุดแข็งแกร่งอยู่หรือไม่!

………………………………………………………………